หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1076 แค่ครู่เดียว!
ทันทีที่เขาออกจากโลกกระดาษสีขาว ความรู้สึกโล่งใจก็ผุดขึ้นในจิตสำนึกของหวังเป่าเล่ออย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนทันที ความรู้สึกนี้ราวกับโซ่ตรวนบนร่างกายได้ถูกปลดออกและคล้ายกับภูเขาสูงที่กดทับจิตวิญญาณอยู่ในตอนแรกได้ถูกย้ายออกไป
ความรู้สึกสุขสบาย รู้สึกปลดปล่อยเช่นนี้ทำให้จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาโล่งใจมากจนไม่สามารถพรรณนาได้
“ความรู้สึกโล่งแบบนี้…”
ขณะที่ในใจหวังเป่าเล่อสั่นไหวอีกรอบ ขณะที่ความรู้สึกผ่อนคลายผุดขึ้นมาไม่หยุด กระทั่งสติสัมปชัญญะก็ปลอดโปร่งขึ้นมาก เวลาเดียวกันก็มีแรงสั่นไหวของกฎและกฎเกณฑ์กระเพื่อมขึ้นเรื่อยๆ ลอยลงมาในทันที
ชั่วพริบตา สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวอย่างรุนแรง กฎต่างๆ ในร่างเขาพลันปรากฏความสั่นคลอนราวกับจะถูกลบไป!
ราวกับกฎและกฎเกณฑ์ในโลกกระดาษสีขาวต่างจากโลกภายนอก หรือกล่าวได้ว่ากฎและกฎเกณฑ์ของโลกภายนอกนั้นสมบูรณ์กว่า ทำให้ขณะที่สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อพุ่งพรวดออกมา กฎและกฎเกณฑ์ในร่างกายได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง
การโจมตีดุจสายฟ้านี้ระเบิดลงในสติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่ออย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาฟุ้งซ่าน จิตใจสั่นคลอน โชคดีที่มีดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงอีกทั้งยังมีดาวเคราะห์เต๋า ดังนั้นแม้การโจมตีจะรุนแรงแต่ก็ยังพอจะยืดเวลาออกไปได้อยู่บ้าง แต่เขารู้ดี…ว่าการโจมตีของกฎและกฎเกณฑ์นี้ ตัวเขาไม่สามารถยืนหยัดได้นานนัก
และด้วยการยืดเวลาในระยะสั้นๆ หวังเป่าเล่อกวาดตามองรอบด้านอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านั้นเขาเคยสำรวจดูแล้ว รู้ว่าที่นี่มีห้องหนึ่งและความรู้สึกคุ้นเคยที่เคยได้รับก็มาจากห้องนี้ กล่าวให้ถูกคือเขาได้มองห้องนี้ผ่านสายตาของเฉินหานเมื่อสองชาติที่แล้ว
ที่นี่…ก็คือห้องของหวังอีอี!
การตกแต่งแม้จะมีรายละเอียดบางอย่างต่างไปจากความทรงจำในสองชาติก่อนที่เคยเห็น แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้อยู่ในโลกที่เคยอยู่ ดังนั้นหลังจากใช้ดวงจิตกวาดมองก็ยิ่งเห็นได้ชัดขึ้น ยิ่งละเอียดขึ้น
สิ่งที่เขาเห็น…นอกจากของใช้ประจำวันและของเล่นจำนวนมาก รอบๆ นั้นยังมีชั้นวางอีกมากมายที่มีลูกปัดขนาดเล็กใหญ่วางอยู่และปล่อยแสงนวลตลอดเวลา ไม่รู้ว่าลูกปัดพวกนี้เตรียมไว้ทำอะไร
นอกจากนี้…ก็เป็นขวดยาต่างๆ บางทีเป็นเพราะขวดยาที่เยอะเกินไป จึงทำให้มีกลิ่นยาลอยอบอวลอยู่ทั่วห้อง อีกทั้งผนังทั้งสี่ด้านก็ไม่มีหน้าต่าง มองไม่เห็นทิวทัศน์ด้านนอก ทางออกเดียวที่มีคือประตูทางออก
เมื่อภาพเหล่านี้สะท้อนเข้าในสายตาหวังเป่าเล่อ ดวงจิตเทพของเขาก็แผ่ซ่านออกอย่างรวดเร็ว และพยายามจะลองดูทิวทัศน์ข้างนอกจากห้องนี้ แต่ราวกับว่ามีบางอย่างขวางกั้น เมื่อดวงจิตเทพของเขาสัมผัสโดนก็ราวกับวัวเดินลงทะเล แตกกระจายออกไป ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่น
จิตใจของหวังเป่าเล่อจมดิ่ง ไม่กล้าทดลองมากเกินไปนัก เพราะเกรงว่าจะเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสองชาติก่อน ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าอย่างรวดเร็วมองไปยังโลกกระดาษสีขาวแห่งนั้นที่ตนจากมา ขณะที่มองก็พลันเห็น…สมุดเล่มหนึ่งที่จู่ๆ ก็วางอยู่บนพื้น!
