หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1042 สิบวันสิบชาติ!
เมื่อเอ่ยประโยคนี้แล้ว หลี่หว่านเอ๋อร์ก็หันกายจากไป ร่างของนางค่อยๆ หายลับไปจากแนวสายตาของหวังเป่าเล่อ ทว่า แม้นางจะจากไปแล้ว แต่เสียงนั้นยังคงสะท้อนอยู่ในสมองของเขา ส่งผลให้แววตาเฉลียวฉลาดของหวังเป่าเล่อมีอันต้องชะงัก ทั้งร่างจมดิ่งอยู่ในภวังค์เงียบสนิท
ประโยคนี้เมื่อรวมเข้ากับท่าทางของหลี่หว่านเอ๋อร์กลายเป็นแรงโจมตีใหญ่ปานคลื่นยักษ์แก่หวังเป่าเล่อจริงๆ ราวกับมีฟ้าผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดกระหน่ำลงในสมองของเขา
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หนังตาของหวังเป่าเล่อก็กระตุกเบาๆ
“แหงนศีรษะสามฉื่อมีเทพอยู่…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า ภาพที่ปรากฏในสายตานั้นย่อมไม่ใช่แค่ระยะสามฉื่อ อาศัยพลังฝึกปรือของตัวเขาในยามนี้ ย่อมสามารถมองระยะทะลุผ่านฟากฟ้าและเห็นกระทั่งหมู่ดาวด้านนอกด้วยซ้ำ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาพลันคิดถึงส่วนหนึ่งของบันทึกที่เซี่ยไห่หยางเอ่ยถึง เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อจมอยู่กับภวังค์อีกครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ
“พี่สาว ท่านอยู่หรือไม่”
ไร้คำตอบกลับ
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาส่งกระแสจิตสัมผัสดูภายใต้ชิ้นส่วนหน้ากากหักแต่กลับไม่พบพี่สาวตัวน้อย ราวกับว่านางกำลังหลบซ่อนกาย เพื่อไม่ให้ใครมารบกวน
หวังเป่าเล่อไม่ได้ตามหาต่อ เขาเก็บกระแสจิตกลับมาก่อนจะนั่งสมาธิอยู่บนยอดเขามองดูท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ สัมผัสความเคลื่อนไหวและการโยกเอนเบาๆ ของร่างงูยักษ์และผืนทวีปด้านล่าง ปล่อยให้สภาวะจิตของตนค่อยๆ หลุดจากสิ่งที่หลี่หว่านเอ๋อร์บอกในยามแรก
ในเมื่อตอนนี้เขาคิดไม่ออก เช่นนั้นก็ยังไม่ต้องไปคิดมันแล้วกัน!
หวังเป่าเล่อเข้าใจดีว่าตนในวันนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกปรือระดับดาวพระเคราะห์ เรื่องราวมากมายนั้นเขาจะรับรู้หรือไม่ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้มีความสำคัญกับเขาแต่อย่างใด เพราะที่สำคัญกว่าคือปัจจุบันขณะ!
จะทำเช่นใดให้เวลานี้ ตนสามารถแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นี่สิคือจุดสำคัญแห่งชีวิต ส่วนเรื่องที่ว่าผู้อาวุโสหนึ่งเดียวแห่งสำนักดาราจันทร์เหตุไฉนจึงส่งคำเชิญให้ตนนั้น หวังเป่าเล่อก็คาดเดาได้เล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายก็นับว่ามาจากพื้นเพเดียวกัน อีกทั้งหากถือเอาเวลาที่เขาออกจากสำนักดาราจันทร์เป็นจุดเชื่อมโยงทุกสิ่ง หากเป็นเช่นนั้นนับตั้งแต่จุดเชื่อมโยงนั้นมาจนถึงบัดนี้ เขาก็นับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์คนแรกของทั้งระบบสุริยะ
“บางทีอาจเพราะเหตุนี้ แต่เพราะอะไรถึงต้องกำหนดวันเจาะจงเช่นนั้นกันนะ?” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาปัดเรื่องนี้ออกจากใจ เวลาเดียวกันบรรยากาศรอบตัวค่อยๆ แปรเปลี่ยน เขาแหงนหน้ามองดูแนวเขาห่างไกลนั้น พลันเห็นเงาร่างหนึ่งซึ่งไม่ได้กำลังเหาะ หากแต่กำลังค่อยๆ ปีนป่ายตามภูผาเข้ามา คนผู้นี้สาวเท้ามุ่งตรงมาหาตนด้วยความรวดเร็ว
แม้ท้องนภาจะมืดดับ แต่ยังมีแสงจันทราสาดส่องทั่วจตุรทิศ ผู้มานี้แม้จะอยู่ไกลพอควร แต่ทรงผมอันตั้งตรงของคนผู้นี้รวมถึงแสงของมันที่สะท้อนสีสัน หวังเป่าเล่อเพียงปราดมองก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร
คนผู้นี้ก็ถือได้เป็นคนรู้จักเก่าแก่ ในตอนที่อยู่จักรวรรดิดาวตกนั้นคนผู้นี้หัวแข็งอย่างยิ่ง อีกทั้งมักจะมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องตลอดเวลา…เขาก็คือพี่ชายเกาผู้สูงส่ง เกาฉวี่
เห็นหน้าหมอนี่แล้ว หวังเป่าเล่อที่เดิมทีเคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลง สีหน้าพลันมีรอยยิ้มประดับและในพริบตาที่อีกฝ่ายเหาะเข้ามาใกล้นั้น หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นแล้วประสานมือคำนับ
“พี่ชายเกา!”
