หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1101 ชาติที่หนึ่ง
เสียงชรานี้ คล้ายกับได้ถึงขีดสุดแล้ว ราวกับผู้อ่อนแรงใช้พลังเฮือกสุดท้ายออกมา ผ่านจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด ทะลุผ่านกาลเวลายาวนาน ดำดิ่งอยู่ท่ามกลางการเวียนว่าย สะท้อนก้องอยู่ในความว่างเปล่าที่มืดมิด ก่อนจะแผ่กระจายอยู่ข้างหูหวังเป่าเล่อ
ดูเหมือนว่าจะสัมผัสถึงจิตวิญญาณของเขา ทำให้จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อปรากฏความผันผวน ในความผันผวนนี้ยังคงอ่อนแรง แต่ด้วยเสียงที่แว่วมา ความผันผวนในจิตสำนึกเขา ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสุดท้าย หวังเป่าเล่อสะดุ้งทั้งร่าง จิตสำนึกของเขาตื่นฟื้น ดวงตาของเขา…
ลืมขึ้นแล้ว
สิ่งที่เห็นไม่ใช่ดาวชะตา และไม่ใช่สมุดแห่งโชคชะตา ไม่มีประมุขกฎสวรรค์ แต่เป็นท้องนภาผืนหนึ่ง
แสงดาวพร่างพราย ดวงดารานับไม่ถ้วน ยังมีที่ดูเหมือนจะไกลจนสุดสายตา ไม่รู้กี่ปีที่ดวงดารานับไม่ถ้วนตกสู่ที่นี่รวมตัวกันเป็นสาย…กลายเป็นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยดวงดารา
ทุกสิ่งดูเหมือนไม่มีสิ่งใดอัศจรรย์ แม้ว่ามันจะงดงาม แต่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ตอนที่หวังเป่าเล่อควบไปในท้องฟ้า ก็เคยเห็นท้องฟ้าเช่นเดียวกัน
แต่…คล้ายกับมีบางสิ่งที่แตกต่าง ท้องฟ้าผืนนี้ แม้จะมีเมฆครึ้ม แต่ก็กว้างใหญ่ไพศาล ทุกสรรพสิ่งเผยให้เห็นความปรวนแปรที่ไม่อาจกล่าวได้ชัดเจน ราวกับเมื่อเห็นท้องฟ้า ก่อเกิดความรู้สึกยิ่งใหญ่ล่วงเลยไปชั่วนิจนิรันดร์ ร่างหดเล็กราวผงธุลีจนไม่อยู่ในสายตา
หวังเป่าเล่อเฝ้ามองทั้งหมดนี้ นัยน์ตาแฝงความงงงัน ภายใต้เสียงสะท้อนนั้นจิตสำนึกของเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว แต่ความทรงจำยังไม่ปรากฏขึ้นทั้งหมด เขาจำได้เพียงได้ระลึกชาติของตนด้วยความช่วยเหลือของประมุขกฎสวรรค์ ดูเหมือนกระบวนการทั้งหมดก่อนตนจะเข้าไปเป็นแค่ชั่วขณะ ในชั่วอึดใจก็ลืมตาตื่น และสิ่งที่เห็นก็คือท้องฟ้าผืนนี้
ในขณะที่หวังเป่าเล่องงงัน ทันใดนั้นความทรงจำที่เวียนว่ายทั้งเจ็ดสิบแปดชาติก่อนหน้า ก็ได้ปรากฏภายในใจของเขา ความทรงจำแต่ละชาติราวกับอสนีบาตระเบิดก้องอยู่ภายในจิตใจ จากนั้นก็กลายเป็นข้อมูลและภาพมากมาย ท่วมท้นอยู่ภายในใจเขา
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…จนกระทั่่งครบทั้งเจ็ดสิบแปดชาติ หลังจากที่ปรากฏทั้งหมดแล้ว ร่างทั้งร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม สีหน้าเจ็บปวด ความเจ็บปวดนี้ไม่ได้มาจากอารมณ์ แต่การหลอมรวมของความทรงจำทั้งหมดโดยฉับพลัน ทำให้จิตใจของเขาคล้ายกับโดนระเบิด และสมองถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
“ซุนเต๋อ!”
“ซุนเต๋อ!”
