หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1067 สูงขึ้นไปสามฉื่อ!
ข้าไม่ได้ชอบชื่อนี้นัก
แต่ข้าชอบยามที่นางเอ่ยชื่อของข้า รอยยิ้มบนใบหน้าของนางและนัยน์ตาทรงจันทร์เสี้ยวคู่นั้น หลังจากนั้นวันเวลาถัดมาของข้าก็มีอยู่เพื่อติดตามนางรวมถึงบิดาของนางออกเดินทางท่องโลกใบนี้
หากจะพูดให้ชัดกว่านั้น ที่นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของโลก ตามที่เด็กหญิงตัวน้อยบอก ที่นี่คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ส่วนนอกดาวเคราะห์ไปจะเป็นจักรพิภพ และจักรพิภพนี้มีนามว่า ‘ไท่เฮ่า’
ในส่วนที่ว่าเหตุใดถึงต้องเป็น ‘ไท่เฮ่า’ นั้น เด็กหญิงตัวน้อยตอบข้าว่า…นางคิดว่า บางทีไท่เฮ่าอาจเป็นจิตรกรรายหนึ่ง ดังนั้นนางจึงมายังที่นี่เพื่อหาวัตถุดิบสำหรับเขียนหนังสือ
คำตอบนี้ ทำให้ข้ารู้สึกว่าตรรกะของนางราวกับมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงนางเบิกบานใจก็พอแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงเดินทางข้ามเทือกเขา เดินทางข้ามมหาสมุทร มองดูอาทิตย์ขึ้นและลับขอบฟ้า มองดูการสับเปลี่ยนของกลางวันกลางคืน
นางเอ่ยกับข้าถึงความฝันของนาง
“เป๋าเป่า ข้าอยากจะเป็นจิตรกรแหละ”
ข้ามองนางอย่างสงสัยใคร่รู้ ในความทรงจำของข้า ช่วงเริ่มแรกนางเคยบอกไว้ว่า นางอยากเขียนหนังสือ…
“ข้าอยากจะวาดทั้งจักรวาลนี้ลงไป ทุกสิ่งในที่นี้เป็นสิ่งที่ข้าวาดขึ้นมา ดังนั้นข้าอยากจะเดินไปทุกมุมของโลกใบนี้แล้วจดจำทัศนียภาพของมันเอาไว้”
“เป๋าเป่า เจ้ารู้สึกว่าความฝันของข้าเป็นเช่นไร ได้ยินแล้วรู้สึกว่างดงามหรือไม่” เด็กหญิงตัวน้อยคว้าลำคอของข้า แล้วส่งเสียงหัวเราะที่คล้ายกับกระพรวนก็ไม่ปาน ห่างออกไปตะวันยามเช้าเริ่มทอแสงช้าๆ ข้ามองตะวันนั้นแล้วมองเด็กหญิงตัวน้อย ฟังคำพูดของนาง ค่อยๆ สัมผัสได้ว่าฉากนี้งดงามนัก
ข้าคิดว่า หากสามารถวาดภาพทั้งหมดนี้ออกมาได้จะต้องงดงามมากแน่
ดังนั้นข้าจึงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วติดตามนางและบิดาต่อไป หลังจากเดินครบทุกมุมของโลกใบนี้แล้ว ข้าก็มองเห็นการต่อสู้ มองเห็นสิ่งอัปลักษณ์ และเรื่องงดงามทั้งหลาย
จนกระทั่งวันหนึ่ง นางพาข้าไปจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ในตอนที่จะไป…ข้ากลับขอร้องนางเรื่องเล็กๆ อยู่เรื่องหนึ่ง ข้าอยากจะไปพบพวกสหายเก่าเหล่านั้นของข้าสักครั้ง
ดังนั้นแล้ว ข้าจึงกลับสู่เมืองที่ทุกสิ่งเริ่มต้น ทว่าน่าเสียดาย…ที่นี่ ข้าไม่ได้พบลิงชรา ข้าไม่ได้พบเสือน้อย และไม่เห็นจิ้งจอกอีก
เพราะว่าเมืองนั้นกลายเป็นซากปรักหักพังไปเสียแล้ว หลายปีก่อนหน้านี้ ถูกสงครามทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง
ข้ารู้สึกเศร้าเล็กน้อย ข้าคิดว่า…บางทีข้าอาจจะไม่ได้พบเจ้าเสือน้อยอีก และไม่ได้พบลิงชราอีกแล้ว บางทีนางคงมองออกถึงความเศร้าของข้า เด็กหญิงตัวน้อยหันหน้าไปมองบิดาของนาง ชายวัยกลางคนที่ทำให้ข้ารู้สึกกลัวเล็กน้อยมาตลอดคนนั้น