“พี่ต้าลู่!” น้ำเสียงนั้นดังมาแต่ไกลแถมด้วยรอยยิ้มแสนเปิดเผย ในเวลาอันรวดเร็วพี่ชายเกาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขาเป็นมิตร หลังจากมาถึงแล้วก็ยกมือซ้ายต่อยหมัดหนึ่งเข้ามาที่หัวไหล่ของหวังเป่าเล่อทันที
พริบตานั้นแววตาหวังเป่าเล่อเผยประกายหนึ่งที่ไม่อาจตรวจพบได้ อย่างไรก็ดีเขาเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่มีเจตนาร้าย นี่เป็นเพียงการกระทำตามความเคยชินเท่านั้น การที่เกาฉวี่ต่อยเข้ามาเช่นนี้ กล่าวไปแล้วย่อมก่ออันตรายได้ แท้จริงแล้วโดยเฉพาะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้น ทั้งสองฝ่ายไม่ได้สนิทสนมกันถึงระดับนี้ หากอีกฝ่ายบังเกิดความประสงค์ร้ายเข้า ตนเองคงตกเป็นฝ่ายถูกกระทำแน่
แต่หากเขาเบี่ยงกายหลบ เช่นนั้นคงได้เกิดฉากความไม่เชื่อใจประการหนึ่งขึ้น และจากที่หวังเป่าเล่อเข้าใจในตัวพี่ชายเกานั้น หากอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ แต่ตนกลับเบี่ยงหลบ คงจะทำให้ความสนิทสนมนี้จางหายไป
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านสมองของหวังเป่าเล่อในชั่วพริบตาแล้ว เขาก็ไม่ต้องคิดอะไรมากความอีก หวังเป่าเล่อหัวเราะฮ่าๆ ในเวลาเดียวกันก็ยกมือขวาขึ้นกำหมัดหนึ่งต่อยสวนเข้าไปที่หมัดของพี่ชายเกา สองหมัดประสาน
ในจังหวะนี้เองที่ทั้งสองประสานหมัดกันนั้น ต่างฝ่ายต่างพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้พลังภายในสักนิดเดียว นี่เป็นเพียงการทักทายกันประสาคนธรรมดา เป็นเหตุให้รอยยิ้มของพี่ชายเกาแย้มกว้างขึ้น
“เซี่ยต้าลู่ ข้าโจมตีเจ้าเช่นนี้เจ้ากลับไม่หลบ เจ้าเชื่อใจข้าขนาดนี้ นับว่าให้เกียรติพี่ชายเกานัก เช่นนั้นข้าก็ไม่สนแล้วว่าข้างในเจ้าจะเป็นหวังเป่าเล่อหรือเซี่ยต้าลู่” กล่าวจบแล้ว พี่ชายเกาก็เก็บหมัด พลันหยิบแผ่นหยกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง โยนให้หวังเป่าเล่อ
“พี่ต้าลู่ หยกแผ่นนี้ เป็นของที่ข้าทุ่มเทกำลังไม่น้อยกว่าจะได้มา ข้าไม่อาจมอบให้ผู้อื่นได้ แต่ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าท่านมา ข้าน่ะมอบให้ท่านคนเดียวนะ”
เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินก็รับแผ่นหยกนั้นมา เขาไม่ปิดบังความอยากรู้บนใบหน้า จากนั้นเมื่อกวาดตามอง เพียงแค่มองแวบเดียวเท่านั้น ก็ต้องเบิกตากว้างทันทีเผยประกายตื่นตกใจ
พี่ชายเกาแอบสำรวจท่าทีของหวังเป่าเล่ออยู่ตั้งแต่แรก เมื่อเห็นความใครรู่และอาการตื่นตะลึงของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ส่งเสียงหัวเราะ ดูแล้วพึงพอใจอย่างยิ่ง
“เป็นเช่นไร!”
