หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1080 ที่มาของมือ!
ทันทีที่คำพูดของหวังเป่าเล่อลอยออกมา พลังยับยั้งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในบริเวณไอหมอกพลันหยุดลง หลังจากหยุดนิ่งไปหลายอึดใจ การยับยั้งในไอหมอกนี้ก็คล้ายกับลดลงและจางหายไปทีละน้อย
แม้ไม่ได้หายไปทั้งหมด แต่ก็เป็นการเปิดทางให้หวังเป่าเล่อเพียงคนเดียว เพื่อให้ดวงจิตของเขาสามารถกวาดดูทั้งผืนหมอกได้ชั่วเวลานี้!
เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อตะลึงงัน ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อครู่เขาเพียงแค่ลองเอ่ยปากดูเท่านั้น หากไม่มีอะไรเปลี่ยน เขาก็ยังมีหนทางอื่นในการตามหาผู้ทดสอบพลังฝึกปรือเหล่านั้นอยู่ดี
แต่ไม่คิดว่าจะได้ผลขนาดนี้…
สิ่งที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตะลึงงัน หลังจากนั้นก็นิ่งเงียบไป เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาครุ่นคิด หลังจากประสานหมัดคารวะไปทางไอหมอก เมื่อปล่อยดวงจิตออกไปก็เลือกได้สองสามเป้าหมายในทันที
เวลานี้ผู้ที่กำลังดำดิ่งในการระลึกชาติที่เก้ามีทั้งหมดสามสิบกว่าคน ผู้ที่อยู่ใกล้หวังเป่าเล่อที่สุด เขาไม่รู้จัก แต่ที่อยู่ห่างออกไปอีกหน่อยนั้น หวังเป่าเล่อคุ้นเคยดี
นั่นก็คือ…สวี่อินหลิง!
ดังนั้นหวังเป่าเล่อต้องเลือกเส้นทางที่ไกลกว่าอยู่แล้ว แม้จะไกลกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็เสียเวลาเพิ่มไม่กี่อึดใจเท่านั้น พริบตาเดียว เงาร่างเขาก็ราวกับแสงสีแดงยาวมุ่งไปทางสวี่อินหลิงพร้อมเสียงหวีดหวิว
ทว่า สวี่อินหลิงนั้นเจ้าเล่ห์นัก สถานที่ระลึกชาติของนางยังแตกต่างจากของผู้อื่น ไม่ใช่สถานที่เปิดโล่ง แต่ใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเลือกระลึกชาติอยู่ในไอหมอก
หากไม่ใช่เพราะดวงจิตของหวังเป่าเล่อสามารถกวาดสำรวจได้บริเวณกว้าง หรือหากมุ่งมั่นไปยังพื้นที่เปิดโล่งพวกนั้นเพียงอย่างเดียวก็เกรงว่าคงไม่มีทางหาสวี่อินหลิงเจอ ในเวลาเดียวกันนี้ทางด้านสวี่อินหลิงยังได้เตรียมการอื่นๆ ที่ทำให้สภาพแวดล้อมของตนปลอดภัยขึ้นอีกในระดับหนึ่ง
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ภายใต้การสำรวจของดวงจิต การเตรียมการเหล่านี้ก็ราวกับไม้ซีกงัดไม้ซุงที่ไม่สามารถกั้นขวางเขาได้เลยแม้แต่น้อย ในไม่ช้าเขาก็เข้าใกล้บริเวณที่สวี่อินหลิงอยู่ด้วยความรวดเร็ว มือขวายกขึ้นโบกไปรอบๆ ทุกครั้งที่ตกลงก็มีเสียงร่วงหล่นลอยแว่วมาจากในไอหมอก