เขาเหมือนชั่งใจคิด หลังจากนั้นก็พาพวกเราไปยังป่าลึกใกล้ๆ แห่งหนึ่ง ข้าจำได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือป่าที่ข้าถือกำเนิดในตอนแรก เนิ่นนานมาแล้วมันว่างเปล่า แต่ในยามนี้ ข้าไม่ได้คิดย้อนอะไรมากมายแล้ว เพราะว่าในป่าแห่งนี้ ข้าได้พบกับสหายเหล่านั้นของข้า
ข้ามองเห็นเสือน้อย มันได้กลายเป็นราชาแห่งสัตว์นับร้อยในป่าแล้ว ถือครองบ่อน้ำและน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในป่านั้น มันนั่งอย่างสง่างาม ขัดสมาธิราวกับมนุษย์อยู่ตรงนั้น
ข้ามองเห็นจิ้งจอกเช่นกัน นั่นทำให้ข้าต้องผ่อนลมหายใจ เพราะนางยังไม่โล้นเลี่ยน กลับกันขนบนตัวของนางสีสันสดใสกว่าเก่า ราวกับว่านางจะทำความฝันสำเร็จแล้ว แม้อสูรนับร้อยจะนับถือเจ้าเสือน้อยเป็นราชา แต่บนร่างของอสูรทุกตัวจะมีขนของจิ้งจอกน้อยอยู่ด้วย
สุดท้ายนั้นข้าได้เห็นลิงชรา มันอยู่ในส่วนลึกที่สุดของป่า ที่นั่นเป็นภูเขาไฟลูกหนึ่ง ข้าเห็นมันนั่งขัดสมาธิอยู่บนปล่องภูเขาไฟ รอบด้านนั้นมีเงาร่างพร่าเลือนจำนวนมาก ราวกับกำลังมาอวยพรวันฉลองอายุให้มัน
ข้าไม่ได้ไปรบกวนชีวิตของพวกเขาอีก ข้าได้แต่มองทักทายพวกเขาเงียบๆ จากระยะไกล แล้วก็หันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความเบิกบาน จากนั้นพวกเราก็ออกจากดาวดวงนี้ไปสู่จักรวาล
หลายวันหลังจากนั้น สำหรับข้าแล้วก็เหมือนเป็นการเดินทางอีกรอบหนึ่ง ข้ากับเด็กหญิงตัวน้อย แล้วยังมีบิดาของนาง พวกเราเดินทางอยู่ในจักรวาล เดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปสู่อีกดวงหนึ่ง ธรรมเนียมของแต่ละดวงที่แตกต่าง เผ่าพันธุ์ที่ไม่เหมือนกัน กล่าวได้ว่าพบเห็นดาวเคราะห์ประหลาดนับร้อยพันดวง
ข้าเหลือรอยประทับเอาไว้ในทุกๆ ดาวเคราะห์ ทิ้งร่องรอยแห่งเสียงหัวใจ ความเบิกบานใจของเด็กหญิงตัวน้อย และทิ้งความทรงจำของพวกเราเอาไว้ ราวกับว่าเวลาที่เคลื่อนผ่านนั้นเป็นนิจนิรันดร์สำหรับพวกเรา นางก็ยังคงรูปลักษณ์เป็นเด็กหญิงตัวน้อย นิสัยเองก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น ตัวข้าเองก็เหมือนกัน
มีบางเวลาในช่วงกลางคืน นางจะเอ่ยถึงความฝันของนางกับข้า ทุกครั้งความฝันของนางต้องเปลี่ยนไปอย่างหนึ่ง…
“ข้าไม่อยากเป็นจิตรกรแล้ว ข้าอยากเป็นนักแสดง!”
“นักแสดงเองก็ไม่ดี เป๋าเป่า ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเป็นหมอ ข้าจะช่วยรักษาคนบาดเจ็บล้มตาย!”
“เป็นหมอเหนื่อยเกินไป เอาแบบนี้เป๋าเป่า พวกเราเปลี่ยนสักหน่อย ข้าจะกลายเป็นบัณฑิต บัณฑิตที่รู้ทุกสิ่ง เจ้ารู้สึกว่าอย่างไร?”
ก็เป็นเช่นนี้ ท่ามกลางความฝันที่เปลี่ยนไปไม่หยุดของนาง ไม่อาจทราบได้ว่าเวลาไหลผ่านไปนานเท่าไร พวกเราเหมือนจะเดินทางไปยังดวงดาวในอาณาจักรนี้ได้ประมาณเก้าส่วนแล้ว ราวกับว่าจักรพิภพนี้ในสายตานาง ไม่เหลือความลับอีกต่อไป ความฝันของนางก็เริ่มเปลี่ยนอีกครั้ง
“เป๋าเป่า ครั้งนี้ข้าตั้งใจจริงแล้วนะ!”