“ข่าวเช่นนี้ ท่านได้มาได้อย่างไร? ข้าจำได้ว่าการตระเตรียมพิธีฉลองอายุให้ผู้อื่นนั้น ล้วนไม่ประกาศบอกล่วงหน้า คนรอบข้างไม่มีทางรู้แน่” หวังเป่าเล่อตกตะลึงจริงๆ เพราะว่าในแผ่นหยกนั้นบันทึกเนื้อหาของพิธีฉลองอายุในครั้งนี้เอาไว้
เขาได้ทราบระหว่างทางที่มาที่นี่แล้ว ทุกครั้งที่มีพิธีฉลองอายุของเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ จะมีการทดสอบพลังก่อนรอบหนึ่งเพื่อให้เหล่าอนุชนที่มาอวยพรได้มีโอกาสถูกคัดเลือกเข้าสู่ข้างใน และในรอบทดสอบนี้ หากว่าผู้ใดมีคุณสมบัติพอจะคว้าชัยได้ ผู้นั้นก็จะได้รับโอกาสประสาทพรและได้รับสิทธิ์พลิกสมุดแห่งโชคชะตาคราหนึ่ง
และเป็นเพราะเหตุนี้ เนื้อหาในการทดสอบจึงมักเปลี่ยนไปนับหมื่นพันแบบ ทุกคนจะได้รู้ก็ต่อเมื่อประกาศออกมาแล้วเท่านั้น จึงเป็นการยากนักที่จะเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าได้ หวังเป่าเล่อถามเซี่ยต้าลู่มาก่อนหน้านี้แล้ว ต่อให้เป็นตัวเซี่ยต้าลู่ ผู้ซึ่งมีช่องทางและทรัพยากรมากล้นเองก็ไม่ทราบเนื้อหาของพิธีซักซ้อมนี้
ทว่า พี่ชายเกาที่อยู่เบื้องหน้าตนในยามนี้กลับล่วงรู้ได้ โดยเฉพาะเนื้อหาในแผ่นหยกนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อได้อ่าน ก็สัมผัสได้ว่าอาจเป็นความจริงสักแปดเก้าส่วน
“บอกแล้วว่าข้าทุ่มเทกำลังไปมากนัก เป็นเช่นไรเล่าพี่ต้าลู่ ผู้แซ่เกาผู้นี้จริงใจต่อสหายหรือไม่ ข้าให้เจ้าดูคนเดียวนะ!” พี่ชายเกายิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ เขาโบกมือลูบไล้เส้นผมตั้งตรงของตนเอง
“ขอบคุณพี่ชายเกามาก!” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก จากนั้นก็ประสานมือโค้งคำนับ
“จะเกรงใจข้าไปไย อีกอย่างพวกเราแม้จะรู้จักกันมาก่อน แต่งานซักซ้อมครั้งนี้มีความประหลาดนัก ไม่เหมือนกับที่เคยจัดมาเลย จุดนี้น่าพิศวงอย่างยิ่ง เพราะเป็นเช่นนี้แหละทำให้พวกเราเตรียมตัวยากกว่าเดิม แต่ว่าข้าขอถือโอกาสนี้ใช้ข้อมูลนี้แสดงสานสัมพันธ์กับท่าน หวังว่าในงานทดสอบพวกเราจะสามารถช่วยเหลือปกป้องกันได้ก็พอ” พี่ชายเกาไม่ได้ปกปิดเจตนาของตน เขาเอ่ยปากอย่างอารมณ์ดี
ความตรงไปตรงมาเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็รับไว้ด้วยความยินดี ดังนั้นแล้วเขาจึงพยักหน้าจากนั้นเพ่งไปยังแผ่นหยกที่อยู่ในมือ แล้วกวาดตาอ่านอีกครั้ง
“ใช้มิติมายาเป็นสถานที่ทดสอบ ให้แบ่งออกเป็นเขตจำนวนมาก ทุกคนที่เข้าไปนั้นจะถูกส่งไปยังสถานที่อันเป็นเอกเทศ ให้ผ่านการทดสอบเป็นระยะเวลาสิบวัน ระหว่างนั้นแต่ละคนอาจจะอยู่ในสถานที่ที่ตนถูกส่งไปหรือว่าจะไปยังสถานที่ของบุคคลอื่นก็ได้…นี่ก็ไม่น่าจะมีอะไร!” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากเสียงเบา
“ก็ใช่ หากว่าเป็นแค่นี้ การทดสอบก็คงจะไม่พิเศษนัก แต่เนื้อหาของการทดสอบนั้นคือการดึงเอาชิ้นส่วนจากชาติก่อนมาทดสอบ!” พี่ชายเกาดวงตาทอประกายแสงประหลาด
“สิบวัน สิบชาติ นี่คือการเผยให้เห็นหนึ่งวันหนึ่งชาติภพ!”
