หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1106 ชานิดหน่อย!
“ระยำเอ๊ย!!”
“ใครมันบอกข้าว่านี่เป็นดาวพระเคราะห์!!”
“ข้าเคยเห็นดาวพระเคราะห์ที่วิปริตขนาดนี้ที่ไหนเล่า!!”
ชงอี้จื่อเร่งความเร็วขึ้นจนเหมือนแสง พริบตาเดียวก็ถอยหลังจากตรงหน้าหวังเป่าเล่อไปหลายร้อยจั้งโดยไม่หยุด และไม่สนใจปัญหาเรื่องสีหน้าแต่อย่างใด แม้ว่าตอนที่เขาปรากฏตัวก่อนหน้านี้จะพูดจายโสโอหังเอาไว้ ถึงขั้นมีท่าทางดูถูกเหยียดหยามระหว่างที่เข้ามาใกล้หวังเป่าเล่ออีกด้วย
แต่เขาก็จนปัญญา ร่างแยกก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างจริง ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น ร่างจริงก็จะได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งด้วย ส่วนอาการสั่นเทาที่มาจากภายในใจและความรู้สึกวิกฤติจนขนหัวลุกนั่นทำให้ตอนนี้ชงอี้จื่อได้แต่เกลียดตัวเองที่ช้าเกินไป
เขากำลังหงุดหงิดแทบบ้า รู้สึกแค่ว่าตนเป็นคนที่ดวงซวยที่สุดในจักรวาล เหมือนกับสาวน้อยที่ตนถูกใจ ครั้นเขาวิ่งเข้าไปในห้องของนางแล้วลงกลอนประตูอย่างตื่นเต้น ทำให้นางยากที่จะหนีพ้นเงื้อมมือมารของตน แต่ชั่วพริบตาที่ตนพุ่งเข้าไปหา แวบเดียวสาวน้อยคนนั้นก็กลายเป็นชายร่างใหญ่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าตนเสียอย่างนั้น…
“จะต้องมีปัญหาตรงไหนสักที่แน่ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้…” ชงอี้จื่อคร่ำครวญอยู่ในใจ มากกว่านั้นคือเสียใจภายหลัง เขาคิดว่าถ้าหากร่างจริงมาที่นี่ก็ดีน่ะสิ สังหารหวังเป่าเล่อย่อมไม่เปลืองแรง แต่ร่างแยกที่มีพลังเพียงสามส่วนของร่างจริงในตอนนี้ จะเอาอะไรไปตัดหัวดาวพระเคราะห์ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนนี่ได้…
สิ่งนี้กำลังทำให้เขาโมโหแทบเสียสติ สำหรับคนผู้นั้นที่บอกกับตนว่าหวังเป่าเล่อเป็นแค่ดาวพระเคราะห์ เขาก็สาปแช่งอย่างไม่รู้จบใส่ไปแล้ว เมื่อความเร็วของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความบ้าคลั่งก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน พริบตาเดียวก็ไปไกลแล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์พลิกผัน องครักษ์เต๋าดารานิรันดร์เหล่านั้นที่อยู่รอบๆ ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร แท้จริงแล้วตอนที่พวกเขาเห็นชงอี้จื่อปรากฏตัวขึ้น โดยพื้นฐานพวกเขาก็คาดการณ์ถึงฉากนี้ไว้แล้ว
ส่วนแววตาของเฉินหานก็ยิ่งฉายประกายเย่อหยิ่ง เขาแค่นเสียงเย็นออกมา
“กล้ามาตีกับท่านพ่อ สมองของเจ้าหนูนี่ต้องโดนดูดกลืนไปแล้วแน่ๆ เขาไม่รู้ว่าท่านพ่อ ก็คือท่านพ่อตลอดไป!”
