หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1074 จันทร์ข้างแรม!
“วันเวลาล่วงผ่านดุจเดือนกับตะวันสับเปลี่ยนแทนที่ เดินหน้าอย่างไร้จุดสิ้นสุด แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ไม่มีวันหวนกลับไปจุดเดิม” หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น พึมพำเสียงเบา ในหัวคิดแต่กฎแห่งจันทร์คล้อยที่หวังอีอีแสดงออกมาให้เห็นก่อนหน้านี้
แต่…ความยากของกฎกาลเวลานั้นมีมาก อีกทั้งจันทร์คล้อยที่หวังอีอีแสดงออกมาก็ไม่ใช่พลังเทพอย่างสมบูรณ์ นับว่าเป็นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรตอนนั้นนางก็ยังไม่ได้เรียนรู้วิธีใช้กฎแห่งจันทร์คล้อยอย่างแท้จริง
อีกอย่าง หวังเป่าเล่อก็เห็นแค่เพียงวันนั้นที่หวังอีอีแสดงออกมา แม้ในวันนี้จะทดลองไปหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายก็เรียนรู้ไปได้ไม่เท่าไร
เหตุผลทั้งหลายนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเข้าถึงกฎแห่งจันทร์คล้อยได้ไม่สมบูรณ์ ยังห่างชั้นกับกฎแห่งจันทร์คล้อยแท้จริงอยู่มากโข แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นกฎกาลเวลา หากวัดจากระดับขั้นแล้ว นี่นับเป็นพลังเวทสูงที่สุดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นมา!
แม้แต่อาจารย์ของตนหรือเฉินชิงจื่อ พวกเขาก็ไม่เคยครอบครองกระบวนเวทที่เรียกว่าเป็นระดับสูงสุดแห่งเต๋าเช่นนี้มาก่อน ยิ่งกว่านั้นหากมองทั้งจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้นแล้ว ก็อาจไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถแสดงพลังเฉกเช่นกฎแห่งจันทร์คล้อยที่แท้จริงออกมาได้
จุดนี้หวังเป่าเล่อมั่นใจเต็มร้อย ถึงเขาจะรู้จักจักรพรรดิสวรรค์ไม่ดีเท่าไร แต่ในขณะที่ได้สัมผัสกับกฎแห่งจันทร์คล้อยนั้น เขาก็มีลางสังหรณ์บางอย่าง นั่นคือหากกฎนี้ถูกใช้ขึ้นอย่างสุดพลังก็สามารถทำให้จักรภพเต๋าไม่รู้สิ้น ดาราจักร ดวงดาราทั้งหลาย สรรพสิ่งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นปราณระดับไหนขั้นที่เท่าไรต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นได้ในพริบตา
กฎนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเริ่มต้นดาวโลกใหม่
และพลังเวทเช่นนี้หากมีใครในจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้นครอบครองอยู่จริง เช่นนั้นโลกใบนี้ก็คงไม่มีอดีตชาติเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้
ลองสมมติ หากกฎแห่งจันทร์คล้อยเป็นเหมือนกฎที่อยู่จุดสูงสุดของกฎทั้งปวง และก็เป็นเพราะว่าระดับขั้นสูงเกินไป ดังนั้นแม้หวังเป่าเล่อจะรับรู้สัมผัสได้บางส่วนก็ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับส่งผลต่อเขาอย่างมหาศาล
ด้วยการสัมผัสและรับรู้นี้จึงทำให้ปราณของเขาเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรแทบจะในทันที แม้จะยังไม่ถึงขั้นสุดยอดมหาวัฏจักรแต่ก็สูสีคู่คี่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือในพริบตานั้น ล้วนส่งผลต่อกฎที่เขามีทั้งหมด
อันดับแรกคือเต๋าโลหิตแดง เต๋าเมฆาฟ้า เต๋าลมคราม เต๋ากลืนกินม่วง รวมทั้งเต๋าสีขาวแห่งแสงสว่างที่สัมพันธ์กันถึงร้อยละเก้าสิบแปด กฎทั้งห้านี้เดิมทีก็เกือบจะถึงขีดสุดแล้ว ทว่าด้วยเหตุนี้ เวลานี้จึงพัฒนาขึ้นอีกครั้ง ไต่ระดับสูงสุดถึงร้อยละเก้าสิบเก้า!