“ข้าจะทำความตั้งใจดั้งเดิม ข้าจะกลายเป็นนักเขียน จะเขียนหนังสือ…ตัวเอกของหนังสือก็เป็นเจ้าไง!”
“ข้า?” ข้าเหม่อมองเด็กหญิงตัวน้อย
“ถูกแล้ว เป็นเจ้า ชื่อของจักรวาลนี้ก็ต้องเปลี่ยนแล้ว ไม่เรียกว่าไท่เฮ่าอีก ชื่อนี้ไม่น่าฟังเลย ควรจะเป็นชื่อ…เป๋าเป่า โลกของเป๋าเป่า จักรพิภพเป๋าเป่า” กล่าวถึงตรงนี้ เด็กหญิงตัวน้อยโอบรอบลำคอของข้าอย่างตื่นเต้นยินดี เผยเสียงหัวเราะเบิกบานออกมา
“ก็เป็นแบบนี้ นี่คือโลกของเป๋าเป่า และเป็นเพลงกล่อมเด็กของข้าหวังอีอี!”
ข้าใช้ลิ้นเลียแก้มของนาง ไม่ได้สนใจคำพูดของนาง ในความคิดของข้านั้น บางทีในอีกหลายปีนี้ ความฝันของนางก็จะเปลี่ยนอีก
แต่ข้ากลับไม่คิดเลยว่า ช่วงเวลาหลังจากนั้นจนกระทั่งพวกเราท่องเที่ยวในเขตสุดท้ายของจักรพิภพเสร็จสิ้น ความฝันของนางกลับไม่ได้เปลี่ยน นางกลับเล่าให้ข้าฟังถึงเรื่องที่นางกำลังจะแต่ง
เรื่องราวนี้เรียบง่ายนัก ก็คือหลังจากข้าพบกับนางแล้วพวกเราก็เดินทางไปดูทุกสิ่ง บางทีเพราะว่าข้าเป็นตัวเอกของเรื่อง ดังนั้นข้าจึงฟังนางอย่างสนุกสนาน
และเมื่อถึงตอนนั้น บิดาของนาง ชายวัยกลางคนผมขาวจะยืนอย่างอ่อนโยนอยู่ข้างๆ เสมอ เขาลูบศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อย สายตาและบรรยากาศนั้นเต็มไปด้วยความรักถนอมลึกซึ้ง ราวกับว่าเพื่อความสุขของบุตรสาวนี้เขาไม่เสียดายทุกสิ่ง
ข้าเองก็คิดว่า ชีวิตเช่นนี้ก็คงจะเป็นชีวิตของข้าไปจนวาระสุดท้าย แต่กระทั่งวันหนึ่ง…นางขึ้นขี่บนหลังของข้า ในยามที่ข้าทะยานอยู่กลางอวกาศนั้น ข้าพลันสัมผัสได้ว่าร่างอันเล็กจ้อยของนางค่อยๆ เย็นลงทีละน้อย
ความเย็นเยียบนี้ ทำให้ข้าตื่นตระหนก เพราะความเย็นเยียบเช่นนี้ ตอนข้าเป็นเด็กเคยสัมผัสผ่านร่างอสูรวิเศษตนอื่นมาก่อน ตามที่ลิงชราอธิบายเอาไว้ในปีนั้น ข้าทราบดีว่านี่คือการจากไป การกลับสู่ความว่างเปล่า หรือที่เรียกกันว่าความตาย
ดังนั้นข้าจึงหยุดฝีเท้าด้วยความกลัว ร่างของนางเหมือนจะสิ้นลมหายใจแล้วไถลลื่นลงมาจากตัวข้า
ข้าหันกายไปอย่างหวาดผวาแล้วมองดูเด็กหญิงตัวน้อยใบหน้าซีดขาว ข้าใช้ลิ้นเลียแก้มของนางหลายครั้ง คิดจะปลุกนางแต่กลับไม่มีประโยชน์อันใด และในยามที่ข้าเงยหน้าขึ้นมองบิดาของนางอย่างร้อนใจนั้น ดวงตาของชายวัยกลางคนดังกล่าวเผยความเจ็บปวดเสียใจ
ความเจ็บปวดนี้ทำให้ร่างของข้าสั่นสะท้าน
ทว่าในยามที่…เขายกมือขึ้นลูบหัวของเด็กหญิงตัวน้อยนั้น ดวงตาของนางก็ค่อยๆ เปิดออก ราวกับตื่นขึ้นมาแล้วนางยังมีอาการง่วงงุนเล็กน้อย นางเอ่ยพึมพำเสียงเบา
“เป๋าเป่าอย่าวุ่นวาย ข้าง่วงนิดหน่อย รอข้าตื่นแล้ว ข้าจะเล่นกับเจ้า ให้ข้า…นอนสักหน่อย นอนสักงีบก็คงดีแล้ว”