คำพวกนี้ดังเข้ามาในหูของเซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างๆ ฟังอย่างไรเซี่ยไห่หยางก็รู้สึกอึดอัด ความอึดอัดของเขาไม่ได้มาจากหวังเป่าเล่อ แต่มาจากการดูถูกเฉินหาน ในความคิดของเขา เจ้าเฉินหานผู้นี้หน้าไม่อายยิ่งนัก ไม่เคยยอมปล่อยโอกาสประจบสอพลอไป เสียศักดิ์ศรีของการเป็นผู้ฝึกตนหมด คนประเภทนี้ทำให้ตนผู้มีความชอบธรรมและเย่อหยิ่งใต้หล้ารู้สึกดูแคลนที่ได้ร่วมทางด้วย
ดังนั้นหลังจากแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ใบหน้าของเซี่ยไห่หยางก็เผยรอยยิ้มเคารพและคลั่งไคล้ไปยังหวังเป่าเล่อพร้อมคำนับอย่างลึกซึ้ง ก่อนตะโกนเสียงดังดุเดือด
“ขอแสดงความยินดีกับอาจารย์อา กระบวนเวทเทพประสบความสำเร็จอย่างสูง นับจากนี้ยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งจักรพิภพไม่รู้สิ้น ใต้หล้าไร้ใดเทียม ชีวิตนี้ของข้าเซี่ยไห่หยาง โชคอันประเสริฐที่สุดก็คือได้รู้จักกับอาจารย์อา ขอให้อาจารย์อาอนุญาตให้เซี่ยไห่หยางติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์อาและรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์อาไปตลอดชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ด้วยเถอะขอรับ!”
เมื่อได้ยินเสียงเร่าร้อนของเซี่ยไห่หยาง เฉินหานก็ตื่นตัวในทันที ขณะเดียวกันก็หรี่ตาลงแล้วกวาดมองเซี่ยไห่หยางอย่างเย็นชา คิดว่าคนผู้นี้น่ารังเกียจเสียจริง เป็นคนเพศเดียวกัน แต่กลับเอาอกเอาใจท่านพ่อของเขา จุดประสงค์ต้องไม่บริสุทธิ์แน่นอน ดังนั้นเขาจึงแค่นเสียงเย็น กำลังจะประจบหวังเป่าเล่อต่อ
แต่ตอนนั้นเอง กลับเกิดเสียงปังดังสนั่นขึ้นมาทางชงอี้จื่อที่กำลังหนีไปจนสุดสายตาของทุกคนราวกับศีรษะของเขากระแทกกับผนังล่องหน
เสียงดังสนั่นแผ่กระจายไปทั่วด้าน แล้วกลายเป็นระลอกคลื่นอยู่ในอวกาศ ขณะที่เสียงนี้แผ่วเบาลง ชงอี้จื่อยืนร้องไห้ไม่มีน้ำตาอยู่ตรงนั้น อาการเวียนหัวทำให้แววตาของเขาทึ่มทื่อเล็กน้อย เขามองความว่างเปล่าตรงหน้าอย่างมึนงง ตาเปล่ามองเห็นชัดว่าไม่มีอะไร แต่ถ้าหากใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบอย่างละเอียด ก็มองเห็น…ม่านแสงสีม่วงที่อยู่รอบๆ…
ปิดผนึกสี่ด้าน ปกปิดเหตุต้นผลกรรม ทำให้ที่นี่ราวกับโดดเดี่ยว…
เดิมทีเป็นผนึกที่มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้หวังเป่าเล่อหลบหนี ขณะเดียวกันก็ป้องกันการถูกปรมาจารย์แห่งไฟตรวจสอบพบ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นชงอี้จื่อไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าการคลายผนึกนี้ต้องใช้เวลา…กลัวว่าแม้แต่เงาร่างสีม่วงร่างนั้นที่ประทับผนึกมาก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้ขึ้น ดังนั้น ผนึกนี้จึงยังคงอยู่ในช่วงสั้นๆ