ส่วนเต๋าดนตรีส้ม เต๋าพืชเขียวและเต๋าสีดำแห่งความตายก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกันกับเต๋าเปลวไฟเหลืองที่อยู่ร้อยละเก้าสิบ ดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงนี้ล้วนไต่ระดับสูงขึ้นและส่งผลคุณภาพให้แก่เขา!
พลังต่อสู้ของเขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของพลังปราณไปเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถใช้ดาวพระเคราะห์เป็นเกณฑ์วัดได้อีก เพราะในระดับดาวพระเคราะห์ กฎทั้งเก้านี้ได้สร้างเกราะคุ้มกันให้เขาแล้ว หรือพูดอีกอย่างคือไม่ว่าคู่ต่อสู้จะใช้กฎทั้งเก้าดวงไหน ใช้พลังต่อสู้จนหมด เมื่อลอยมาถึงตัวหวังเป่าเล่อ พลังเกินกว่าเก้าส่วนล้วนไร้ประโยชน์
และในทางกลับกัน หากหวังเป่าเล่อใช้กฎทั้งเก้าลงมือก็จะยิ่งมีพลัง ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งร้ายกาจ!
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาในเวลานี้ถึงแม้ไม่ใช่ดารานิรันดร์ แต่ในสนามต่อสู้ก็คือดารานิรันดร์! แม้กฎอื่นๆ จะมีพลังเท่าเดิม แต่ดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อคือการเลียนแบบ กฎที่เหนือธรรมชาติเช่นนี้ก็ได้ชดเชยให้กับข้อบกพร่องสุดท้ายของหวังเป่าเล่อ!
กระทั่งบางคนที่เพิ่งก้าวสู่ระดับดารานิรันดร์ หากเผชิญหน้ากับเขาก็เกรงว่าต้องตกใจจนตัวสั่นเช่นกัน แม้ระดับปราณจะคนละขั้น แต่การควบคุมใช้กฎและเกราะป้องกันก็เพียงพอที่จะทดแทนสิ่งเหล่านี้!
แต่ความก้าวหน้าเหล่านี้ยังไม่ใช่ผลประโยชน์สูงสุดที่หวังเป่าเล่อได้รับในครั้งนี้ สิ่งที่สำคัญสุดคือการสัมผัสได้ถึงกฎกาลเวลา ถึงแม้จะเข้าใจกฎนี้ได้ไม่มากเท่าไร แต่ในระดับขั้นก็ถือว่ายืนยันได้แล้วว่าแก่นแท้มันโดดเด่นไม่เหมือนใคร
นี่ทำให้หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อปรากฏรอยประทับสีม่วงขนาดประมาณเล็บขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขณะเกิดขึ้นรอยประทับนี้ดูคล้ายจริงคล้ายภาพลวงตา หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ก็สามารถมองเห็นได้ ทุกครั้งที่รอยประทับนี้เด่นชัดเลือนหายสลับไปมาก็มีกฎกาลเวลาไหลวนกระจายออกมา
เพียงแต่ ในการไหลวนนี้มีกาลเวลาอยู่ภายใน ไม่นานเพียงแค่สิบลมหายใจเท่านั้นและคล้ายกลับจะเดินถอยหลังอยู่ตลอดเวลาไม่สามารถเดินหน้าได้
และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดาย เพราะตามความเข้าใจของเขาหากสามารถฝึกฝนจันทร์คล้อยที่แท้จริงได้ เกรงว่าทุกครั้งที่รอยประทับลอยเด่นและจางหายสลับกันก็คือการเริ่มต้นใหม่ครั้งหนึ่งของจักรวาล
แต่ว่าเขามีเพียงสิบลมหายใจ
หรือก็คือเขาสามารถแก้ไขเวลาได้ สามารถทำให้สรรพสิ่งโดยรอบ ย้อนกลับไปได้ในสิบลมหายใจ ความน่ากลัวของกฎนี้อยู่ที่ระดับ สามารถส่งผลต่อระดับพลังปราณได้ถึงขั้นสูง หากใช้ได้เหมาะสมพลังนั้นยากจะเอื้อนเอ่ย!
