หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1081 เหตุและผลของจิ้งจอกน้อย!
เมื่อเสียงสะท้อนดังขึ้น จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะเทือนรุนแรงอย่างสุดขีด!
ยามนี้ราวกับเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็เหมือนจะมีความสงสัยเพิ่มขึ้นลอยอยู่ในจิตใจ ความสงสัยและสับสนเหล่านี้ รวมถึงความคิดต่างๆ มากมาย เวลานี้ต่างลอยเข้าสู่ดวงจิตของเขาก่อนจะกลายเป็นดวงจิตเทพในตอนท้ายแล้วพุ่งไปยังตะขาบยักษ์สีแดงฉานนั่นทันที!
“เจ้า…เป็นใครกันแน่!!” ในดวงจิตนี้ได้ผนวกรวมความสงสัยทั้งเก้าชาติของหวังเป่าเล่อ ผนวกรวมความไม่เข้าใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของเขาตอนนี้ ทว่าเขากลับมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง สถานการณ์นี้ขอเพียงตนถามออกไป อีกฝ่ายก็จะตอบอย่างแน่นอน!
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นอย่างประหลาด ราวกับเป็นสัญชาตญาณหนึ่ง!
แท้จริงก็เป็นเช่นนั้น หลังจากที่ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อถ่ายทอดออกไป ใบหน้าที่เกิดจากตะขาบยักษ์สีแดงฉานตัวนั้นก็จับจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสายตาประหลาด สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเผยความพิลึกทั้งยังแฝงความสนุกเอาไว้ ก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ
“หากเป็นคนอื่นถามข้า ข้าอาจจะไม่ตอบ แต่ในเมื่อเจ้าเอ่ยถาม…บอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไร ข้าคือ…”
หวังเป่าเล่อจิตใจจดจ่อ สัมผัสว่ากำลังจะได้คำตอบที่เขาต้องการทั้งหมดแล้ว แต่ในยามนั้นที่ใบหน้าซึ่งเกิดจากตะขาบยักษ์สีแดงฉานเอ่ยถึงตรงนี้
ฉับพลันก็มีพลังแข็งแกร่งขุมหนึ่งจากความว่างเปล่าด้านหลังเข้าโอบรัดเขาไว้ในพริบตา ทำให้จิตสำนึกของเขาถูกดึงรั้งอย่างกะทันหันไปทางด้านหลัง!
แรงฉุดดึงนี้ไม่สามารถต้านทานได้ และไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะขัดขืนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงมองตะขาบยักษ์สีแดงฉานตรงหน้าห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และเสียงนั้นก็เบาลงจนหวังเป่าเล่อฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย!
“น่าตายนัก!!!” น้อยนักที่เขาจะโมโหจนแทบเสียสติเช่นนี้ ความรู้สึกที่ทุกอย่างกำลังจะเปิดเผย แต่กลับถูกพลังภายนอกขัดจังหวะ ทำให้จิตสำนึกของเขาเกิดระลอกคลื่นรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่เมื่อเทียบกับแรงฉุดดึงที่โอบรัดเขาอยู่ ความโกรธของเขา ความบ้าคลั่งของเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทำได้เพียงแต่มองตัวเองไกลห่างออกมาในพริบตา มองฟองอากาศมหาศาลผ่านหน้าตัวเอง กระทั่งพริบตาต่อมา จิตสำนึกของเขาก็ถูกดึงเข้าสู่มิติมายาของสวี่อินหลิง
หลอมรวมเข้ากับ…ร่างปลาน้อยที่เกิดมาจากสวี่อินหลิง
ส่วนสวี่อินหลิงที่เกิดเป็นปลาน้อย ในเวลานี้ได้เสียชีวิตลงแล้ว เพราะ…ร่างกายของมันถูกกรงเล็บจิ้งจอกตัวหนึ่งตะปบ ใช้แรงขย้ำเพียงน้อยนิด ชีวิตก็ดับสูญ!
นี่คือสาเหตุที่จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อกลับมา!
ก่อนที่จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อจะสลายไป ภาพสุดท้ายที่เห็นคือจิ้งจอกตัวนั้นที่จากไปก่อนหน้าได้ย้อนกลับมาใหม่และขย้ำสวี่อินหลิงในร่างปลาน้อยจนตาย จากนั้นก็มองปลาน้อยหรือก็คือจิตสำนึกของหวังเป่าเล่อที่มาเข้าร่างปลาน้อยด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
ครู่ต่อมา หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าสวี่อินหลิงในไอหมอกทดสอบพลังฝึกปรือที่ดาวชะตาก็ลืมตาขึ้นทันที นัยน์ตาของเขาเผยความคลุ้มคลั่งและเส้นเลือดสีแดง สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น อีกทั้งความเหี้ยมโหดบนใบหน้าก็ทำให้เขาดูราวกับจะระเบิดไอร้ายออกมา!
