หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1045 เงาแห่งผู้เยี่ยมยุทธ์!
เสียงอ่อนโยนที่ส่งออกมาจากในลูกแสงเจือรอยยิ้ม หวังเป่าเล่อก้าวถอยไปด้วยความพอใจ เดิมทีเขาเข้าใจว่าคำอวยพรของตนนับได้ว่าไม่เลวเลย แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ที่กล่าวอวยพรตามหลังเขาเจ็ดแปดคน กลับกล่าวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะคนคุ้นเคยผู้หนึ่ง สามารถกล่าวคำอวยพรได้นานถึงหนึ่งก้านธูปพอดิบพอดี และกล่าวไม่ซ้ำคำตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งสุดท้าย แม้แต่เสียงอ่อนโยนภายในลูกไฟนั้น ก็ยังไอขัดจังหวะ หลังจากบอกเวลางานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้แล้ว ก็ไม่ได้กล่าวออกมาอีก
คนรู้จักผู้นี้ ก็คือเจ้าอ้วนน้อยนั่นเอง…
“เจ้าเด็กผู้นี้ มีฝีมือ!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา มองออกไปไกลที่เจ้าอ้วนน้อยบนยอดเขา นั่งอยู่บนร่างเต่ายักษ์สีเขียวดำ เมื่อเขามองไป เจ้าอ้วนน้อยนั่นก็กวาดตามองหวังเป่าเล่อเหมือนจะตรวจตรา แต่ก็รีบเมินหนีไปในทันที เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อทิ้งเงามืดไว้ให้เขาซึ่งยากจะลบเลือนในช่วงเวลาอันสั้น
เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงรีบละสายตาและนั่งขัดสมาธิรออย่างเงียบๆ เวลาผ่านเคลื่อนผ่านเชื่องช้า ไม่นานก็มาถึงยามดึก ท้องนภาบนดาวชะตา แม้จะสว่างไสว ทว่าเสียงร้องแหลมที่ส่งออกมาบางครั้งคราวจากอสูรยักษ์เหล่านั้น กระจายมาตามสายลม ทำให้สภาพแวดล้อมที่สง่างามขาดความเงียบสงบ
กระทั่งดึกดื่น เสียงร้องนี้จึงเบาบางลง หลังจากรอบด้านค่อยๆ เงียบสงบแล้ว หวังเป่าเล่อแหงนมองไปบนท้องฟ้า สายตาฉายแววไตร่ตรอง สิ่งที่เขาคิดยังคงเป็นข้อสงสัยในแบบทดสอบ
ทว่าขณะที่เขากำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นเองหวังเป่าเล่อก็สะดุ้งโหยง เมื่อมีเสียงแหบแห้งดังขึ้นในหัวของเขา
“อาจารย์ของเจ้ามาที่นี่ เพื่อแลกกับโอกาสให้เจ้า”
ทันทีที่คำพูดดังออกมา หวังเป่าเล่อพลันเบิกตากว้างและกวาดมองไปโดยรอบ ไม่ช้าเขาก็เห็นว่าเดิมทีด้านซ้ายของตนที่เคยว่างเปล่า บัดนี้ปรากฏแสงสีเทานับไม่ถ้วน จุดแสงเหล่านั้นสุดท้ายก็รวมตัวกัน ก่อเป็นลูกปัดลูกหนึ่งขึ้นมา!
“โอกาสนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ลูกปัดนี้เจ้าเก็บไว้ให้ดี สามารถรวบรวมเงาในอดีตภพ หลอมรวมกันได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะเป็นกุญแจไขโอกาสในครั้งที่สอง”
เสียงยังคงดังก้องอยู่ในใจหวังเป่าเล่อ ยามนี้ลูกปัดเม็ดนั้นก็ลอยเข้ามาหาเขา และในที่สุดมันก็ลอยอยู่ตรงหน้า เปล่งแสงอันนุ่มนวล ไม่ไหวติง
“ผู้น้อยคำนับท่านประมุข ขอบคุณท่านประมุข!” หน้าอกของหวังเป่าเล่อไหวกระเพื่อม เมื่อได้รู้ถึงสถานะของผู้ที่กล่าวกับตน รีบลุกขึ้นคำนับไปทางเบื้องหน้า
“ไม่ต้องคำนับข้า และยิ่งไม่ต้องขอบคุณ หากจะขอบคุณ…ก็ขอบคุณอาจารย์ของเจ้าเถอะ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ไม่มีความผันผวนใดๆ กระจายอยู่ในจิตใจของหวังเป่าเล่อ และค่อยๆ เบาบางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งจางหายไปอย่างสมบูรณ์
ความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ก็คล้ายกับที่อีกฝ่ายค่อยๆ ไกลออกไป จนกระทั่งหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เงยหน้าขึ้น และเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบลูกปัดตรงหน้าไปพินิจอย่างถี่ถ้วน
