หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1073 ข้าคือวีรบุรุษ!
ขณะที่เสียงของหวังเป่าเล่อก้องกังวาน ทันใดนั้นขวดปรารถนาในมือของเขาก็ร้อนขึ้น ขวดปรารถนาที่เดิมทีมีอัตราความสำเร็จไม่มากนัก เวลานี้โอกาสเดียวอันน้อยนิดกลับประสบผลสำเร็จ หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น หวังเป่าเล่อคงยินดีเป็นแน่
ทว่า ตอนนี้สติของเขาหายลับ กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าพรที่ขอสำเร็จแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความปรารถนานั้นสัมฤทธิ์ผล แม้จะถูกบิดาของหวังอีอีกวาดข้ามกาลเวลาที่ปิดกั้นไว้ด้วยแรงอันแผ่วเบา หากแต่นี่กลับเปรียบเสมือนหายนะแก่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่เป็นเพราะขอบเขตของระยะเวลา…แตกต่างกันเกินไป!
ดีที่ขวดปรารถนามีพลังประหลาด ตอนนี้ขณะที่พลังจากด้านในกระจายออก ไหลตามความร้อนที่เกิดขึ้น เข้าห่อหุ้มพื้นที่ว่างในไอหมอกที่หวังเป่าเล่ออยู่ จากนั้นก็หดลงทันที โดยมีหวังเป่าเล่ออยู่ตรงกลาง
ดูเหมือนว่าด้านในนั้นจะแฝงไว้ซึ่งพลังบางอย่างที่สามารถใช้ต้านกับพลังของบิดาหวังอีอีได้ ทำให้ที่ว่างผืนนี้ราวกับถูกคุมขัง ก่อเป็นพลังกดทับอันแข็งกล้า และด้วยพลังกดทับนี้เอง ทำให้เลือดของหวังเป่าเล่อที่กระอักออกมาในภายแรก และเวลานี้ได้กลายเป็นคนตัวน้อยไปแล้ว ต่างค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ทางหวังเป่าเล่อใหม่อีกครั้ง
ในพริบตา มันก็ตรงกลับเข้าไปในปากของเขา เวลาเดียวกันก้อนเนื้อเหล่านั้นที่แกว่งอยู่บนร่างของหวังเป่าเล่อ ต่างหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้พลังกดทับ ดูเหมือนว่าก้อนเนื้อได้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมแล้ว
แขนขา ร่างกาย และอวัยวะภายในทั้งหมดรวมถึงเลือดเนื้อ ล้วนอยู่ภายใต้พลังกดทับทั้งสิ้น ความรู้สึกของการแยกจากอ่อนแรงลง คล้ายกับมนุษย์หินที่ใกล้จะแตกสลาย ทว่าด้วยพลังกดดันรุนแรงจากภายนอก จึงไม่พังทลาย กลับสมานใหม่อีกครั้ง เพราะการรักษาและฟื้นฟู
ชั่วพริบตาต่อมา เมื่อสุดท้ายก้อนเนื้อบนร่างหวังเป่าเล่อหายไปแล้ว ระดับความร้อนของขวดปรารถนาก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว พลังกดทับรอบด้านหายวับ หวังเป่าเล่อตัวสั่น เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในนั้นฉายแววงุนงง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นความหวาดผวาทันที รีบก้มลงสำรวจร่างกาย ก่อนจะถอนหายใจโล่งอก
“เกือบไปแล้ว…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ในขณะที่ยังคงตกอยู่ในความหวาดหวั่น สั่นกลัวต่อบิดาของหวังอีอี เขาก็รับรู้ได้อย่างลึกซึ้ง
“ผู้ที่สามารถสร้างบทสวดแห่งเต๋าได้…” เขาจมอยู่ในความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบหันหน้าไปทางเฉินหาน มองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ ราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง
ขณะที่หวังเปาเล่อขอพรอยู่ที่นี่ เฉินหานก็คืนสติแล้ว เพียงแต่การรับรู้อดีตชาติในครั้งนี้ ต่างไปจากก่อนหน้า ดังนั้นจึงดูเหมือนวิญญาณยังไม่กลับมา ใบหน้าว่างเปล่า