ด้านสวี่อินหลิงที่เพิ่งฟื้นขึ้นได้เห็นแววตาและอารมณ์นี้เข้าพอดี ขณะเพิ่งฟื้นยังคงมึนงงอยู่ ครั้นเจอแววตาและอารมณ์นี้ก็สั่นเทิ้มราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง หวาดผวาในฉับพลัน ขณะที่หัวใจสั่นสะท้านคิดจะถอยหลังตามจิตใต้สำนึก ทว่าในพริบตา ใบหน้าของนางก็ซีดเผือด
นางกลับพบว่าร่างของตนถูกผนึกไว้ ไม่สามารถลุกขึ้นได้ พลังปราณทั้งหมดก็ถูกผนึกเช่นเดียวกัน ในใจพลันเกิดความหวาดกลัวรุนแรง กระทั่งคิดจะใช้เคล็ดวิชาลับเรียกผู้ฝึกตนที่ถูกนางควบคุมไว้มา แต่กลับพบว่า ภายในเขตของวิชาลับเป็นที่เปิดโล่ง!
สิ่งที่ตนตระเตรียมไว้ ไม่ว่าจะทั้งที่เปิดเผยหรือเป็นความลับ ตอนนี้กลับไร้การตอบสนองทั้งสิ้น!
ขณะที่จิตใจของนางยิ่งดำดิ่ง ความหวาดกลัวก็กลายเป็นความลนลาน!
สวี่อินหลิงไม่รู้ว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อถึงหานางพบ แต่รู้ว่าสถานการณ์นี้เป็นหายนะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับนาง!
เพราะนางพบว่า แม้แต่ดาวเคราะห์เต๋าของตน ณ เวลานี้ก็ยังไร้การตอบสนอง และแรงกดดันบริเวณรอบที่มาจากดาวเคราะห์เต๋าที่เหมือนกับของตน ทำให้นางทราบกระจ่างว่าตน…ไม่มีพลังใดที่จะต่อต้านได้เลย!
ในขณะที่จิตใจสั่นเทิ้มและคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากความสิ้นหวังนี้ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็อึมครึมอย่างยิ่ง สายตาของเขาราวกับจะกลืนกินทุกสิ่ง ราวกับไม่สามารถข่มกลั้นความอาฆาตและกลิ่นอายชั่วร้ายที่เต็มเปี่ยมอยู่ในร่างได้ ราวกับหากสะกิดก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทันที
จวบจนครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ ฝืนข่มความอาฆาตในใจลงไป หากแต่ก็สาบานขึ้นโดยไม่ลังเล ความแค้นที่ขัดจังหวะการรับรู้ความจริงของเขาในครั้งนี้ เขาจะต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่าอย่างแน่นอน!
“เจ้าจิ้งจอกน้อย…ตัวตนของเจ้า ข้าพอจะรู้แล้ว…จื่อเยว่!!!” หวังเป่าเล่อไม่ได้โง่เง่า ด้วยเบาะแสต่างๆ หากเขายังเดาตัวตนของจื่อเยว่ไม่ได้ เช่นนั้นก็เกรงว่าสติปัญญาของเขาระหว่างฝึกตนคงตายไปนานแล้ว ไม่สามารถเดินมาถึงขนาดนี้
ทว่า แม้จะข่มความแค้นเคืองไว้ได้แล้ว แต่กลิ่นอายชั่วร้ายที่หลงเหลืออยู่ในนัยน์ตายังคงคุกรุ่น ทำให้จิตใจของสวี่อินหลิงสั่นสะท้านยิ่งกว่าเก่า และสิ่งที่ทำให้นางหวั่นกลัวก็คือคำพูดนั้นของหวังเป่าเล่อ!
ในคำพูดนั้นมีสองคำที่ทำให้จิตใจของนางราวกับเกิดคลื่นยักษ์ซัดสาด หนึ่งคือจิ้งจอกน้อย มันคือฆาตกรที่ฆ่าตนในตอนท้ายสุดของการระลึกชาติ และคำที่สองก็คือ…ชื่อของอาจารย์ลึกลับของนางผู้นั้น!
เรื่องตกใจทั้งสองนี้ทำให้สวี่อินหลิงฟื้นฟูประสาทสัมผัสทั้งห้าขึ้นอย่างยากลำบาก
“ศิษย์..ศิษย์พี่หวัง…” ขณะที่กายสั่นเทิ้ม สวี่อินหลิงก็ฝืนยิ้มออกมา พยายามอย่างมากให้ตนเองดูมีเสน่ห์ เพื่อให้ผู้คนเมตตา
“หุบปาก!” แต่สวี่อินหลิงยังไม่ทันกล่าวจบ หวังเป่าเล่อพลันเงยหน้าปราดมองนางด้วยแววตาเย็นชา
เสียงของสวี่อินหลิงหยุดชะงัก ไม่กล้าเอ่ยอีกแม้แต่ครึ่งคำ เวลานี้ร่างกายยังคงสั่นเทิ้ม แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม…ในช่วงที่กำลังสั่นสะท้ายนี้ ในใจลึกๆ ของนางกลับมีความตื่นเต้นลอยขึ้นมาด้วย!