แม้เขาจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็เป็นเพราะเมื่อนำไปเปรียบกับจันทร์คล้อยที่แท้จริง แต่สำหรับผู้ฝึกตนในจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้น หากรู้เรื่องนี้เข้าต้องตกตะลึงกันสุดขีดแน่นอน ถึงขั้นสามารถสร้างความเคลื่อนไหวให้แก่ตระกูลและสำนักต่างๆ ในจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้นได้ทั้งหมด
นี่ถึงจะเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดที่หวังเป่าเล่อได้รับ
“ดารานิรันดร์ต้องได้รับผลกระทบแน่นอน แต่ไม่รู้ว่ากระบวนเวทของข้าจะส่งผลต่อผู้เยี่ยมยุทธ์บ้างหรือไม่…” หวังเป่าเล่อดวงตาเป็นประกาย มือขวาราวกับค่อยๆ ยกสูงขึ้น ทว่าในพริบตาถัดไปมือขวาก็เลือนลางลงก่อนจะหายไปทั้งแขนและปรากฏขึ้นอีกครั้งในตำแหน่งไกลออกไป นั่นก็คือสิบลมหายใจก่อนหน้า จุดที่แขนเขาเคยอยู่
หวังเป่าเล่อหรี่ตา พริบตาต่อมา ก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะไปปรากฏกายที่ข้างเฉินหาน เพียงมือขวายกขึ้นจับ เฉินหานก็ไม่สามารถควบคุมศีรษะได้ในทันที
“ท่านพ่อ!” เฉินหานตื่นตระหนก ขณะที่เสียงหวีดร้องดังขึ้น รอยประทับตรงหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อพลันหมุนเคลื่อน ร่างกายเขาหายไปในพริบตา เฉินหานก็หายไปเช่นกัน จวบจนชั่วพริบตาต่อมา เฉินหานก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ตรงนั้น และหวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม!
เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อลมหายใจกระชั้น นัยน์ตาฉายแววประหลาด
“กฎนี่…แกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!!”
ส่วนเฉินหาน เวลานี้กำลังโคลงศีรษะอย่างหนักหน่วง นัยน์ตาฉายแววงงงัน ลอบเบนหน้ามองหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย นั่นทำให้เขาประหลาดใจมาก ทว่าหลังจากที่แอบมองหวังเป่าเล่อก็พบว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรผิดปกติจึงไม่คิดสิ่งใดต่อ
ทว่าความฉงนของเฉินหานกลับกลายเป็นสิ่งยืนยันของความน่ากลัวจากกฎกาลเวลาให้แก่หวังเป่าเล่อแล้ว ดังนั้นหลังจากพึมพำ หวังเป่าเล่อพลันยกมือขวาขึ้นสูงปรากฏกระบี่บินเล่มหนึ่ง ทำเอาเฉินหานสะดุ้งเฮือก
ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อหักกระบี่ออก นั่นทำให้เฉินหานงงงันยิ่งขึ้น จนรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อตรงหน้านี้ดูคล้ายผิดปกติไป!
ชั่วอึดใจ เมื่อรอยประทับที่หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อสว่างวาบขึ้น กระบี่บินที่หักท่อนพลันหายไป หวังเป่าเล่อนิ่งอึ้ง หลังจากมองไปรอบด้าน ก็รู้สึกถึงปัญหา รีบตรวจสอบถุงสัมภาระอย่างว่องไว หยิบกระบี่บินเล่มก่อนหน้าออกมาในสภาพสมบูรณ์ไร้รอยขีดข่วน!