และสิ่งนี้…ก็ทำให้ชงอี้จื่อโมโหแทบบ้าเข้าไปใหญ่ ขณะที่เขาหยุดอยู่ตรงนี้ หวังเป่าเล่อที่แสดงดาวเคราะห์เต๋าของเขาออกมา ก็เข้ามาจ้องมองเงาร่างของชงอี้จื่อที่หยุดนิ่งจากที่ไกลๆ ด้วยความสนอกสนใจ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ตัวเองเป็นคนปิดประตู แต่กลับไม่มีลูกกุญแจมาเปิดอย่างนั้นหรือ”
ชงอี้จื่อตัวสั่นพักหนึ่ง เขาหันกายไปมองดาวพระเคราะห์มหึมานั่น มองเห็นเงาร่างของหวังเป่าเล่อด้านในดาวพระเคราะห์ได้ไม่ชัดเจน เห็นแค่รูปร่างเลือนรางร่างหนึ่ง ดังนั้นหลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาก็ฉายแสงวาบในพริบตา
ทำให้ท่าทีของเขาตรงกันข้ามกับท่าทีหลบหนีก่อนหน้านี้ เขากลายเป็นเหมือนกระบี่คมที่กำลังจะหลุดจากฝัก ทั่วร่างเกิดเสียงสะท้อนก้องดังอึกทึก จิตวิญญาณต่อสู้ปะทุเพิ่มขึ้นมาในพริบตา มันพุ่งทะยานไปทั่วทุกทิศ ทำให้องครักษ์เต๋าดารานิรันดร์รอบๆ หน้าเปลี่ยนสีไปทีละคน
เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าชงอี้จื่อในตอนนี้แตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้หลบหนีอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เย่อหยิ่งโอหัง แต่เงียบสงบพร้อมกับแผ่ท่าทีของผู้แข็งแกร่งออกมา
เขายืนอยู่ตรงนั้น หันหลังให้กับปราการผนึก จ้องเขม็งไปยังดาวพระเคราะห์ที่หวังเป่าเล่ออยู่ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“เรื่องนี้ข้าประมาทไปแล้วจริงๆ หวังเป่าเล่อ ข้าต้องการจากไป ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าอีก เจ้ายอมหรือไม่!”
ท่าทางที่เปลี่ยนแปลงพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ควรจะไปยั่วยุชงอี้จื่อต่อในทันที องครักษ์เต๋าดารานิรันดร์เหล่านั้นที่อยู่รอบๆ ล้วนรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ มองดูหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นดาวพระเคราะห์
หวังเป่าเล่อไม่ได้กล่าวอะไร เพียงยกมือขวาขึ้นกดไปยังจุดที่ชงอี้จื่ออยู่ การกดครั้งนี้ทำให้ดาวพระเคราะห์ของเขาสั่นไหวเบาๆ แล้วแผ่กลุ่มแสงออกมาคล้ายจะเป็นฝ่ามือเลือนรางขนาดใหญ่ ส่วนกึ่งดาวเคราะห์เต๋าเก้าดวงที่อยู่รอบๆ ก็สาดแสงออกมาจนหมด มันแผ่แสงออกไปด้านนอกแล้วผสานเข้าไปในฝ่ามือเลือนรางอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นนิ้วห้านิ้ว!
ท้ายที่สุด ฝ่ามือนี้ก็คล้ายสามารถพลิกท้องฟ้าได้ มันแผดเสียงดังลั่นไปทางชงอี้จื่อพร้อมพลังแห่งกฎจักรวาลและกฎเกณฑ์
ขนคิ้วชงอี้จื่อกระตุก ร่างกายขยับไปอีกข้างทันที ท่าทางก็เปลี่ยนไปอีกครั้งในชั่วพริบตา มันไม่ได้นิ่งสงบอย่างก่อนหน้านี้ แต่ทั่วร่างแผ่เจตนาเย่อหยิ่งฟ้าดินออกมา ดวงตาก็หรี่ลงแล้วสาดแสงน่าสะพรึงและดุดัน
“น่าสนใจ ดูท่าข้าไม่ควรส่งแค่ร่างแยกที่มีพลังต่อสู้ส่วนหนึ่งมาเลย คู่ต่อสู้อย่างเจ้า คุ้มค่าให้ร่างจริงของข้ามาเอง ส่วนเจ้า…แน่ใจแล้วหรือว่าจะสู้กับข้าแบบไม่ตายไม่เลิกราน่ะ!” ขณะที่เสียงของชงอี้จื่อดังออกมา เขาก็จับกระบี่ในอ้อมแขนแน่น จิตวิญญาณการต่อสู้ในแววตาพุ่งพรวดขึ้นมาในตอนนี้!