หวังเป่าเล่อมองไปทางเฉินหานที่กำลังงงงวย เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แท้จริงแล้วมันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่สำคัญมาก หากคนผู้นี้ไม่โผล่พรวดออกไป ร่ำร้องจะแต่งงานกับหวังอีอี ก้าวขึ้นสู่จุดสุดยอดชีวิตเห็ดคงไม่ตกเป็นจุดสนใจ เกรงว่านั่นอาจเป็นโอกาสอันน้อยนิดที่จะได้พุ่งออกจากท้องฟ้าที่เปิดออก เพื่อสำรวจโลกภายนอก
ทว่า… แม้เฉินหานจะไม่ร่ำร้อง บิดาของหวังอีอีก็ย่อมปรากฏตัวอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังหงุดหงิดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
แม้ว่า… สาเหตุที่เฉินหานกลายเป็นเช่นนี้ จะมาจากการทดสอบของหวังเป่าเล่อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์ในอดีตชาติ ทำให้การทดสอบอย่างต่อเนื่องในจิตใจของเฉินหานส่งพลังผันผวนออกมาราวกับถูกสะกดจิต
ความผันผวนนี้ เดิมทีเขาคิดว่าเป็นความล้มเหลว แต่เมื่อพิจารณาจากผลสุดท้าย ดูเหมือนว่า…มันจะสมบูรณ์แบบมาก
แต่แม้จะด้วยเหตุผลสองประการนี้ หวังเป่าเล่อก็รู้อยู่แก่ใจว่าความรับผิดชอบของเขานั้นมีไม่น้อย แต่ก็ยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ดี ยามนี้เขาจ้องมองด้วยความแค้น และเฉินหานดูเหมือนจะสังเกตได้ ร่างกายของเขาสั่นเทา หลังจากตื่นเต็มตา เขาก็เห็นสายตาที่ไม่พอใจของหวังเป่าเล่อในทันที
“ท่านพ่อ?”
“เล่ามา ชาตินี้ของเจ้า สภาพการณ์เป็นเช่นไร” หวังเป่าเล่อละสายตา กล่าวเสียงเบา เขาลองถามเพื่อให้แน่ใจว่าการทดสอบของตนสำเร็จจริงหรือไม่ และเพื่อตรวจสอบว่าอีกฝ่ายโดนลบความทรงจำทิ้งเหมือนคราวที่แล้วด้วยหรือไม่
แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ เฉินหานก็ยิ่งประหม่ามากขึ้น เพิ่งจะฟื้นคืนได้สติ จิตใจยังคงหมกมุ่นอยู่กับความรุ่งโรจน์ในชาติก่อน ตอนนี้เมื่อถูกหวังเป่าเล่อตั้งคำถาม เขากะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจในเจตนาของอีกฝ่าย แต่ในไม่ช้าก็คิดขึ้นได้ว่าหวังเป่าเล่อตรงหน้า ดูเหมือนจะชอบสอดรู้เรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ดังนั้นจึงเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง
“ท่านพ่อ ชาติที่เจ็ดของข้า… กล่าวไปแล้วท่านอย่าได้เคือง เรื่องนั้น…ท่านพ่อก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย ไม่ทราบว่าได้ยินที่กล่าวว่าวีรบุรุษหรือไม่…” เฉินหานระแวดระวังมาก เกรงว่าจะไปกระตุ้นอารมณ์ของหวังเป่าเล่อ แต่กลับอดโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ ตามความคิดของเขา คาดว่าหวังเป่าเล่อก็เป็นหนึ่งในเห็ดที่อยู่ในนั้น ดังนั้นต้องได้ยินสิ่งที่ตนกล่าว
เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินคำว่าวีรบุรุษ ใบหน้าของเขาก็กระตุก
‘เป็นไปได้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นพวกรุ่นหลานที่อยู่รอบตัวข้า…’ เฉินหานคิดในใจ กระนั้น ก็ยังสังเกตท่าทีของหวังเป่าเล่อ หลังจากเห็นว่าหวังเป่าเล่อขยับใบหน้าแล้ว เขาก็ภาคภูมิใจยิ่งกว่าเดิม
“ท่านพ่อ นั่น… ชาติที่เจ็ดที่ข้ารับรู้ กล่าวง่ายๆ ก็มีเพียงประโยคเดียว แต่งงานกับแม่มด แทนที่เทพเซียน แล้วก้าวขึ้นสู่จุดสุดยอดของชีวิต!”
