หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1046 ปราณกังวาน!
ได้ฟังเสียงที่ส่งมาของเซี่ยไห่หยาง แล้วดูเกาะภายในลูกแสงที่อยู่เบื้องหน้า เงาหลายสายตกลงมา ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายประหลาด
เขานึกถึงสุสานดวงดารา เมื่อเทียบกับที่แห่งนี้แล้ว สุสานดวงดาราแปลกประหลาดกว่านัก กระดาษรูปมนุษย์จำนวนไม่แน่ชัดรวมทั้งภาพทั้งหมดระหว่างฟ้าดินล้วนเป็นภาพที่กลายจากกระดาษ เป็นฉากที่แปลกประหลาดที่สุดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
และที่นี่…แม้จะไม่แปลกเท่าดาวตก แต่ในความเวิ้งว้างและความลี้ลับนั้นกลับเกินกว่าดาวตกเหลือคณา กล่าวได้เลยว่า ตั้งแต่ก้าวเท้าเหยียบดาวชะตา ความลี้ลับของที่แห่งนี้ก็แผ่ซ่านไปทั่ว จนถึงเวลานี้นี้ได้มาถึงระดับสูงสุดแล้ว
“ผู้เยี่ยมยุทธ์ดาราจักร 89 ท่าน…จำนวนนี้ เกรงว่าจะสามารถเทียบได้กับจักรพิภพใดในจักรพิภพเต๋าฝั่งซ้ายแล้ว โดยเฉพาะคนเหล่านี้เห็นได้ว่าไม่ใช่ระดับจักรพิภพทั่วไปอย่างแน่นอน แต่ละท่านต่างทำให้ข้ารู้สึกเทียบเท่ากับท่านอาจารย์” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ ขณะเดียวกันความรู้สึกตื่นตระหนกก็กลายเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่ในทะเลใจ
แท้จริงเขารู้ดีว่า แม้ว่าอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟเทียบไม่ได้กับศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ แต่ก็ยืนอยู่ระดับสุดยอดของโลกระดับจักรพิภพ ต่างก็นับได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือชั้นที่เลื่องชื่อ ภายในทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ส่วนศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของตน เขาไม่อาจนับเป็นจักรพิภพแล้ว
บางทีอาจมีความลับบางอย่างในตัวเขา ที่ทำให้เขาสามารถสังหารราชันเทวะของจักรวาลภายในจักรพิภพได้!
และผู้แข็งแกร่งเหนือชั้นระดับท่านอาจารย์นี้ ทั้งหมดมี 89 ท่าน ระดับความน่ากลัวของพลัง เพียงพอที่จะเขย่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้พวกนี้จะเป็นเพียงการฉายเงา แต่เกรงว่าภายในยังหลงเหลือเรื่องที่ตนยังไม่รู้ พร้อมกันนั้นก็เป็นสาเหตุที่ดาวชะตาได้รับการยอมรับจากจักรพิภพไม่รู้สิ้น
ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อกวาดตามองไปทั้ง 89 ร่าง แต่เมื่อเขามองอย่างพิจารณา ฉับพลันก็เกิดความสงสัยขึ้นในดวงตา สายตามองไปบนหนึ่งในร่างฉายเงาของผู้เยี่ยมยุทธ์