เหมือนกับ…ยิ่งอันตราย ยิ่งประสบกับสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมชีวิตของตนเองได้ การดุด่าเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้นางตื่นเต้นอย่างอดไม่อยู่ แม้อารมณ์ทั้งสองจะขัดแย้งกัน แต่ดันเกิดขึ้นเวลาเดียวกันในร่างของนาง ถึงขนาดมีปฏิกิริยาบางอย่างต่อร่างกาย
ยิ่งภายใต้ความขัดแย้งของอารมณ์ทั้งสอง ก็มีภาพขณะระลึกชาติลอยขึ้นมาในหัวของสวี่อินหลิง นางมองสิ่งที่ช่วยชีวิตนางจากใต้น้ำ ตอนนี้ก็เหมือนจะได้คำตอบแล้ว
เดิมทีสวี่อินหลิงก็เป็นคนฉลาดหลักแหลม จากคำพูดและท่าทางที่แสดงออกของหวังเป่าเล่อ ในใจนางก็มีคำตอบคร่าวๆ อยู่บ้างแล้ว อีกฝ่าย…คงใช้วิธีที่เหนือจินตนาการของตน เข้ามาในการระลึกชาติของตน มิหนำซ้ำยังสามารถส่งผลกระทบต่อมันได้อีกด้วย!
คำตอบนี้ทำให้สวี่อินหลิงตะลึงพรึงเพริดกว่าเดิม ขณะที่ความหวาดกลัวเพิ่มสูง ความตื่นเต้นก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน แม้แต่ใบหน้าก็ยังขึ้นสีเลือดฝาด จนหวังเป่าเล่อสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของนางได้โดยเร็ว
หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว เวลานี้เขาอารมณ์ไม่ดีถึงขีดสุด เมื่อเห็นท่าทางของสวี่อินหลิง นัยน์ตาก็ฉายแววชิงชัง ขณะที่มือขวาชูขึ้นคิดจะตัดบุญคุณความแค้น ตอนนั้นเองสวี่อินหลิงที่สัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือน ก็อดทนต่อความตื่นเต้นและหวาดกลัวในใจ รีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ศิษย์พี่หวัง ข้าสามารถช่วยเจ้าหาอาจารย์จื่อเยว่ของข้าได้!!”
“แน่ใจ?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาพลางเอ่ยถามเสียงเบา
แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่เมื่อผ่านการกลับชาติมาเก้าครั้ง เขาที่แทบจะเห็นสัจธรรมของโลก ถึงจะเป็นเพียงคำพูดธรรมดาทั่วไป แต่แรงกดดันในนั้นกลับต่างจากเมื่อก่อน
กล่าวให้กระจ่างก็คือ ในคำพูดของหวังเป่าเล่อแฝงกลิ่นอายแห่งเต๋าเอาไว้ เป็นเต๋าของเผ่าเทพ เป็นเต๋าของผีดิบ เป็นเต๋าของดาบปีศาจ เป็นเต๋าแห่งความแค้น และเป็น…เต๋าของกวางขาวน้อย!
ในเวลาเดียวกัน ก็เป็นเต๋าระดับลึกที่ได้ในช่วงที่ออกจากโลกทั้งใบ
ดังนั้นเวลานี้เมื่อคำพูดของหวังเป่าเล่อลอยเข้าโสตประสาทการรับรู้ของสวี่อินหลิง ร่างกายของนางก็สั่นสะท้านอีกครั้ง นางมีความรู้สึกบางอย่าง คล้ายกับหากตนหลอกหวังเป่าเล่อ ไม่ต้องรอให้เขาลงมือ ตัวเองก็จะดับสลายในพริบตา!
มันเป็นเพียงสัญชาตญาณหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องจริง ทว่าสวี่อินหลิงกลับไม่กล้าเดิมพัน เพราะ…หากมันสามารถสะกิดสัญชาตญาณของนางขึ้นมาได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าหวังเป่าเล่อได้เก็บเกี่ยวจากเก้าวันเก้าชาติไปอย่างน่าสะพรึงแค่ไหน
“ข้าไม่โกหกศิษย์พี่หวังแน่นอน!”
ฟังคำพูดของนาง หวังเป่าเล่อก็มองสวี่อินหลังอย่างเยียบเย็นครู่หนึ่ง จนกระทั่งเห็นว่าร่างของนางสั่นมากขึ้นจึงเก็บสายตากลับมา หลับตาลงไม่ใส่ใจอีก
เมื่อเห็นว่ารอดแล้ว สวี่อินหลิงจึงถอนหายใจยาว ร่างกายและจิตใจอ่อนแรงถึงขีดสุด ในเวลาเดียวกันครั้นผ่านวิกฤตรอดตายมาได้ ความตื่นเต้นก็ไม่ได้ถูกระงับอีกต่อไป มันลอยละล่องขึ้นในพริบตา ทำให้นางที่ถูกผนึกเผลอไผลดำดิ่งเข้าไปในนั้น นัยน์ตาฉายความลุ่มหลง
“เจ้าป่วยหรือไง!” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว มือขวายกโบก ฉับพลันนั้นก็รวบรวมน้ำเย็นเฉียบขุมหนึ่งขึ้นบนศีรษะสวี่อินหลิง แล้วสาดลงไป…
…………………