ประโยคนี้ หากไม่เอ่ยออกมาก็แล้วไปเถอะ แต่เมื่อเอ่ยแล้ว ทันทีที่หวังเป่าเล่อได้ยิน ความคุกรุ่นรุนแรงภายในใจก็ลุกโชนขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ทว่าเฉินหานที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับความภาคภูมิใจของตน ชัดว่าไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้
“นี่คือภารกิจของข้า เพราะข้าพบว่าตั้งแต่กำเนิดข้าก็แตกต่างจากผู้คนทั่วไป ทุกคนชื่นชอบข้า ต่างสนับสนุนข้า ในใจของข้า มีเสียงหนึ่งที่บอกข้าอย่างไม่หยุดหย่อน ว่าข้าเกิดมาพร้อมกับโชคลาภ ข้าถูกลิขิตให้เป็นผู้นำตระกูลของข้า ให้หลุดพ้นจากห้วงระทม และมีอำนาจสูงสุด!”
หลังจากได้ยินวาจาโอ้อวดเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็เดือดดาลขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ท่าทางของเขาแข็งทื่อ สีหน้าแสดงความโมโห วาจาเหล่านั้น เป็นเขาที่ชักนำในจิตใจของอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
“เพื่อเป้าหมายนี้ ข้าพยายามเล่าเรียน พยายามฝึกฝน จนกระทั่งสุดท้าย เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง ข้าตะโกนร้องออกไปบนท้องฟ้า เสียงของข้าสะเทือนฟ้าดิน แม้สุดท้ายข้าจะแต่งงานกับแม่มดไม่สำเร็จ แต่…ข้าก็กลายเป็นวีรบุรุษตลอดกาลของตระกูลเรา และก้าวถึงจุดสุดยอดของชีวิตเช่นกัน!”
“เป็นสุดยอดของชีวิตเห็ดกระมัง!” หวังเป่าเล่อตอบกลับอย่างหงุดหงิด คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เฉินหานได้ยินกลับหัวเราะออกมา
“ท่านพ่อ ที่แท้ท่านก็เป็นเห็ด เมื่อครู่ข้ากำลังคิด ชาติก่อนหน้านั้น ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่แล้ว ล้วนเป็นเห็ดทั้งสิ้น ฮ่าๆ คิดไปแล้วท่านก็คงเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับข้า มาๆ บอกข้าที ท่านเป็นเห็ดตระกูลเหลือง หรือเห็ดตระกูลแดง หรือว่าจะเป็นเห็ดฟ้าม่วงเขียว”
หวังเป่าเล่อคำรามเสียงเย็น พลันยกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ยามนี้เฉินหานที่กำลังส่งเสียงหัวเราะ ก็รีบหยุดในทันที หลังจากศีรษะถูกหวังเป่าเล่อคว้าเอาไว้ เขาก็รีบกรีดร้องขอความเมตตา
“เจ้าบอกสิ ว่าข้าเป็นตระกูลใด?”
“ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว ท่านพ่อ ท่านคือเทพเซียน เทพเซียน!”