ร่างฉายเงานี้ดูเหมือนปกติ แต่โดยรอบเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว ดูเหมือนทั้งร่างกำลังควบคุมและกดยั้งร่างตนไว้อย่างเต็มกำลัง ราวกับร่างเดิมของเขาใหญ่มหึมา ตอนนี้เพื่อมาให้ถึงที่นี่ จึงต้องรวมร่างไว้อย่างหนัก เพื่อให้รักษาขนาดของการฉายเงาตามที่ต้องการได้
และด้วยการรวมตัวของเขา ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการกระจายแรงผันผวน ส่งผลไปรอบทิศในเวลาเดียวกัน และทำให้ร่างเขาคลุมเครือและชัดเจนเป็นบางเวลา ส่วนที่เรียกความสนใจของหวังเป่าเล่อ ก็คือส่วนบนศีรษะของคนผู้นี้มีเขาเหมือนยักษ์ที่ชั้นสามของแท่นบูชา
นอกจากนี้ บนร่างของเงา คล้ายกับกระจายบางสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อแอบรู้สึกราวกับคุ้นเคยอยู่บ้าง นี่ทำให้เขารู้สึกประหลาดอยู่ในใจ จนต้องครุ่นคิด ทว่าไม่นานก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงที่ส่งผ่านมาของเซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างๆ
“เกาะที่อยู่รอบๆ แท่นบูชาของท่านประมุข เวลานี้เหลืออยู่ 10 เกาะ ตามที่ปฏิบัติต่อกันมาในอดีต เพื่อเหลือไว้ให้มหาศิษย์แห่งเต๋า 10 คนที่ได้รับสิทธิ์ในบททดสอบ”
“กล่าวคือ การทดสอบในอีกสักครู่ 10 อันดับแรกที่ทำสำเร็จและได้รับสิทธิ์ จะได้รับการเชิญให้ก้าวเข้าสู่ภายในลูกไฟ นั่งอยู่บนเกาะด้วยกันกับผู้เยี่ยมยุทธ์อื่นๆ และอวยพรวันฉลองอายุต่อท่านประมุข!”
“นอกจากนี้… อีกสักครู่อาจารย์อาจะได้เข้าใจเคล็ดวิชาพลังเทพของตนได้อย่างถ่องแท้ เพราะก่อนทดสอบ ตามวิธีที่ปฏิบัติมาแต่อดีต จะมีการสนทนาเต๋า!”
หวังเป่าเล่อเมื่อได้ฟังจึงพยักหน้า ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก กลับมีเสียงหัวเราะจากภายในลูกแสงดังออกมาจากปากประมุขกฎสวรรค์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชา เสียงหัวเราะนี้แฝงไว้ด้วยความสงบสะท้อนไปทั่วทิศ ทำให้เมฆหมอกบนฟ้ากระจายออก แผ่นดินไม่สั่นไหวอีกต่อไป ดูเหมือนมีสายลมพัดบางเบาไปทั่ว ทำให้ภายในใจของทุกคน เวลานี้ต่างรู้สึกถึงความสงบอย่างยิ่ง
ขณะที่เสียงหัวเราะเปล่งออกมา ร่างของประมุขกฎสวรรค์บนแท่นบูชา ก็ปรากฏอย่างชัดเจนในสายตาคนทั้งมวล เสื้อคลุมยาวสีเทา ผมยาวสีเทาทั้งศีรษะ ดวงตาทั้งคู่เหมือนบ่อน้ำที่ไร้คลื่น บางคราวก็ปรากฏปัญญาล้ำลึกราวทะเลดาว เวลานี้กำลังยิ้มแย้ม คล้ายกับกำลังจะสนทนาอยู่กับผู้เยี่ยมยุทธ์บนเกาะรอบๆ ที่มาเพื่ออวยพรวันฉลองอายุ
ร่างชายชราผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ข้างๆ เขา ชายชราสวมเสื้อสีเขียว ขณะนี้ร่างงองุ้มก้มหน้าลงและเอามือวางอยู่ด้านหน้า เขาดูเหมือนทาสแก่ๆ แต่พลังผันผวนดาราจักรกระจายออกมาจากร่าง เมื่อเปรียบกับภาพฉายอื่นที่อยู่รอบด้าน ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย
ฉากนี้ หวังเป่าเล่อที่มองอยู่เริ่มหรี่ตาลงอีกครั้ง เฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ แม้จะไม่ได้ยินคำสนทนาของกลุ่มคนภายในลูกแสงอย่างละเอียด แต่เสียงหัวเราะและพลังผันผวนที่ส่งออกมาเป็นครั้งคราว ยังทำให้จิตใจเขาเหมือนได้รับการล้างบาป ราวกับว่าการสนทนาของผู้เยี่ยมยุทธ์ภายในลูกแสงเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อฟ้าดินรอบด้าน เป็นเหตุให้ที่นี่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งเต๋า และทำให้ทุกคนในบริเวณนี้ทั้งหมดถูกครอบงำ
แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อ ทั้งร่างค่อยๆ จมลึกสู่สภาวะจิตใจว่างเปล่า
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เวลานี้ที่ด้านนอกลูกไฟ ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่บนอสูรยักษ์ 39 ตน ต่างก็มีจิตใจสงบนิ่ง เข้าสู่สภาวะเดียวกันทั้งหมด
สภาวะเช่นนี้ ในระดับนี้ก็เหมือนกับการขยายผล ขยายการตระหนักรู้และความลึกซึ้งของผู้ฝึกตน ทำให้พวกเขาสามารถเห็นร่องรอยกฎเกณฑ์ที่ไม่เห็นยามปกติท่ามกลางการเข้าสู่ฌาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในบริเวณรอบด้าน ด้วยเสียงสนทนาและหัวเราะภายในลูกแสง ด้วยเงาฉายที่ตกลงมากมายเกินไป ด้วยกฎเกณฑ์และกฎเวทที่บรรจบมีพลานุภาพ ดังนั้นหลังจากขยายผลการตระหนักรู้ของตนแล้ว ก็จะติดตามร่องรอยแห่งกฎรอบด้านได้ง่ายดายขึ้น
ดังเช่นหวังเป่าเล่อที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ขณะที่จิตใจดำดิ่งสู่ความว่างเปล่า แม้เขาจะหลับตาแล้ว แต่ในใจกลับปรากฏภาพรอบด้านทั้งหมด ในภาพนี้ไม่มีผู้ฝึกตน มีแต่เพียงแหล่งแสงขนาดมโหฬาร 91ดวง
ที่ตรงกลางของแหล่งแสง ดูเหมือนเป็นแหล่งกำเนิดสรรพสิ่งที่กว้างใหญ่ไพศาล แหล่งแสงเล็กๆ ที่อยู่ข้างเขา ราวกับจะเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ กระจายออกเป็นเส้นใยตะกอนนับไม่ถ้วน แต่ละเส้นเชื่อมต่อกับความว่างเปล่า ก่อเป็นแสงประหลาดต่างๆ
และนอกจากแหล่งแสงขนาดใหญ่นี้ยังมีอีก 89 แหล่งแสงล้อมรอบ แต่ละอันต่างกระจายใยออกมา ต่างมีกฎเกณฑ์ที่ไม่สิ้นสุด ในการกระจายลำแสงนี้พวกเขาส่งผลกระทบไปรอบทิศ ทำให้มีกฎนับไม่ถ้วนในอาณาบริเวณ
ส่วนหวังเป่าเล่อรวมทั้งผู้ฝึกตนอื่นๆ เปรียบได้กับแต่ละจุดแสงที่อยู่รอบนอกสุด เมื่อใยตะกอนที่อยู่รอบด้านพลิ้วไหว ก็ราวกับหลุมดำเล็กๆ แต่ละอัน ร่องรอยแห่งกฎเกณฑ์ที่อยู่โดยรอบกำลังดูดรับเร็วบ้างช้าบ้างไปตามคุณสมบัติของตน และตามระดับฝึกตนของแต่ละคน!