เมื่อเสียงแตกหักของวงแหวนปราณลอยออกมา ภายในไอหมอกหากมีคนที่สามารถขยายดวงจิตออกเป็นวงกว้างได้อย่างหวังเป่าเล่อก็จะสามารถเห็นผู้ฝึกตนแต่ละตนที่ถูกสวี่อินหลิงควบคุมไว้ได้อย่างชัดเจน เวลานี้ร่างกายต่างสั่นเทิ้มล้มกองกับพื้น และยังมีเส้นใยวงแหวนปราณที่ขาดออกจากกันอยู่เรื่อยๆ
เหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาประมาณสามสิบกว่าลมหายใจเท่านั้น แผนการที่สวี่อินหลิงคิดว่าตนตระเตรียมได้อย่างสมบูรณ์แบบพลันมลายหายไป หวังเป่าเล่อไหวร่างทีหนึ่งก่อนปรากฏตัวขึ้นหน้าสวี่อินหลิงที่นั่งขัดสมาธิระลึกชาติอยู่
มองหญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างอรชรตรงหน้า นัยน์ตาหวังเป่าเล่อไม่มีคลื่นอารมณ์อย่างที่ชายหนุ่มควรจะมีแม้แต่น้อย ขณะที่ผนึกฝ่ามือก็มีผนึกหลายสายตกลงรอบด้านสวี่อินหลิงในทันที ผนึกร่างของนางไว้หลายชั้นและกดดันบริเวณรอบในเวลาเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นก็เพื่อจัดการดาวเคราะห์เต๋าของนาง หลังจากเปลี่ยนตัวเองเป็นดาวเคราะห์เต๋าและแผ่แรงกดดันขึ้นอีกครั้ง จึงนั่งขัดสมาธิพร้อมใช้วิชาแยกร่างคอยป้องกันอยู่ข้างๆ
หลังจากนั้นเปลวไฟสีดำลุกโหมในดวงตา เมื่อเปิดปากพ่นเปลวเพลิงสีดำให้ปะทุออกมา ขณะที่ห่อหุ้มทั้งสองไว้ภายใน จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อก็อาศัยการชักนำของเปลวไฟสีดำคล้ายกับนิมิตมืด เริ่มต้นไปพร้อมกับสวี่อินหลิง
สำหรับหวังเป่าเล่อเรื่องพวกนี้เหมือนเช่นการคร่ำหวอดมานาน ดังนั้นผ่านไปเพียงสามสิบกว่าลมหายใจเมื่อร่างกายเขากระตุก เบื้องหน้าก็ปรากฏ…โลกพิสดารขึ้น!
โลกแห่งนี้ไร้ท้องฟ้า ไร้ผืนดิน มีแต่ฟองอากาศที่กำลังลอยล่องอยู่ในความว่างเปล่าเท่านั้น ฟองอากาศเหล่านี้มีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน บ้างมีหลากสี บ้างมีน้อยสี บ้างก็โปร่งใส และบ้างก็กำลังแตกกระจาย
ฟองอากาศจำนวนมาก แน่นขนัดจนมองไม่เห็นที่สิ้นสุด
พวกมันไม่ได้นิ่งเฉยแต่ขยับเคลื่อนไปพร้อมกับกฎบางอย่าง ในเวลาเดียวกันฟองอากาศทุกอันแม้จะมีความพร่ามัวไม่เท่ากัน แต่หากพินิจอย่างละเอียดแล้วก็จะเห็นว่าพวกมันล้วนมีเงามายาสลับสับเปลี่ยน
เงามายาเหล่านั้นก็แตกต่างกัน บางอันมีผู้ฝึกตน บางอันมีคนธรรมดา บางอันมีสัตว์ร้าย บางอันมีต้นไม้ใบหญ้า กระทั่งบางอันก็มีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด และขณะที่ดำเนินอยู่บ้างก็ธรรมดาทั่วไป บ้างก็ไม่ธรรมดา มีทั้งบุญคุณความแค้นจนถึงเรื่องราวพิสดาร ฟองแต่ละฟองราวกับเป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่ง เป็นโลกใบหนึ่ง
“พวกนี้…” จิตสำนึกหวังเป่าเล่อสั่นไหว เมื่อมองฟองอากาศเท่าที่เห็นได้ เขาพลันมีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างจากฟองอากาศเหล่านี้
นั่นคือ…มิติมายา!