“ซุนเต๋อ!!!” หวังเป่าเล่อตะโกนร้องเรียกชื่อนี้ซ้ำๆ ผู้เดียวที่ปรากฏอยู่ในความทรงจำทั้งเจ็ดสิบแปดชาติ
ในเจ็ดสิบแปดชาตินี้ กล่าวให้แน่ชัดก็คือ นอกจากตัวหวังเป่าเล่อแล้ว ก็มีเพียงซุนเต๋อผู้เดียว เป็นเขาที่เปลี่ยนไปชาติแล้วชาติเล่า ประสบกับชีวิตที่แตกต่างของซุนเต๋อไม่หยุดหย่อน ราวกับแสวงหาทิศทาง แสวงหาโอกาส
“ด้วยสัญชาตญาณ ให้โอกาสซากวิญญาณฟื้นตื่น…” หวังเป่าเล่อแตะไปยังคิ้วที่กระตุก ดวงตาพลันปรากฏเส้นเลือดขึ้น เพราะเกิดความทรงจำมากมาย แต่เมื่อเขาหลอมรวมความทรงจำทั้งหมด ดูดซับและเผาผลาญ สติสัมปชัญญะของเขาฟื้นคืนทีละน้อย ดวงตาก็ค่อยๆ หรี่ลง ภายในส่องแสงเจิดจ้า
ดูเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งอย่างถ่องแท้แล้ว
ซุนเต๋อที่เป็นซากวิญญาณแห่งบรรพกาล เริ่มจากชาติที่สอง ก็พยายามจะให้ตนเองรู้ตื่น แต่ที่น่าเสียดายก็คือ จนถึงชาติที่เจ็ดสิบเก้า ซากวิญญาณไม่ได้รอคอยให้โอกาสมาถึง แม้รอกระทั่งหวังอีอีและบิดามาถึงแล้ว แต่ซากวิญญาณนี้ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ตื่นขึ้น สูญสลายไปชั่วนิจนิรันดร์
และการเวียนว่ายเปลี่ยนชาติของซุนเต๋อ ก็สิ้นสุดลงด้วยเหตุนี้
โลกในกาลต่อมา บางทีอาจตกอยู่ในความมืดมิด จึงไม่มีชีวิตหลงเหลืออยู่ กลายเป็นความเงียบสงัดในนพภูมิ แต่ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปแล้ว ด้วยอาการบาดเจ็บของหวังอีอี และด้วยการมาถึงของสองพ่อลูก
ดังนั้นชาติที่แปดสิบของจักรวาลนี้ หวังเป่าเล่อยืมสัมผัสของสวี่อินหลิง มองเห็นฟองอากาศของมิติมายาฟองแล้วฟองเล่า ความทรงจำในเวลานี้ นั่นอาจจะเป็นการถือกำเนิดแรกของชีวิต
และตำรา รูปภาพ ผีเสื้อ ฯลฯ ล้วนเป็นกระบวนการแห่งชีวิตที่เติบโตและสมบูรณ์ในตัวเอง…
“สิบภพหลังของจักรวาลนี้ เป็นหวังอีอีและบิดาสร้างออกมา…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาคิดถึงประโยคหนึ่ง เหนือศีรษะมีเทพเทวา เวลานี้เขาเข้าใจแล้ว
หวังเป่าเล่อรู้เป้าหมายของบิดาหวังอีอี นั่นก็คือรักษาหวังอีอี และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองพ่อลูก สามารถสร้างสรรพชีวิตในจักรวาล คิดขึ้นมาแล้ว…ในชาติที่เจ็ดสิบเก้า ก่อนที่ซุนเต๋อจะสิ้นชีวิต ก็ได้กล่าวประโยคที่เกี่ยวโยงนั้น
เขารับคำบิดาของหวังอีอี ที่จะไปช่วยบุตรสาวของเขา
ในยามนี้ตัวหวังเป่าเล่อเอง ด้วยการทะลวงผ่านการหลอมรวมความทรงจำตั้งแต่ชาติที่สองจนถึงชาติที่แปดสิบเก้า เขารู้ดีว่าท้ายที่สุด เขายังคงเป็นหนี้บุญคุณซุนเต๋อ
ด้วยเพราะหากไม่มีซุนเต๋อในภพที่เจ็ดสิบเก้า ขณะที่ซากวิญญาณสูญสลาย วิชาที่สืบทอดของเขา เช่นนั้นบางทีตนคงยังเป็นแผ่นไม้สีดำล่องลอยอยู่ในท้องฟ้า แม้จะเกิดสัญชาตญาณ ก็จะไม่มีชีวิตที่แท้จริง
ยังมีที่มาของตะขาบสีโลหิต หวังเป่าเล่อก็คาดเดาไว้สองคำตอบ แม้เขาจะไม่รู้คำตอบที่ถูกต้อง แต่ความจริง…ก็อยู่ในนั้น
“ความเป็นไปได้อย่างแรก ก็คือเมื่อหลัวและกู่แย่งชิงตำแหน่งเซียน ด้วยชีวิตที่นับไม่ถ้วน ด้วยเหตุและผล จึงพัวพันต่อสู้ไม่จบสิ้น สุดท้ายหลัวได้รับชัยชนะ แต่กู่กลับหลบหนีซากวิญญาณ ทำให้ตำแหน่งเซียนของหลัวไม่สมบูรณ์ มีจุดอ่อน แต่เขาไม่รู้ ความเป็นจริงภายในซากวิญญาณของเขา…ยังคงมีใยแห่งจิตสำนึกของหลัว และจิตสำนึกนี้…ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด สุดท้ายก็เกิดปัญญาวิญญาณ”
“ส่วนความเป็นไปได้อย่างที่สอง…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ขณะเดียวกันก็แยกแยะความคิด เขานึกถึงชาติที่สอง ระหว่างการปราบปรามที่ไม่ชอบด้วยสัญชาตญาณ เสียงคำรามที่ส่งออกมาจากเส้นใยโลหิตนั้น
“เจ้ากล้าปราบเซียน…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ในการคาดเดาของเขา ประโยคนี้เป็นต้นกำเนิดของความเป็นไปได้อย่างที่สอง
“ความเป็นไปได้อย่างที่สองคือ…เส้นใยสีโลหิตนั่น ไม่ใช่ใยจิตสำนึกของหลัว ร่างที่แท้จริงคือ…หลัวและกู่ ที่ช่วงชิงตำแหน่งเซียนหนึ่งรอบเต็มๆ บางทีตำแหน่งเซียนเองมีดวงวิญญาณ หรือบางทีอาจไม่มีดวงวิญญาณ แต่ในที่นี้ ภายใต้สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่พิเศษอย่างหนึ่ง มันได้กำเนิดปัญญาวิญญาณ ส่วนตะขาบที่ข้าเห็น ไม่ใช่รูปร่างที่แท้จริงของมัน นั่นเป็นเพียงสัญลักษณ์!”