ในบรรดากลุ่มจุดแสงมากมายเหล่านี้ มีเก้าจุดแสงที่เด่นชัดที่สุด แต่ละจุดก่อเป็นหลุมดำที่ดูดรับได้เร็วที่สุด และดูดเอาใยตะกอนกฎเกณฑ์ที่ลอยอยู่รอบด้านมาไม่หยุด หลังจากหลอมรวมความแข็งแกร่งให้ตน ทำให้จุดแสงของตนยิ่งสว่างไสว
หวังเป่าเล่อก็เป็นหนึ่งในจุดแสงเหล่านั้น เขาสังเกตเห็นของตนเองแตกต่างจากผู้อื่น และยังเห็นถึงความพิเศษของอีกแปดจุดแสง ในทำนองเดียวกัน ผู้อื่นก็สังเกตเห็นของเขาเช่นกัน
ไม่มีเวลาที่จะไปไตร่ตรองว่าอีกแปดจุดแสงเป็นผู้ใด หลังจากกวาดตามอง ส่วนใหญ่มีความเข้าใจแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ไปคิดเรื่องนี้อีก แต่วางจิตใจทั้งหมดดำดิ่งลงบนความตระหนักรู้ต่อกฎเกณฑ์
สิ่งแรกที่เขาตระหนักรู้ก่อน ก็คือกฎแห่งไฟของตนเอง และในกฎใยตะกอนนับไม่ถ้วนรอบด้านนี้ มีจำนวนกฎแห่งไฟไม่น้อยล้วนถูกเขาดูดรับมา หลังจากหลอมรวมกับร่างตน กระบวนเวทพลังเทพได้กลายเป็นกฎออกมาเป็นฉากๆ ในห้วงความคิด
กระบวนเวทพลังเทพเหล่านี้ ล้วนมีความสัมพันธ์กับไฟ เพียงแวบผ่าน หลังจากถูกหวังเป่าเล่อตระหนักรู้แล้ว เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าการควบคุมกฎแห่งไฟของตน กำลังเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว การเพิ่มระดับเช่นนี้แม้จะไม่เพิ่มระดับการฝึกตนอย่างลึกซึ้ง แต่กลับปรากฎในพลังต่อสู้รวมทั้งต่อปราณกังวานของกฎแห่งไฟ
ในช่วงเวลาอันสั้น หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่าคำสาปวิญญาณเพลิงภายใต้กฎแห่งไฟของตน ได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนแล้วอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว
ในเวลาเดียวกันพลังเทพอัคคีทั้งหมด ต่างก็เป็นเช่นนี้ คล้ายกับได้รับพร!
นี่ก็เป็นประโยชน์ที่ปรากฏกับปราณกังวานแห่งกฎ แม้จะเป็นกฎเดียวกัน อันดับของดาวเคราะห์ที่หลอมรวมยิ่งสูง พลังก็จะยิ่งมากขึ้น และปราณกังวานก็เป็นเหมือนกันเช่นนี้
ระดับยิ่งสูงขึ้น ขีดจำกัดของปราณกังวานก็จะยิ่งไกลขึ้นเท่านั้น ดังเช่นกฎแห่งไฟที่มีอยู่ในดาวเคราะห์ชั้นต่ำสุด ปราณกังวานได้เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้นถือเป็นจุดสิ้นสุด
และกฎแห่งไฟของดาวบรรพกาล สามารถไปได้ถึงแปดส่วน สำหรับกฎแห่งไฟของดาวเคราะห์เต๋า เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถถึงระดับความเป็นเอกภาพ!
นั่นถือเป็นที่สุดของปราณกังวาน เมื่อถึงเวลานั้น จึงจะนับได้ว่าควบคุมกฎนั้นได้ทั้งหมดอย่างแท้จริง และพลังที่ก่อขึ้น ก็ย่อมเพิ่มระดับขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อจิตใจฮึกเหิม ภายในระยะเวลาอันสั้น เขาได้สังเกตเห็นถึงปราณกังวานของกฎแห่งไฟของตนถึงประมาณหกส่วนแล้ว ทำให้ต้องการที่จะตระหนักรู้ต่อไป ทว่าในไม่ช้าก็พบว่า ใยตะกอนรอบด้าน กำลังค่อยๆ หดกลับเข้าไปในแหล่งแสง และเมื่อมันหดกลับไปหมดแล้ว ก็แสดงว่าโอกาสครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลง
จุดแสงของหวังเป่าเล่อเริ่มเปลี่ยนแปลง ส่องประกายวิบวับ เขาไม่ยินดีกับการดูดรับใยตะกอนรอบด้านอีกต่อไป เพราะหมายจะได้รับปราณกังวานมากยิ่งขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น จึงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น!
โดยฉับพลันเป้าหมายของหวังเป่าเล่อ จึงมุ่งไปที่แหล่งแสงขนาดใหญ่ของทั้ง 91กลุ่มทันที!
จุดยอด
…………………….