หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1041 คำเชิญ!
“ที่แท้เจ้าก็สังเกตเห็นเช่นกัน!” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หวังเป่าเล่อก็ทำท่าเคร่งขรึมเป็นที่สุด เขายังทำกระทั่งเหลียวมองไปรอบทิศเบื้องล่าง ราวกับเกรงว่าจะมีใครได้ยินคำพูดนี้ของเขาเข้า
ทว่าการกระทำของเขาทำให้ไห่หยางที่ตอนแรกดูจะไม่ได้คัดค้านบันทึกนี้ผงะไปเล็กน้อย เห็นชัดว่าคำพูดนี้ของหวังเป่าเล่อค่อนข้างเหนือคาดอยู่บ้าง
“อาจารย์อา ท่าน…”
“ไห่หยาง คำพูดที่เจ้าเอ่ยกับข้าเมื่อครู่ จำไว้ว่าห้ามพูดถึงต่อหน้าคนอื่นๆ เด็ดขาด เพราะว่าบันทึกที่เจ้าว่านี้คือสุดยอดแห่งความเร้นลับระดับโลก และเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลเต๋าของพวกเรา!!” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นเขาก็ตบบ่าเซี่ยไห่หยาง ในระหว่างที่เซี่ยไห่หยางมีสีหน้าแข็งค้างและดวงตาตะลึงนั้น หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเหยียดยาว ก่อนจะเผยท่าทีลุ่มลึก
“จริงๆ แล้ว ตอนที่ข้าอายุสามขวบ ข้าก็พบความลับสุดยอดของโลกใบนี้เข้า ข้าในเวลานั้นมักจะคิดอยู่เสมอว่าข้าเป็นใคร ใครคือข้า ข้าอยู่ที่ใด สถานที่ตั้งอยู่ที่ใด ปัญหาทำนองนี้แหละ”
“จนกระทั่งตอนที่ข้าอายุได้ห้าขวบ สุดท้ายข้าก็ได้เข้าใจ ทุกสิ่งบนโลกใบนี้และในฟ้าดินนี้ทั้งหมด หมื่นสรรพสิ่งในจักรวาล จริงๆ แล้วก็คือความว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ทุกสิ่งของทุกสิ่งตั้งอยู่ล้วนแต่เป็นเพราะพวกเราอยากให้มันมีอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงมีตัวตน ข้าคิดอยากเห็นสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นข้าจึงเห็น”
“นี่มัน…” เซี่ยไห่หยางในคราแรกก็ตื่นตกใจเพราะคำพูดของหวังเป่าเล่ออยู่บ้าง แต่หลังจากฟังๆ ไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามีบางจุดไม่ถูกต้องนัก
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจ สิ่งนี้…คือความลำบากใจในฐานะผู้ที่สวรรค์เลือก” หวังเป่าเล่อแหงนมองไปบนท้องฟ้า ทำท่าทางปลีกวิเวกจากโลก แล้วมองเซี่ยไห่หยางแบบหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“อาจารย์อา พวกเราจริงจังกันหน่อยได้หรือไม่…”
หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินก็ถลึงตาใส่
“ตั้งใจสักหน่อยงั้นหรือ? บันทึกที่เจ้าว่านั่นเกือบจะหลอกให้ข้าจ่ายค่าโง่แล้ว!”