“ให้ระลึกถึงตัวตนในชาติก่อนของตน จากนั้นก็มีโอกาสหยิบยืมพลังของชาติก่อนผ่านวัฏสงสาร แม้ว่าแต่ละคนอาจจะหลอมรวมพลังทั้งหมดมาไม่ได้ แต่ผู้ที่ทำได้แค่เพียงบางส่วนก็นับว่ามีวาสนาแล้ว วาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือชาติก่อนของพวกเรานี่แหละ แต่สุดท้ายแล้วยังต้องดูว่าอยู่หรือไม่ด้วย เพราะหากว่าไม่มี เช่นนั้นวาสนาของเจ้าก็ว่างเปล่า หากว่ามี เช่นนั้นชาติก่อนของพวกเราเป็นใครกันเล่า?” พี่ชายเกาสูดลมหายใจลึก เห็นชัดว่าหลังจากเขาได้ล่วงรู้เนื้อหาการทดสอบครานี้ ก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับมันมานานมากเช่นกัน
“ไม่ได้มีกฎว่าห้ามแทรกแซงหรือช่วยเหลือกัน รวมถึงการเข้าแทรกแซงสภาวะตระหนักรู้ของอีกฝ่าย เงื่อนไขในการชนะนั้นมีอย่างเดียว ก็คือใครที่ตระหนักรู้ได้ก่อนในชาติที่สิบ…ผู้ที่ตระหนักรู้ก่อนสิบคนแรกนั้น ก็จะมีคุณสมบัติในการพลิกสมุดแห่งโชคชะตา!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาคิดไปถึงสิ่งที่อาจารย์เคยกล่าวกับตนเอง ให้ตนเองหาโอกาสจากผู้ศักดิ์สิทธิ์สวรรค์เหล่านี้แลกโอกาสในการมองเงาร่างตนเองในชาติก่อนๆ เพื่อหลอมรวมวาสนา
แต่วาสนานั้นครั้นมองไปจากปัจจุบันก็เห็นได้ชัดว่าซ้อนทับกับงานทดสอบในครานี้ ทว่าเขาก็สัมผัสได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น งานทดสอบครานี้คล้ายจะเป็นการเตรียมการ…เป็นการกรุยทางให้ตนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนวาสนาที่อาจารย์เคยกล่าวเอาไว้
“พี่ชายเกา ท่านรู้ไหมว่างานพิธีฉลองอายุคราก่อน การทดสอบคือสิ่งใด?” เมื่อคิดถึงจุดนี้ เพื่อทดสอบว่าตนเองคาดเดาได้ถูก หวังเป่าเล่อมองดูพี่ชายเกาเบื้องหน้าก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“ครั้งก่อนคือให้เด็ดผลท้ออายุขัยจากต้นไม้โบราณหมื่นปี ครั้งก่อนหน้าให้แสดงพลังเทพสร้างดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า ครั้งก่อนหน้าๆ นั้นอีกก็ให้แต่ละคนสู้กันเอง…ดังนั้นแล้ว ครั้งนี้ข้าว่าประหลาดนัก!” พี่ชายเกาพูดรวดเดียวหมด กล่าวมาตั้งมาก เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟังแล้ว เขาก็ยิ่งมั่นใจกว่าเก่า ดวงตาค่อยๆ เผยประกายแห่งความหวังออกมา!”
………………