“เทพเซียนหรือ?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ก็คือผู้อาวุโสของแม่มดไงเล่า ภายหลังท่านไม่เห็นหรอกหรือ เทพเซียนจุติบนโลก ดูเหมือนกำลังหาสิ่งใดอยู่ จากนั้นไม่นาน ก็มีเทพเซียนมาอีก ทั้งสองต่อสู้กัน จากนั้น…โลกตระกูลเห็ดของเราก็ล่มสลาย”
เฉินหานลนลานกล่าว กล่าวพลางก็สังเกตหวังเป่าเล่อไปพลาง หลังจากเห็นว่าหวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์แห่งการใคร่ครวญ เขาแอบคิดในใจ ‘เจ้าหวังเป่าเล่อนี่ คาดว่าคงเป็นเห็ดน้อยที่อายุสั้น ตายไปก่อนกระมัง ดังนั้นจึงไม่รู้เรื่องในภายหลัง เทียบกับวีรบุรุษเห็ดเช่นข้าไม่ได้เลยสักนิด’ คิดได้เช่นนี้ เฉินหานก็รู้สึกว่าตนเหนือกว่าทันที
‘หึ เป็นเพราะหวังเป่าเล่อโชคดีหรอก ส่วนข้าในชาตินี้โชคร้ายไปหน่อย หากเป็นข้าในชาติที่เจ็ด คำกล่าวของข้าเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เจ้าเด็กน้อยนี่สามารถคุกเข่าร้องขอชีวิต เรียกท่านพ่อไปแล้ว’
เฉินหานคิดในใจ ตอนนั้นเองดวงตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแววครุ่นคิด ความหมายในวาจาเหล่านั้นของเฉินหาน แม้จะมีบางส่วนที่โดนลบความทรงจำออกไปบ้าง แต่โดยรวมก็ยังคงรักษาเอาไว้ได้ แม้กระทั่งบิดาของหวังอีอีกำลังค้นหาสิ่งใด หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่าว่าอาจเป็นตัวเอง หรืออาจจะเป็นขวดปรารถนาใบนั้น
แต่นี่ค่อนข้างไร้เหตุผล
อีกอย่างการมาของเทพเซียน ทั้งสองต่อสู้กันจนโลกล่มสลาย นี่ทำให้หวังเป่าเล่อคิดถึงคำกล่าวของหวังอีอี ‘การมาของท่านอาผู้ดุร้าย…’
ในความเงียบ หวังเป่าเล่อหยิบชิ้นส่วนหน้ากากออกมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว จ้องไปที่ชิ้นส่วนนั้น เขาส่งเสียงเรียก
“แม่นางน้อย อยู่หรือไม่”
ไร้การตอบกลับ
หวังเป่าเล่อรออยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงเก็บชิ้นส่วนหน้ากากนั้นกลับไปอย่างเงียบๆ เขาตระหนักได้ถึงปัญหาอีกอย่างหนึ่ง
“ก่อนหน้านั้นข้าเคยค้นหาในสหพันธรัฐ ชิ้นส่วนอื่นของหน้ากากที่หายไป นี่จะเป็น…เงื่อนงำได้หรือไม่”
เขาครุ่นคิด หวังเป่าเล่อนำเงื่อนงำทั้งหมด กลบฝังมันไว้ในใจ คำตอบของเรื่องนี้ แม้ว่าจะได้รับการเฉลยบ้างแล้ว หากแต่เขากลับจำได้ว่าในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่ง …
‘มีบางเรื่อง เมื่อเจ้าเข้าใจว่ารู้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว บ่อยครั้ง…นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ผู้อื่นต้องการให้เจ้าเห็น!’
ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องที่จะสรุปได้โดยง่าย การยืนยันและแสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความจริง!
คิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง กฎแห่งจันทร์คล้อย…สิ่งที่ได้รับรู้ก่อนหน้านั้นผุดขึ้นในจิตใจ!
“เทียบกับการตั้งข้อสงสัยในโลกนี้แล้ว ข้าเชื่อใน… พลังของข้าเอง!”
……………………