หวังเป่าเล่อนิ่งงัน การคาดเดาทั้งสองแบบ อันใดอันหนึ่งอาจถูกต้องและสมเหตุสมผล ดังนั้นหวังเป่าเล่อไม่มีทางตัดสินใจด้วยตนเอง และในขณะที่เขาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอยู่ ทันใดนั้น…เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดผวา เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นทะเลแสงในท้องฟ้าที่ขุ่นมัวนี้แต่ไกล
แสงนี้ครอบคลุมอย่างไร้ขอบเขต แฝงไปด้วยอำนาจแรงกล้า เสียงกรีดร้องแผ่มาจากท้องฟ้าอันไกลโพ้น เมื่อมองให้ถี่ถ้วน ก็จะเห็นว่าภายในทะเลแสง คืออีกหนึ่งจักรวาล
จักรวาลนี้ใหญ่ไร้ขีดจำกัด เต็มไปด้วยดวงดารานับไม่ถ้วน และยังมีความผันผวนที่น่าตระหนกระเบิดอยู่ภายใน เมื่อหวังเป่าเล่อหันหลังกลับมา เขาก็เห็นท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหลัง มีอสูรยักษ์ซีดขาวไปทั้งร่างตนหนึ่ง ซึ่งจำแลงออกมาระหว่างร้องคำราม
อสูรยักษ์นี้ราวกับปลาวาฬ ขนาดใกล้เคียงกับลูกแสงนั้น หากมองให้ชัดเจนแล้ว ก็จะเห็นผืนแผ่นดินอยู่ในร่างมัน ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนเหาะออกมาจากภายในแผ่นดิน กลายเป็นเลือดเนื้อของร่างอสูรยักษ์นี้ ทำให้อสูรยักษ์พร้อมไปด้วยพลังสะเทือนทวยเทพ
ชั่วอึดใจ เมื่ออสูรยักษ์ปะทะทะเลแสง สงครามที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล ได้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงต่อหน้าหวังเป่าเล่อ และในเวลานี้ เขาก็ตระหนักถึงตนเองได้ในทันที ในชาติที่หนึ่ง เขาได้เห็นถึงสิ่งใด
นั่นคือจุดเริ่มต้นของวงแหวนที่สอง สงครามแห่งการทำลายล้างระหว่างจักรวาลที่หนึ่งและจักรวาลที่สองถือกำเนิด นั่นคือ…เกิดการต่อสู้ระหว่างจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นและจักรพิภพไพศาลก่อนหน้านั้น ชั่วกัปชั่วกัลป์
หวังเป่าเล่อที่อยู่ในสนามรบ เฝ้าดูสงครามระหว่างสองจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ เขาเห็นความตายนับไม่ถ้วน เห็นความบ้าคลั่งและโศกนาฏกรรม และเห็นกระบวนการทั้งหมดของสงครามครั้งนี้
ไม่ว่าจะเป็นจักรพิภพไพศาลหรือจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น พลังขั้นสุดยอดที่สำแดงออกมาทั้งหมด แข็งแกร่งถึงขนาดทำให้ภายในใจของหวังเป่าเล่อสั่นไหวอย่างรุนแรง ด้วยเพราะเขาคิดถึงความลับที่บิดาของหวังอีอีบอกแก่ซากวิญญาณแห่งกู่
โลกนี้ กลับไม่ใช่โลกที่แท้จริง
ประโยคนั้น ยามนี้สะท้อนอยู่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ เขาเห็นถึงข้อเสียเปรียบภายในร่างของอสูรยักษ์ซีดขาว บนแผ่นดินผืนนั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดดูเหมือนต่างคุกเข่าลงคำนับ พวกเขากำลังทำพิธีกรรมสังเวย
และวัตถุที่พวกเขาทำพิธีกรรมสังเวยอยู่ ก็คือรูปสลักรูปหนึ่ง
รูปสลักของผู้เฒ่า
นั่นคือ…ภายในจักรพิภพไพศาล ผู้ฝึกตนคนแรกถือกำเนิด และเป็นดวงจิตที่สูงที่สุดในพิภพไพศาลทั้งหมด เขาไม่มีชื่อ มีเพียงสมญานาม
ปรมาจารย์ไพศาล
……………………………