ลูกปัดนี้ดูไปแล้วก็ธรรมดามาก ไม่มีสิ่งใดพิเศษ ยกเว้นพื้นผิวที่แวววาวละเอียดราวไข่มุก ขณะเดียวกันก็แผ่ขจรกลิ่นหอมออกมา เมื่อสูดดมก็จะทำให้จิตตกอยู่ในภวังค์ แต่ไม่นานภวังค์นี้ก็จะถูกกดลง
“ลูกปัดนี้…” หวังเป่าเล่อไม่เห็นความพิเศษของสิ่งนี้ แต่เขายังคงเก็บมันไว้ และขณะที่พินิจลูกปัดอยู่นั้น ภายในลูกไฟขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือปล่องภูเขาไฟตรงหน้า แท่นบูชาก็ถูกยักษ์ทั้งสี่ตนยกขึ้นไปชั้นบนสุด ยามนี้ไม่มีใครสังเกตเห็น ว่าที่นั่นปรากฏเงาอยู่สายหนึ่ง
เงานี้ราวกับอยู่ระหว่างความจริงและลวง บางคราก็ชัดเจน บางคราก็คลุมเครือ เห็นได้ว่าเป็นชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเทา ผมของเขาก็เป็นสีเทาเช่นเดียวกัน แผ่จากศีรษะลามลงมาจนถึงน่อง ดูแล้วพิลึกพิลั่น และที่คางของชายชรายังมีเคราสีเทาห้อยยาวลงมาถึงส่วนท้อง
เมื่อมองแวบแรก คนผู้นี้ดูชรามาก แต่หากพินิจอย่างถี่ถ้วน จะเห็นว่าผิวข้างเคราของเขาดูราวเด็กทารก มีสีแดงในความขาว เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าในความมีชีวิตชีวานั้น ดวงตาทั้งคู่กลับนิ่งสนิท ไร้ชีวิตและแววตาแม้แต่น้อย ราวกับดวงตาของคนตาย
โดยเฉพาะ…เมื่อร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายความจริงและลวง จึงสามารถเห็นได้ถึงส่วนลึกในดวงตาของเขา ราวกับม่านได้ถูกยกขึ้น เผยให้เห็นแสงแห่งปัญญาราวกับทะเลดาว
“มาถึงจุดนี้อีกแล้ว…คราวนี้จะเกิดอะไรขึ้น” ชายชราบ่นเบาๆ และนั่งขัดสมาธิอยู่บนชั้นยอดสุดของแท่นบูชา เขาค่อยๆ แหงนหน้าขึ้น มองไปทางด้านบนเหนือศีรษะของตน
สายตาของเขา แวบแรกเหมือนมองไกลไปในท้องฟ้า ทอดมองอย่างไร้ขอบเขต แต่หากคนมีคุณสมบัติ และมีความสามารถมาใกล้เขา เช่นนั้นอาจเฉลียวฉลาดพอ ที่จะสามารถรับรู้ได้ถึง…สิ่งที่ชายชราได้เห็น กลับไม่ใช่ท้องฟ้า ไม่ใช่จักรวาล ยิ่งไม่ใช่ทางไกล แต่เป็น…สิ่งที่อยู่เหนือศีรษะของเขาไปเพียงสามฉื่อ!
แม้ที่ตรงนั้นจะว่างเปล่า แต่สายตาของเขายังคงอยู่ที่ตำแหน่งสามฉื่อ ราวกับสายตคู่นั้นสามารถเห็นโลกที่ผู้อื่นไม่เห็น ก็เหมือนกับยามนี้ เห็นได้ชัดว่าเขานั่งอยู่บนแท่นบูชา แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อหรือผู้ฝึกตนที่อยู่บนอสูรจะกวาดสายตามาที่นี่ สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า
แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นประมุขแห่งดาวชะตา ว่ากันว่าเขาเป็นวิญญาณวุธของสมุดแห่งโชคชะตา… ประมุขกฎสวรรค์!
เขานั่งอยู่ที่นี่จนรุ่งสาง…ในยามรุ่งสาง เสียงระฆังก็ดังขึ้น มีเสียงคำรามจากท้องฟ้า แผ่นดินสั่นสะเทือน เมฆหมอกล้อมรอบไปทั่วอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนทั้งหมดบนร่างอสูรยักษ์ทั้ง 39 ตน รวมทั้งหวังเป่าเล่อ ขณะที่ทุกคนต่างมองดูลูกแสงที่ปล่องภูเขาไฟตามการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน เสียงหัวเราะก็ลอยดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า
“สหายเต๋าแห่งกฎสวรรค์ เพลิดเพลินกับเต๋าอมตะตลอดกาล!”
“สหายเต๋าแห่งกฎสวรรค์ เพื่อที่จะอวยพรวันฉลองอายุให้ท่าน ข้าต้องรีบมาจากดาราจักรเหนือ ครั้งนี้เจ้าต้องเตรียมสุราชั้นดีมามากหน่อยล่ะ”
“พริบตาเดียวร้อยล้านปี สหายแห่งกฎสวรรค์ อย่าได้เจ็บไข้”
ขณะที่เสียงหัวเราะดังก้อง ระลอกพลังกดดันยิ่งแผ่ขยายออกไปในทันที ทั่วทั้งดาวชะตาถูกปกคลุมอยู่ภายในพายุจิตสำนึกที่น่าสะพรึงกลัวโดยพลัน
ในยามที่พายุก่อตัวขึ้น เสียงคำรามก้องกระจายไปทั่วสารทิศ สายรุ้งเป็นริ้วๆ ทอดลงมาจากท้องฟ้า และพุ่งตรงเข้าหาภายในลูกแสง พุ่งไปยังเกาะเหล่านั้นที่อยู่โดยรอบแท่นบูชา!