เนื่องจากเคยศึกษานิมิตมืดมาก่อน อีกทั้งการเข้าไปในการระลึกชาติของผู้อื่นก็เป็นเพราะอาศัยนิมิตมืด ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงคุ้นเคยมิติมายาอยู่บ้าง ในตอนนี้หลังจากที่มั่นอกมั่นใจ เขาก็ได้คำตอบคร่าวๆ แล้ว
“พวกนี้…คือมิติมายา!”
“ชาติที่เก้าคือฝันอันไม่รู้จบหรือนี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าความฝันในฟองอากาศเหล่านี้เป็นมิติมายาของทุกคนบนโลก หรือ…เป็นฝันที่ไม่รู้จบของคนคนเดียวทั้งหมด!” หวังเป่าเล่อก็นับว่าเห็นมากว้างขวางแล้ว ดังนั้นหลังตกตะลึงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ แวบแรกเขาสัมผัสได้ถึงฟองอากาศที่ตนเองอยู่
นั่นก็คือมิติมายาของสวี่อินหลิง
ในมิติมายาสวี่อินหลิงเป็นปลาธรรมดาตัวหนึ่ง แหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำ ไม่มีคลื่นหรือกระแสน้ำทวน ทว่าสิ่งที่พิเศษเพียงอย่างเดียวคือนางชอบเข้ามาใกล้ผิวน้ำราวกับอยากจะดูโลกข้างบนผิวน้ำนั้น
แต่ก็คล้ายกับนางไม่เคยทำสำเร็จ ไม่หยุดเพียรพยายาม ล้มเหลวต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงดื้อดึง
เมื่อเห็นสวี่อินหลิงที่เกิดเป็นปลา หวังเป่าเล่อเงียบงันพลางคิดจะจากไป ทว่าในเวลานี้เอง…เขาเห็นในมิติมายาของสวี่อินหลิงมีจิ้งจอกตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ริมฝั่ง!
หวังเป่าเล่อรู้จักจิ้งจอกตัวนี้ มันคือจิ้งจอกตัวนั้นในชาติที่เขาเป็นกวางขาวตัวน้อย และขณะเดียวกันก็เป็น…ตุ๊กตาจิ้งจอกตัวนั้นที่หล่นลงบนหัวของหวังอีอี
การปรากฏตัวของจิ้งจอกทำให้หวังเป่าเล่อที่กำลังจะจากไปหยุดชะงัก เขาเห็นจิ้งจอกนั่งอยู่ข้างฝั่งจับจ้องปลาที่อยู่ใต้ผิวน้ำ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นอุ้งเท้าออกมา นัยน์ตาแฝงแววสนใจ อุ้งเท้าเหยียดออก…ตะปบสวี่อินหลิงที่เป็นปลาตัวน้อยขึ้นมาจากในน้ำทันที
ไม่ว่าปลาน้อยตัวนี้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์ ขณะที่ปลากำลังจะเข้าปากของจิ้งจอกน้อยที่กำลังเลียปาก ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้น
“ปล่อยนางกลับลงไป”
เสียงนี้แว่วมา ร่างกายของจิ้งจอกน้อยก็ชะงักกึก เงยหน้ามองไปทางหวังเป่าเล่อในทันที
หนึ่งคน หนึ่งจิ้งจอก สบตากันเช่นนี้
ครู่ถัดมา นัยน์ตาจิ้งจอกน้อยก็ค่อยๆ เผยความไม่พอใจ อุ้งเท้าที่จับปลาอยู่ก็เพิ่มแรงขึ้นเล็กน้อย
“หืม?” หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำหนึ่งเบาๆ