เวลานี้ในหน้าสมุดมีคนตัวเล็กจำนวนมาก และในหน้าสมุดนั้น…ก็คือโลกที่เขาจากมา!
“ใช่สมุดเล่มนั้นหรือ…” จิตสำนึกของเขาสั่นสะท้าน ขณะที่กำลังจะพินิจอย่างละเอียด ตอนนั้นเอง…ก็มีเสียงลอยแว่วมาจากข้างตัวเขา
“ทำไมเจ้าถึงออกมาล่ะ?”
เสียงลอยดังออกมา หวังเป่าเล่อหันมองตามสัญชาตญาณ ก็เห็นว่าเป็นหวังอีอีที่ถือพู่กันอยู่ข้างๆ ร่างของนางเล็กกว่าชาติก่อนที่เห็น นางนั่งอยู่ตรงนั้นมองปลายพู่กันจีนด้วยความสงสัยใคร่รู้
นางมองปลายพู่กันจีน ทว่าในความรู้สึกของหวังเป่าเล่อกลับคิดว่านางกำลังมองตนอยู่ ราวกับในเวลานี้พวกเขากำลังสบตากันในความว่างเปล่า
เมื่อถูกสายตาหวังอีอีจับจ้อง สติสัมปชัญญะของเขาพลันชะงักกึก จิตใจสับสน อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
“ทำไมเจ้าไม่พูดล่ะ? แปลกจัง ทำไมเจ้าถึงออกมาจากข้างในได้นะ…เจ้าชื่ออะไร ออกมาเพราะจะเล่นกับอีอีหรือ?” ในแววตาใคร่รู้ของเด็กสาวฉายแววไร้เดียงสาและความคาดหวัง
“ข้า…อยากออกมาดูข้างนอก” หลังจากนิ่งเงียบ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“ข้างนอก? ที่นี่? หรือที่ไหน?” เด็กสาวตัวน้อยตกตะลึงพลางชี้ไปยังประตูห้อง
“ตรงนั้น…” หวังเป่าเล่อจ้องมองหวังอีอี ดวงจิตเทพถ่ายทอดสื่อถึงตำแหน่งของประตูห้อง
“แต่ว่า…ท่านแม่บอกว่าข้างนอกมีสัตว์ประหลาดกินเด็กอยู่ เจ้าตัวเล็กอ่อนแอแบบนี้ ขืนออกไปก็กลับมาไม่ได้หรอก” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวด้วยความจริงจังก่อนหันมองดูรอบๆ แล้วหยิบตุ๊กตาลิงตัวหนึ่งออกมา
“เอางี้ไหม เจ้าอย่าออกไปข้างนอกเลย ข้าให้ตุ๊กตาตัวนี้เจ้า เจ้าเล่นกับมันสิ”
ยามเห็นตุ๊กตาลิง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกคุ้นตา พลันนึกขึ้นได้ว่าลิงตัวนี้ดูคล้ายกับวานรเฒ่าที่เขาเคยเห็นในหลายชาติก่อน
เพียงแต่การโจมตีของกฎและกฎเกณฑ์ในเวลานี้ ราวกับได้ถึงจุดที่หวังเป่าเล่อรับไหวแล้ว เขารู้ดีว่าตนเองยืนหยัดได้อีกไม่นาน ดังนั้นจึงรีบถอนสายตากลับแล้วถ่ายทอดดวงจิตเทพทันที
“แต่ข้ายังอยากออกไปข้างนอกอยู่…ออกไปดูโลกใบนี้”
“อ่า งั้นหรือ…” เด็กสาวตัวน้อยกลัดกลุ้มและสับสน ขณะมองไปยังบานประตูพลางมองพู่กันอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา
“แค่ครู่เดียวนะ?”
“แค่ครู่เดียว!”