ทันใดนั้น รุ้งหนึ่งสายตกไปที่เกาะแห่งหนึ่ง สายรุ้งเหล่านี้กลายร่างเป็นเงา ราวกับจะหลอมรวมเข้ากับเกาะที่มีอยู่ ก่อตัวเป็นคุณเวทย์อันยิ่งใหญ่ราวกับเทพเจ้าที่มีพลังไม่สิ้นสุด
บางตัวมีปีกและใบหน้าราวนกอินทรี บางตัวมีขนาดใหญ่ดั่งโย่วซาน บางตัวก็เป็นกระดูกนับไม่ถ้วนกองรวมกันกลายเป็นร่าง และยังมีวิถีเต๋าเรืองรอง มีพลังที่ไม่อาจรุกล้ำ
และมีความคลุมเครือราวกับผู้ฝึกตน และมีเสียงผู้ฝึกตนสะท้อนโดยรอบ ภายหลังจากการปรากฏกาย…
รอบๆ แท่นบูชานี้ มีทั้งหมด 99 เกาะ ขณะนี้ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาไม่หยุด สายรุ้งตกลงบนเกาะที่ว่างเปล่ามากขึ้น กระทั่งสุดท้ายทั้ง 99 เกาะ มี 89 เกาะที่กลายเป็นคุณเวทย์ หลงเหลือเพียง 10 เกาะ เท่านั้น
การปรากฏกายของพวกเขา ทำให้พวกหวังเป่าเล่อต่างตื่นตระหนก ด้วยเขามองออกว่า พวกนี้…ไม่ว่าผู้ใด ระดับฝึกตนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพ!
แม้จะปรากฏอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ร่างจริง เป็นเพียงการฉายเงา ทว่าพลังกลับสะท้านฟ้าสะเทือนดิน โดยเฉพาะเซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างเขา เวลานี้หายใจถี่รัว รีบถ่ายทอดเสียงให้เขาอย่างรวดเร็ว
“ปรากฏอีกแล้ว!”
“ทุกครั้งที่มีการฉลองวันอวยพรอายุของประมุขกฏสวรรค์บนดาวชะตา ล้วนมีเหตุการณ์แปลกประหลาดปรากฏ ท่านดูผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพเหล่านี้…แต่ละคนล้วนมีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ตัวตนของพวกเขา กระทั่งไม่เคยมีอยู่ในบันทึกมาก่อน!”
“หรือกล่าวได้ว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้…ไม่มีผู้ที่อยู่ภายนอกเคยพบเห็นมาก่อน และไม่มีผู้ใดรู้จัก ขณะเดียวกันทุกครั้งชื่อสถานที่ที่พวกเขากล่าวขึ้นมา ก็ไม่ได้อยู่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น อย่างเช่นดาราจักรเหนือนั่น ไม่ว่าจะเป็นจักรพิภพหรือเต๋าฝั่งซ้าย หรือจะเป็นเต๋าไม่รู้สิ้น ต่างก็ไม่มีสถานที่นี้อย่างแน่นอน!”
“นอกจากนี้ จากที่บ้านเซี่ยของข้าสืบเสาะมาหลายครั้งรวมทั้งการตรวจสอบกองกำลังอื่นๆ การปรากฏตัวหรือการจากไปของคนเหล่านี้ เป็นไปอย่างฉับพลัน ราวกับทั้งหมดคือความว่างเปล่า แม้กระทั่งในปีนั้นราชันเทวะท่านหนึ่งของตระกูลไม่รู้สิ้นยังลงมือด้วยตนเอง แต่ก็เหมือนเผชิญหน้ากับความว่างเปล่า ข้ามผ่านพวกเขา ไม่อาจสัมผัสกันได้ และต่างก็ไม่เห็นกันและกัน ไม่มีการสื่อสารกันแต่อย่างใด!”
“การตัดสินเบื้องต้นคือพวกมันไม่มีอยู่จริง หรือมีมาก่อนหลายปีก่อนหน้านั้น หรือกระทั่งเก่าแก่ขนาดที่มีมาก่อนที่จะมีสำนักแห่งความมืด!”
“ขณะเดียวกัน ก็เป็นเพราะการหยั่งเชิงของราชันเทวะในครั้งนั้น ทำให้งานฉลองวันอวยพรอายุของประมุขกฎสวรรค์ ออกกฎออกมา กฎนี้ก็คือ…เมื่อถึงงานฉลองวันอวยพรอายุ ระดับดารานิรันดร์มาได้ แต่ผู้ที่มีระดับดารานิรันดร์ขึ้นไปไม่อาจมาร่วมงาน!”
…………………………….