“หากว่าทุกสิ่งไม่ได้ตั้งอยู่จริง เช่นนั้นเราตอนนี้คือสิ่งใด?” หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองมือของตน เขาบีบๆ มือแล้วมองไปยังเซี่ยไห่หยาง
เซี่ยไห่หยางได้แต่เพียงยิ้มขื่น
“ข้าก็รู้สึกว่าเรื่องนี้พิลึกอย่างมาก อีกทั้งบันทึกนี้ก็มีประวัติเป็นมายาวนานจนไม่อาจไปค้นต้นตอของมันได้ กระทั่งบรรพบุรุษตระกูลเซี่ยของเราหลังจากอ่านมันแล้ว ก็บอกได้เพียงว่านี่เป็นคำพูดเพ้อพกของคนบ้าเท่านั้น”
“เอาล่ะ อย่ามามัวแต่คิดเพ้อเจ้ออยู่เลย” หวังเป่าเล่อตบบ่าของเซี่ยไห่หยาง ขณะกำลังจะเอ่ยคำพูดต่อ เขาพลันเปลี่ยนสีหน้าแหงนหน้ามองไปยังที่ว่างด้านหลังกายเซี่ยไห่หยางเข้า เขาเห็นสายรุ้งเหยียดยาวพุ่งเข้ามาจากระยะไกล
ภายในสายรุ้งนั้น มีเงาร่างคุ้นเคยสายหนึ่ง
“ไห่หยาง ข้ามีธุระส่วนตัวตรงนี้” เมื่อมองเห็นเงาร่างที่เคลื่อนเข้ามายิ่งใกล้นั้น หวังเป่าเล่อก็พลันเอ่ยปาก เซี่ยไห่หยางจงใจทำเป็นมองไม่เห็นผู้ที่มา เขาเข้าใจว่ายามใดควรวางตัวโดดเด่น ยามใดควรทำตัวเป็นคนตาบอดเสีย อย่างเช่นในเวลานี้ ในเมื่อหวังเป่าเล่อพูดเองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เช่นนั้นเขาก็รู้ว่าควรทำเช่นใด
ดังนั้นแล้วแม้สัมผัสได้ว่าด้านหลังมีคนมา แต่เขาก็ไม่หันศีรษะสักนิด เขามองหวังเป่าเล่อแล้วประสานมือ แล้วเดินจากไปตรงๆ ยังทิศที่ตนเองหันหน้าอยู่ ระหว่างนั้นเขาไม่หันศีรษะแม้แต่น้อย กระทั่งยังไม่ส่งประสาทไปลองสัมผัสดู
ทว่าทั้งตัวเขาที่จากไปแล้ว และหวังเป่าเล่อซึ่งยังคงยืนรอคนอยู่ตรงที่เดิมนั้น ล้วนไม่ทราบเลยว่า บทสนทนาอันเกี่ยวกับบันทึกพิลึกนั่นของพวกตนถูกพี่สาวตัวน้อยผู้อยู่ในชิ้นส่วนหน้ากากซึ่งลอยตัวอยู่เหนือหวังเป่าเล่อแอบได้ยินคำพูดพวกนี้ทั้งหมด ร่างกายนางสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงตาเผยประกายวาววามลึกล้ำ
“เหมือนกับว่า…ข้าคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว ยังมีหกสิบแปดปี…แถมยังลืมไปส่วนหนึ่ง…”
ระหว่างที่พึมพำ พี่สาวตัวน้อยนั่งกอดหัวเข่าอยู่ตรงนั้น นางก้มหน้ามุดลงกลางเข่า เงาร่างของนางเผยกลิ่นอายเดียวดายและหลงทาง ความรู้สึกพวกนี้เข้มข้นนัก
ความสับสนไม่รู้เรื่องราวของพี่สาวตัวน้อยตรงนี้ หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจนัก เขาในยามนี้แหงนหน้ามองเงาร่างที่กำลังเหาะเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา
ผู้ที่มานั้นคือหญิงสาวคนหนึ่ง หลี่หว่านเอ๋อร์ซึ่งสวมหน้ากาก!
นางสวมชุดกระโปรงยางสีฟ้าลายเมฆาเคลื่อนคล้อย ผมสีดำประบ่า แม้ว่านางกำลังรีบมาแต่กระโปรงยาวของนางก็ไม่มีฝุ่นสักนิดและไร้รอยยับ นางยังคงดูสง่างามเหมือนเก่า ในเวลาที่นางเข้ามาใกล้หน่อยนั้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็นดวงตางดงามของหลี่หว่านเอ๋อร์กำลังจ้องตัวเขาเช่นกัน เมื่อนางมาถึงเบื้องหน้าและยืนอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ นางก็เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าน่าจะรู้แล้วใช่หรือไม่?”