ขณะที่ฝ่ามือเลือนรางพุ่งเข้ามาข้างหน้า ชงอี้จื่อก็ดึงกระบี่ในอ้อมแขนออกมาอย่างดุดัน แล้วฟันไปยังฝ่ามือที่กำลังจะมาถึงพร้อมเสียงคำรามต่ำ!
การฟันครั้งนี้ ทำให้ร่างดารานิรันดร์ของเขาปรากฏออกมาแล้วผสานเข้าไปในกระบี่ ด้วยพลานุภาพรุนแรงไร้ใดเปรียบ เพียงพริบตาก็เข้าปะทะกับฝ่ามือแล้ว!
แต่กลับ…ไม่มีเสียงดังสะเทือน ชั่วพริบตาที่ปราณกระบี่น่าตะลึงนั่นปะทะเข้ากับฝ่ามือ ก็คล้ายกับกดน้ำแข็งก้อนหนึ่งลงไปในน้ำอย่างไรอย่างนั้น มันจมลงไปในน้ำเพียงพริบตาแล้วละลายหายไป…
“แค่นี้หรือ” หวังเป่าเล่อผิดหวังเล็กน้อย มองไปยังชงอี้จื่อ
ภาพนี้ทำให้ท่าทีของชงอี้จื่อเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาฝืนยิ้มน่าเกลียดยิ่งกว่าร่ำไห้ออกมา ก่อนเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน
“สหายเต๋าหวัง ข้าว่าระหว่างพวกเราจะต้องมีเรื่องเข้าใจผิด…”
ยังไม่ทันเอ่ยคำว่า ‘เรื่องเข้าใจผิด’ ให้จบ หวังเป่าเล่อก็ส่ายหน้า ฝ่ามือเลือนรางที่เขาสร้างออกมาก็เข้ามาใกล้ทันที ไม่ให้โอกาสชงอี้จื่อใดๆ ทั้งสิ้น ถึงขั้นไม่สนใจว่าคนผู้นี้จะต่อต้านหรือจะดิ้นรนอย่างไร พริบตาเดียวมันก็ปกคลุมเขาแล้ว แค่ฝ่ามือเดียวจับชงอี้จื่อไว้ในกำมือได้
เขาไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นบีบเบาๆ ทันใดนั้นมือใหญ่เลือนรางที่เขาสร้างออกมาก็ทำแบบเดียวกัน ท่ามกลางเสียงกึกก้อง…ร่างกายของชงอี้จื่อก็แตกสลายทันทีโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้อง
ขณะที่หวังเป่าเล่อคลายฝ่ามืออีกครั้ง ทุกอย่างที่อยู่ภายในมือใหญ่เลือนรางก็กลายเป็นควันลอยขี้เถ้าสลาย
“อ่อนเกินไปแล้ว!” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าเบาๆ ทุกคนรอบด้านไม่มีใครไม่ตกตะลึง ยามที่มองไปยังหวังเป่าเล่อก็เผยความตะลึงงันออกมา หวังเป่าเล่อไม่ได้สังเกตเห็นสักนิด สีหน้ายังคงเรียบนิ่ง เผยความผิดหวังออกมาพลางเก็บฝ่ามือกลับไป ก่อนจะสะบัดเบาๆ…
ชานิดหน่อย แล้วก็ปวดเล็กน้อย
แต่หวังเป่าเล่อไม่เผยให้เห็นความรู้สึกใดๆ เพราะหลังจากกลับมาจากดาวเคราะห์ชะตา เขาก็พบว่าตนชื่นชอบทำท่าทางสูงส่งเหนือใครเหมือนผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่คนดูรอบๆ มีน้อยเกินไป แต่ท่าทางที่สมควรมีก็จำต้องทำให้มันหลอมรวมเข้ากับในชีวิตประจำวัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงคงท่าทางนิ่งสงบไม่หวั่นไหว หลังจากเก็บดาวพระเคราะห์แล้วกลับมายังเรือรบ ก็กล่าวเสียงเรียบราวกับไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย
“ออกเดินทางเถอะ”
………………