เสียงของนางแผ่วเบามาก จนกระทั่งสัมผัสเย็นเยียบนั้นกลับมาอีกครั้ง บิดาของนางอุ้มนางขึ้นมาเบาๆ เขามองไปยังทิศทางไกลแสนไกล แล้วค่อยๆ เดินจากไป
ข้ามองดูเงาร่างของเขา มองดูเงาหลังนี้หลอมเข้ากับเงาร่างของเด็กหญิง ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ขุมหนึ่งก็พลันปรากฏในหัวใจของข้า ราวกับว่า…ข้าได้สูญเสียบางอย่าง
“ป่วยอย่างนั้นหรือ…” ข้าพึมพำไร้จุดหมาย ก้มหน้ามองทรวงอกของตนเอง ดวงตาของข้าพลันทอประกายอีกครั้ง ข้าคิดออกแล้ว…ที่เผ่าของข้าถูกตามล่านั้นมีเหตุผลหนึ่งอยู่ เหมือนกับว่าเลือดหัวใจของพวกข้า สามารถรักษาอาการป่วยได้
“ถูกแล้ว เลือดหัวใจของข้า รักษาโรคได้!” คิดถึงตรงจุดนี้ ข้าก็รีบเงยหน้าขึ้น มองดูเงาร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไป ข้าพยายามห้อตะบึง คิดจะตามไป…
เพียงแต่ว่า ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ก้าวเท้ากว้างและไม่ได้เดินเร็วมากนัก แต่ข้ากลับตามไม่ทัน ข้าเพียงเห็นเขาค่อยๆ เดินจากไปไกล นั่นทำให้ข้ากังวลมาก ข้าพยายามวิ่งไล่ตาม ข้าคิดถึงยามที่เกิดมา คิดไปถึงฉากที่ฝูงของข้าทอดทิ้ง ข้าในเวลานั้นไม่กล้าห้อตะบึงสุดแรงเพราะเกรงว่าข้าเสียงฝีเท้าของข้าจะไปล่อความสนใจจากพวกนักล่า
แต่ในยามนี้ ข้าไม่อ่อนแออีกแล้ว ในยามนี้ ข้าไม่ขลาดเขลาอีกแล้ว ในยามนี้ ข้าไม่กลัวอีกแล้ว เพราะว่าเลือดหัวใจของข้าสามารถรักษาโรคได้ เพราะว่าข้าไม่อยากสูญเสีย…เสียงหัวเราะของนางที่อยู่เคียงข้างข้ามาทั้งชีวิต
ดังนั้นแล้ว ความเร็วของข้าก็ยิ่งทวีมากขึ้น ในสมองของข้าก็ยิ่งขาวโพลน ในนั้นมีความคิดเดียว ข้าต้องตามให้ทัน!
ข้ากระโจนข้ามดาวเคราะห์แต่ละดวง ข้าแหวกว่ายข้ามธาราดวงดาว มุ่งหน้าไปยังเงาหลังห่างไกลนั้น วิ่งไม่หยุด ข้าไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไร จนกระทั่งรอบด้านไร้ดวงดาว จนกระทั่งทั้งจักรวาลเริ่มดูพร่าเลือน จนกระทั่งเบื้องหน้าของข้า คล้ายกับว่าจะมีทางสิ้นสุด!
ข้าไม่ได้ลังเล ข้าใช้แรงกำลังทั้งหมด ต่อให้สติจะเริ่มแตกซ่าน ต่อให้ร่างกายข้าเริ่มสูญสลายไป แต่ข้าก็ยัง…มุ่งหน้าไปหาจุดสิ้นสุดนั้น แล้วชนเข้าไป!
เสียงนั้นเป็นเสียงที่ข้าไม่รู้จะอธิบายเช่นไร แต่มันกังวานอยู่ในหูของข้า ร่างกายของข้าพังทลายแล้ว สติของข้าก็ดับสูญ แต่ในชั่วพริบตานั้น ราวกับว่าข้าผ่านพ้นกำแพงนั้นมา ราวกับว่าข้าพบโลกอันแสนอัศจรรย์ ข้าราวกับว่า…แหงนหน้าขึ้นไปสามฉื่อ แล้วเห็นอะไรบางอย่าง…
“ข้ามองเห็นอะไรนะ…” จักรพิภพดาราไม่รู้สิ้น ท่ามกลางหมอกของดาวชะตา หวังเป่าเล่อเปิดตาทั้งสองขึ้นอย่างมึนงง พึมพำเสียงเบา
……………………….