“ตกลง ใครโกหกเป็นลูกหมา!” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวพลางก็ลุกขึ้นจากพื้น หยิบพู่กันจีนเดินโงนเงน ไปยังประตูห้อง และเพียงไม่นาน ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตื่นเต้น เด็กหญิงตัวน้อยก็ถึงข้างประตูห้องแล้ว ขณะที่กำลังเอื้อมมือไปผลัก คล้ายร่างของนางจะยืนไม่มั่นคง จึงล้มลงไปโดนชั้นวางด้านข้าง ทำให้ตุ๊กตาจิ้งจอกน้อยที่วางอยู่บนนั้นหล่นลงมา
มันหล่นลงโดนศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อย ก่อนจะหล่นลงบนพื้น
เมื่อเห็นตุ๊กตาจิ้งจอกน้อยตัวนั้น จิตใจหวังเป่าเล่อก็พลันสั่นไหวขึ้นอีกครา ยังไม่ทันได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เด็กหญิงตัวน้อยก็หยิบตุ๊กตาขึ้นมาแล้ว
“จิ้งจอกน้อย เจ้าไม่เชื่อฟัง กล้าชนข้า…แต่ว่าข้าก็ยังชอบเจ้า” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวพลางวางตุ๊กตาจิ้งจอกไว้ด้านหน้า จุ๊บหนึ่งครั้ง ท่าทางมีความสุขมาก ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก ลืมเรื่องที่จะเปิดประตูพาหวังเป่าเล่อออกไปข้างนอกเสียแล้ว
หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัว ขณะที่กำลังจะกล่าวบางอย่าง ในตอนนั้นเอง…
ก็มีเสียงอ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งแว่วมาจากนอกประตู
“อีอี มีเรื่องดีใจอะไรขนาดนี้หรือ บอกแม่หน่อยสิ”
เวลานั้น ประตูที่ปิดแน่นถูกเปิดเข้ามาจากภายนอก ในยามที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้อง หญิงสาวงดงามวัยกลางคนสวมกระโปรงยาวสีฟ้าที่ดูอ่อนโยนก็นั่งลงเบื้องหน้าเด็กหญิงตัวน้อยด้วยสายตาเอ็นดูพลางลูบศีรษะของนางเบาๆ
“ท่านแม่ เมื่อครู่จิ้งจอกน้อยดื้อ ชนข้าทีหนึ่ง แต่ว่าข้าสั่งสอนมันแล้ว ใช่แล้วท่านแม่ ข้าออกไปเล่นข้างนอกสักประเดี๋ยวได้หรือไม่” เด็กหญิงยิ้มออดอ้อน
สตรีผู้นี้งามหมดจด ท่าทางอ่อนโยน ราวกับมีกลิ่นอายพิเศษอยู่บนร่างที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกสงบเมื่อเจอ เพียงแต่ว่าเมื่อนางได้ยินคำขอของเด็กหญิง ลึกลงไปในดวงตากลับฉายแววปวดร้าวและมือที่ลูบผมของหวังอีอีอยู่ก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้น
ความปวดร้าวนี้ เด็กหญิงตัวน้อยไม่อาจสังเกตได้ ทว่าหวังเป่าเล่อกลับรู้สึก หากแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมากนัก จิตใจทั้งหมดถูกโลกภายนอกดึงดูดไปหมดแล้ว
ขณะที่สตรีผู้นั้นเปิดประตู ยอบกายลงลูบศีรษะเด็กหญิงตัวน้อย หวังเป่าเล่อที่อยู่บนปลายพู่กันก็ได้เห็นโลกด้านนอกขณะที่ประตูแง้มเปิดพอดี
ด้านนอกเป็นทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง ท้องฟ้าสีคราม ดวงอาทิตย์สาดส่อง เป็นโลกที่สดใสสวยงาม ทว่าเวลาเดียวกันแม้จะงดงามไร้ที่ติก็เปี่ยมไปด้วยแรงดึงดูดล่อตาล่อใจบางอย่างยากจะพรรณนา ทำให้สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อที่กำลังสั่นไหวอยู่นั้น พลันรู้สึกคึกคะนองขึ้นมาอย่างรุนแรง ในพริบตาสติทั้งหมดล้วนพุ่งทะยาน!
พุ่งไปยัง…นอกประตูที่เปิดออก!
ในตอนที่ผ่านประตูบานนั้นออกมา คล้ายกับว่าเห็นท่านแม่ของหวังอีอีที่อยู่ข้างๆ หันหน้ามองมายังตน แต่หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาให้ใส่ใจ ขณะนี้สติสัมปชัญญะของเขากำลังพุ่งทะยาน และพริบตาต่อมา…เขาก็ได้ผ่านเขตประตูห้อง ออกสู่…โลกภายนอกอย่างแท้จริง!
ทว่าในตอนที่สติสัมปชัญญะทะยานถึงโลกภายนอก…ทุ่งหญ้าเบื้องหน้าพลันหายวับ กลายเป็นสถานที่รกร้าง ดวงอาทิตย์ที่สาดแสงหายลับกลายเป็นความมืดมิด เช่นเดียวกันกับท้องฟ้าสีครามแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา ทั้งโลก ทั้งผืนดิน สีสันสดใสสวยงามล้วนกลายเป็นซากปรักหักพังในพริบตา
“นี่…นี่…” จิตสำนึกหวังเป่าเล่อร้องคำราม หันหน้าตามสัญชาตญาณเพื่อมองดูห้องที่ตัวเองเพิ่งทะยานออกมาเมื่อครู่ แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรงในสติสัมปชัญญะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!!!
…………………