“หากสิ่งของทำได้ ไม่แน่ว่าบาดแผล…อาจได้เหมือนกัน” หวังเป่าเล่อดวงตาทอประกาย เฉินหานรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่านี่ไม่ถูกต้อง หรือตอนที่ระลึกชาติหวังเป่าเล่อโดนตีหัว พอกลับมาก็เลยกลายเป็นคนโง่เง่า หักกระบี่เสร็จแล้วเก็บกลับถุงสัมภาระทั้งยังแสดงท่าทางประหลาดแล้วหยิบอันใหม่ออกมาอีกเล่ม
‘แม่เจ้าโว้ย แสดงกายกรรมอยู่รึ? หรือว่าจะเสียสติไปแล้ว?’ แม้ในใจของเฉินหานจะด่าทอเช่นนั้น แต่ปากกลับตะโกนว่า
“ท่านพ่อเก่งมาก!”
หากเขาไม่ตะโกนออกมาก็ช่างเถอะ หวังเป่าเล่อคงไม่ได้คิดสนใจ แต่เมื่อร้องตะโกนออกมาแบบนี้แล้วก็ทำให้หวังเป่าเล่ออดเงยหน้ามองไม่ได้ ขณะที่มองไปยังเฉินหานและไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวใดๆ กระบี่บินในมือหวังเป่าเล่อก็ฟาดลงไปยังใบหูข้างหนึ่งของเฉินหานและตัดมันขาดในทันที
บางทีอาจเป็นเพราะกระบี่นั้นรวดเร็ว หรือบางทีปัญหาอาจอยู่ที่ความเร็วของเฉินหาน จวบจนผ่านไปสองสาม ลมหายใจ เฉินหานจึงเบิกตากว้างหวีดร้องออกมา คิดจะเอื้อมมือขึ้นลูบคลำแต่ก็คิดได้ว่าตัวเองไม่มีมือ
“ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว ท่านพ่อไว้ชีวิตด้วย!”
“หนวกหู!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ ใช้กฎกาลเวลาอีกครั้ง รอยประทับที่หว่างคิ้วพลันส่องแสง แต่…คล้ายกับขาดแรงส่ง นี่ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนก รีบเคลื่อนพลังปราณ ดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงต่างสั่นไหว นี่ถึงทำให้กฎกาลเวลาเปิดใช้ได้อย่างราบรื่นในลมหายใจที่สิบ
และในช่วงที่ใช้ขึ้นนั้น ใบหูของเฉินหานก็กลับขึ้นมาใหม่ กระบี่บินยังคงอยู่เบื้องหน้าเขาดังเดิมแต่กลับเลี้ยวโค้งกลับมายังมือเขา
มือถือกระบี่ หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจเฉินหานที่กำลังงงงวย เขาพึมพำ
“น่าจะเป็นเพราะข้าเพิ่งสัมผัสรับรู้กฎกาลเวลา เลยยังไม่คล่องดีกระมัง ไม่อย่างนั้น เมื่อครู่ถึงขาดแรงส่ง…แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ ถึงอย่างไรพลังแห่งกฎก็มีอยู่ทุกแห่ง ที่ข้าทำก็แค่ขยับเขยื้อนมันเท่านั้นเอง”
หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว พึมพำอย่างไร้ประโยชน์ แต่นี่ก็ไม่ส่งผลต่อความตื่นเต้นในการได้สัมผัสรับรู้กฎกาลเวลา
“กฎนี้ไม่มากพอที่จะเปรียบเทียบกับกฎกาลเวลาที่แท้จริง เช่นนั้นก็เรียกมันว่า…จันทร์ข้างแรมแล้วกัน!!”
“ต่อจากนี้ ก็เป็นชาติที่แปด…ไม่รู้ว่าชาตินี้ข้าจะสัมผัสได้แต่ความเย็นเยือกกับความมืดมิดอีกหรือไม่ ส่วนทางด้านเฉินหาน ยังไงข้าก็ต้องไปเสียหน่อย” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำ กาลเวลาเลยผ่านอีกครา ในเวลาอันสั้น…ขณะที่เฉินหานกำลังบ่นงึมงำอยู่ในใจ น้ำเสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นในหัวของทั้งสอง
“วันที่แปด ชาติที่แปด!”
………………