เมื่อเสียงนี้ลอยล่องขึ้น วิชาจันทร์ข้างแรมที่ผสานกฎกาลเวลาก็โอบล้อมไปทั่วอย่างว่องไวจนทำให้จิ้งจอกน้อยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แววตาไม่พอใจถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวในพริบตา รีบปล่อยปลาในอุ้งเท้ากลับลงน้ำก่อนหมุนตัววิ่งตาลีตาเหลือกกลับไป
เมื่อเห็นปลาน้อยที่ได้กลับลงน้ำใหม่ บนตัวมีบาดแผลจากกรงเล็บของจิ้งจอกหลงเหลืออยู่ หวังเป่าเล่อจึงส่ายหน้าไปมา ที่เขาเอ่ยปากเช่นนั้นก็เป็นเพราะเขาอาศัยสวี่อินหลิงถึงได้เข้ามาในการระลึกชาตินี้ หากสวี่อินหลิงตายไปก็หมายความว่าการระลึกชาติต้องจบลง หากนางฟื้นขึ้นมา ตัวเขาก็ต้องฟื้นตามขึ้นมาด้วย
เวลานี้เขาไม่ได้สนใจสวี่อินหลิงที่กลายเป็นปลา จิตสำนึกหวังเป่าเล่อกระโดดทีหนึ่งก็แวบออกจากมิติมายาของสวี่อินหลิงในพริบตา ในความว่างเปล่านั้น เขาเดินหน้าไปตามฟองอากาศมหาศาลรอบตัวด้วยความรวดเร็ว
เขาต้องการหาต้นกำเนิดของฟองอากาศพวกนี้!
หวังเป่าเล่อที่ออกจากมิติมายาที่สวี่อินหลิงอยู่จึงไม่ได้เห็นเหตุการณ์ในมิติมายานั้นอีก ปลาน้อยที่ได้กลับลงน้ำใหม่ เวลานี้แม้จะยังไม่คลายความตกใจแต่ก็ยังอดทนต่อความเจ็บปวด ว่ายเข้าใกล้ผิวน้ำอีกครั้ง ก่อนจะมองไปยัง…ทางที่หวังเป่าเล่อจากไป
ราวกับมันรู้ว่าผู้ที่จากไปได้ช่วยชีวิตมันเอาไว้
สำหรับเรื่องพวกนี้แม้หวังเป่าเล่อจะรับรู้ก็ไม่สนใจอยู่ดี ความคิดเดียวในใจเขาตอนนี้ก็คือหาต้นกำเนิด ดูว่าต้นกำเนิดของโลกนี้จะยังเป็นห้องของหวังอีอีอีกหรือไม่
แต่คำตอบ คือไม่!
ในความว่างเปล่าที่ฟองอากาศมหาศาลนี้อยู่ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าบินมาไกลแค่ไหน ในที่สุดก็เห็นโครงสร้างของโลกนี้อย่างชัดเจน…ฟองอากาศมิติมายาที่นี่ล้วนหมุนวนอยู่ในวังวนหนึ่ง
และส่วนลึกของวังวน…ไม่ใช่ห้องของหวังอีอี แต่เป็น…
โลงศพผลึกใสโลงหนึ่ง!
บนโลงศพนี้ยังคงมีตะขาบยักษ์สีแดงฉานคลานอยู่เช่นเดิม และในตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อจ้องมองมัน ตะขาบยักษ์สีแดงฉานก็พลันบิดตัวขึ้นเป็นใบหน้านั้นที่เขาเคยเห็น พลางมองมาทางหวังเป่าเล่อคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ซ่อนอยู่ที่เจ้า ถูกไหม…”
“ข้าจะ…หาเจ้า เฝ้าดูเจ้า ถ้าเจ้าเหมาะสม…ข้าจะเลือกเจ้าเอง!”
เสียงนี้ราวกับสายฟ้าฟาดลงในจิตสำนึกของหวังเป่าเล่ออย่างรุนแรง เพราะเสียงนี้…เคยดังขึ้นในขณะที่มือนั้นทำให้ตนแตกสลายในโลกเผ่าเทพอัคคี!
“คราวหน้าจะเลือกเจ้า!”
………………