“ข้ารู้แล้ว” คำพูดของหลี่หว่านเอ๋อร์ ผู้อื่นอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่ครั้นเมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที นี่คือการพูดว่า ตนเองทราบสถานะภาพของอีกฝ่ายแล้ว
“ท่านลุงหลี่สบายดี คนอื่นๆ เองก็สบายดียิ่ง ไม่ต้องกังวลไป” หวังเป่าเล่อคิดๆ แล้วก็เอ่ยปากเสียงเบา ในใจเขาซาบซึ้งนัก พูดให้ถูกต้องก็คือ ผู้หญิงตรงหน้าเขานี้คือผู้หญิงคนแรกในชีวิตแรกของเขา
เขาจำได้เสมอมาถึงยามแรกเริ่มซึ่งตนเองนั้นถูกอีกฝ่ายผลักดันในทุกๆ วิถีทาง…
ย้อนนึกถึงจุดนี้หวังเป่าเล่อก็อดคิดถึงภาพเมื่อขวบปีนั้นไม่ได้ นี่ทำให้เขาไอแห้งๆ เสียงหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะมองดูหลี่หว่านเอ๋อร์
หลี่หว่านเอ๋อร์สังเกตเห็นชัด แต่ทำเป็นไม่ทราบ ได้แต่ยิ้มมองหวังเป่าเล่อแล้วกะพริบตา
“จั่วอี้ฟานเองดียิ่ง กงเต๋าเองก็สบายดีเช่นกัน”
หวังเป่าเล่อนิ่งไปครู่ ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าจั่วอี้ฟานและกงเต๋าที่ไม่ได้กลับโลกนั้น บางทีอาจจะเหมือนหลี่หว่านเอ๋อร์ อาศัยสถานที่ที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่งเดินทางไปยังสำนักดาราจันทร์
แต่ต่อให้ไม่ได้รับคำตอบ และต่อให้หลินโยวไม่ทราบเรื่อง ในเวลานี้ได้ฟังจากปากคำของหลี่หว่านเอ๋อร์แล้ว เขาก็เหมือนปลดหินก้อนยักษ์ที่ถ่วงใจลงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นสิ่งร้ายหรือดีต่อสำนักดาราจันทร์
มองเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังคิด หลี่หว่านเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก
“สำนักดาราจันทร์นั้นน่าจะไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อสหพันธรัฐ เพียงแต่พวกเขาค้นหาเรื่องหนึ่งมาตลอด เรื่องนี้สัมพันธ์กับระบบสุริยะอย่างยิ่งยวด ส่วนรายละเอียดข้าไม่รู้มากนัก รู้เพียงแค่ว่า…หลายปียากจะนับแล้ว ที่สำนักดาราจันทร์กำลังพิสูจน์คำตอบเรื่องหนึ่ง”
“คำตอบเรื่องใด?” หวังเป่าเล่อตะลึงไป
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด…แต่ว่าครั้งนี้ที่ข้ามานั้น นอกจากจะมาเพื่ออวยพรวันฉลองอายุแล้ว ยังมีอีกเรื่อง ผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวของสำนักดาราจันทร์นั้น ผู้อาวุโสดาราจันทร์ฝากให้ข้าถ่ายทอดคำพูดแก่เจ้าเรื่องหนึ่ง” หลี่หว่านเอ๋อร์มองหวังเป่าเล่อ ดวงตานางปิดความเร้นลับพิสดารนี้ไม่มิด
มองเห็นคำพูดนี้และสายตาเช่นนี้ หวังเป่าเล่อไม่ค่อยเข้าใจหลี่หว่านเอ๋อร์เท่าไร แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า อีกฝ่าย…แม้จะเป็นคนคนเดียวกับหลี่หว่านเอ๋อร์ในความทรงจำของตนเองแน่ๆ แต่ก็เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนกัน
“มีเรื่องจะบอกข้า? เรื่องอันใด?” ในใจหวังเป่าเล่อสังหรณ์ประหลาด เขาเงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยถาม
“ท่านผู้อาวุโสเชิญเจ้า ให้เจ้าไปพบเขาบนหน้าผาชมสวรรค์ ในวันที่สิบเก้าเดือนเจ็ดอีกหกสิบแปดปีให้หลัง!” หลี่หว่านเอ๋อร์เผยประกายลึกล้ำสายหนึ่งในดวงตา คำพูดที่เอ่ยมานี้แม้ฟังดูธรรมดา แต่เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยิน กลับก่อให้เกิดความสงสัยขุมหนึ่งซึ่งไม่จากหายไป
“เป็นเวลาอันเจาะจงเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าสิ่งนี้เหมือนจะมีปัญหา แต่ก็คิดไม่ออก เห็นชัดว่าหลี่หว่านเอ๋อร์คงไม่อธิบาย เช่นนี้เขาจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ
“เป่าเล่อ มีบางเรื่องข้าเองก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นแล้วจึงไม่อาจบอกเจ้าได้ แต่ข้าเชื่ออย่างหนึ่ง…ผู้อาวุโสไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเจ้า เพียงแค่บางสิ่งนั้น เนื่องด้วยโชคชะตาอันพิเศษ จึงต้องมีคำเชิญอันแสนพิเศษเกิดขึ้น”
“ผู้อาวุโสเอ่ยว่า คำเชิญนี้ ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ก็ไม่มีปัญหา” หลี่หว่านเอ๋อร์ลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก
“ข้ารู้แล้ว” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ยิ้ม จากนั้นก็เก็บเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ เขาสะกดความสงสัยลงไปเสียแล้วมองหลี่หว่านเอ๋อร์น่าเสียดายที่มีหน้ากากอยู่ เขาจึงมองไม่เห็นหน้าตาในความทรงจำนั้น เขาทำได้เพียงจดจำดวงตาของนาง หาความรู้สึกคุ้นเคยสายนั้น
แต่น่าเสียดาย การหาความรู้สึกคุ้นเคยนี้ เหมือนว่าจะค่อยๆ สลายไป
“เจ้าเหมือนจะเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากทีเดียว” หลังเงียบไปครู่ใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ
เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็นิ่งเงียบ นางไม่ได้เอ่ยคำใดกระทั่งหลังจากครู่หนึ่งผ่านไป งูยักษ์ใต้ฝ่าเท้าพวกเขาขยับเคลื่อน ท้องฟ้าเริ่มมืดลงและหลังจากที่ดวงจันทร์ฉายแสง เสียงของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ดังมาตามสายลม
“บางทีอาจเพราะโตขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงมีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม แต่ข้า…ก็ยังคงเป็นข้านะ” กล่าวจบ หลี่หว่านเอ๋อร์ก็โค้งกายคำนับให้หวังเป่าเล่อ หมุนกายจากไปเงียบๆ
และในบางทีอาจจะเป็นเพราะแสงจันทร์ หรืออาจจะเพราะบรรยากาศรอบๆ ตัว ในสายตาของหวังเป่าเล่อนี้ เงาร่างของนางดูเหงาหงอย และคล้ายจมอยู่กับภาระหนัก
“สำนักดาราจันทร์…” มองดูเงาหลังของนางแล้ว หวังเป่าเล่อก็พลันหรี่ตาเอ่ยเสียงเบา หลี่หว่านเอ๋อร์ที่เดินห่างออกไปแล้วชะงักกายครู่หนึ่ง นางพลันหันมามองหวังเป่าเล่อ ในดวงตานั้น หวังเป่าเล่อพบว่าประกายความคุ้นเคยที่สลายไปแล้วนั้นพลันย้อนกลับมาเจือความเข้มข้นอีกครั้ง ราวกับว่าในก้นบึ้งหัวใจนางและท่ามกลางก้าวย่างที่หันกายจากไปนี้ ตัวนางได้ทำการตัดสินใจบางสิ่งแล้ว ดังนี้ในจังหวะที่นางมองหวังเป่าเล่อนางก็ขยับริมฝีปากแล้วใช้น้ำเสียงเร้นลับถ่ายทอดประโยคหนึ่ง!
“เป่าเล่อ ประตูเขาของสำนักดาราจันทร์ มีคำพูดหนึ่งสลักอยู่ คำพูดนั้นก็คือ…แหงนศีรษะสามฉื่อมีเทพอยู่!”
………………………….