หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1114 ประมุขแห่งไม่รู้สิ้น!
ขณะที่ตัวสั่นเทิ้ม จิตวิญญาณก็คล้ายจะถูกแช่แข็งในพริบตา นี่เป็นเพราะดวงตาซึ่งก่อเกิดมาจากกลิ่นอายที่รวมอยู่ภายในวังน้ำวนของผนึกนั่น ไม่เพียงแฝงเร้นความเยือกเย็น ยิ่งกว่านั้นยังมีปราณพิฆาตมหาศาลอีกด้วย!
ความแข็งแกร่งของปราณพิฆาตนี้ แม้หวังเป่าเล่อจะผ่านการระลึกอดีตชาติมาแล้ว แต่จิตใจของเขาก็ยังสั่นสะท้าน เพราะไม่ว่าจะเป็นหลัว หรือว่ากู่ หรือบิดาของหวังอีอีก็ตาม ในด้านระดับพลังปราณพิฆาต…ล้วนอ่อนด้อยกว่าสิ่งที่อยู่ภายในวังน้ำวนนี้เสียอีก!!
และเป็นเพราะความน่าสะพรึงของปราณพิฆาต ดังนั้นแม้จะเป็นเพียงแค่สายตา ทั้งยังมีวังน้ำวนและรอยผนึกขวางไว้ แต่ก็ยังสามารถส่งผลต่อหวังเป่าเล่อได้ ทำให้ร่างกายของเขาสั่นระริก ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีก แต่กลับหันกายช้าๆ แล้วมองไปยังผนึกด้านล่าง
ขณะที่เขามองลงไป ในวังน้ำวนใต้ผนึกก็มีไอหมอกสีม่วงแผ่ออกมา ถึงแม้จะไม่ได้เอ่อล้นออกมาจากผนึก แต่เมื่อไอหมอกแพร่กระจายอยู่ใต้ผนึก ดวงตาคู่นั้นก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น หวังเป่าเล่อคล้ายได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังออกมาจากด้านในวังน้ำวนใต้ผนึกรางๆ
“ผู้อาวุโส…” หวังเป่าเล่อรู้สึกประหม่า เขาสวดบทสวดเต๋าอีกสองสามรอบ แต่ก็ยังไม่เห็นบิดาของหวังอีอีปรากฏตัว ขณะที่กำลังร้อนใจ เขาก็มองดูดวงตาสีม่วงคู่นั้นและฟังเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากภายในไอหมอก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นฉับพลัน
“ผู้อาวุโสสวี่ ข้าแซ่หวัง!”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเอ่ยออกไป เสียงฝีเท้าก็หยุดลง ครู่หนึ่ง เสียงทุ้มต่ำแสนเย็นชาก็ดังออกมาจากวังน้ำวนด้านในผนึก
“เจ้ารู้จักข้าหรือ”
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยมาที่นี่กับท่านพ่อตา และเคยพบผู้อาวุโสสวี่ขอรับ” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม ประโยคนี้เอ่ยได้อย่างไหลรื่นไม่มีสะดุด หน้าก็ยิ่งไม่แดง ราวกับแม้แต่ตัวเขาเองก็คิดว่าตอนนี้เขาได้เข้าสู่สถานะลูกเขยโดยสมบูรณ์แล้ว พอเอ่ยจบก็ประสานหมัดคำนับหนึ่งครั้ง
เสียงฝีเท้าไม่ได้ดังต่อ แต่ในดวงตาที่ควบแน่นขึ้นมาภายในวังน้ำวนกลับฉายแววประหลาด
“ผู้ฝึกตนของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นล้วนหน้าไม่อายอย่างเจ้าทั้งนั้นหรือ แม้แต่สถานที่ที่เจ้าอยู่ก็เป็นเพียงแค่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นบริเวณหนึ่งเท่านั้น” ขณะที่ถ้อยคำเหล่านั้นถูกเอ่ยออกมา แววตาก็ถูกเก็บกลับไป เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีก แต่กลับไม่ได้เข้ามาใกล้ ทว่าห่างไปไกลแทน แต่หลังจากหวังเป่าเล่อได้ยินประโยคนี้แล้ว ดวงตาของเขาก็หดเกร็ง จิตใจสั่นสะท้านเสียยิ่งกว่า เขารีบเอ่ยออกมาทันที
“เมื่อครู่ผู้อาวุโสบอกว่าสถานที่ที่ผู้น้อยอยู่เป็นเพียงบริเวณหนึ่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นหรือ เขตหมายความว่าอะไร หรือว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจะไม่รู้สิ้นจริงๆ”
“เจ้าหนุ่มไม่ต้องมาหลอกถามข้าแซ่สวี่หรอก เรื่องพวกนี้ พอข้าเห็นเจ้าก็รู้ว่าตัวเจ้ารู้อยู่แล้ว แต่บอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไร”
“จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น นอกจากจักรพิภพหลักแล้ว ยังมีเขตแดนอีกนับไม่ถ้วน เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านไปทั่วจักรวาลทุกระดับชั้น และสถานที่ที่เจ้าอยู่ ก็คือเมล็ดพันธุ์หนึ่งในนั้น”
ประโยคนี้ดังเข้าหูหวังเป่าเล่อ หลังจากนำไปผสานกับความทรงจำของการระลึกอดีตชาติแล้ว มันก็กลายเป็นอัสนีสวรรค์ส่งเสียงอึกทึกดังก้องขึ้นมา ทรวงอกของหวังเป่าเล่อขยับขึ้นลง เขาเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้อาวุโสโปรดบอกทีเถิดว่าจะเดินทางไปยังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริงได้เช่นไร”
เสียงฝีเท้าดังไกลออกไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อรอคอยอย่างร้อนใจอยู่นานมาก จนกระทั่งไอหมอกในวังน้ำวนล้วนสลายไปหมด ก็คล้ายจะมีเสียงจากที่ไกลๆ ดังสะท้อนเข้ามาในใจของเขา
“ยามที่ร่างแยกของมหาเทพในเขตแดนไม่รู้สิ้นที่เจ้าอาศัยอยู่ตื่นขึ้น”
“มหาเทพคือใคร” หวังเป่าเล่อใจสั่นรุนแรงอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกรอบ
ครู่ใหญ่ เขาก็คล้ายจะได้ยินเสียงตอบกลับรางๆ แต่ไม่แน่ใจว่ามาจากจินตนาการของตัวเองหรือเปล่า
“ประมุขแห่งไม่รู้สิ้น!” หวังเป่าเล่อพึมพำ นี่เป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยิน จากคำคำนี้ สมองของหวังเป่าเล่อก็เกิดความคิดนับไม่ถ้วนขึ้นมา
“ไม่รู้สิ้นมีหลายเขตแดน เช่นนั้นก็หมายความว่าจุดเริ่มต้นของวงแหวนที่สองที่โลกใบแรกถือกำเนิด แท้จริงแล้วเป็นเพียงเขตแดนหนึ่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเท่านั้น…”
“ส่วนจักรวาลหลายระดับชั้นที่ผู้อาวุโสสวี่ท่านนี้พูดถึง หากวิเคราะห์กันตามนี้ หรือว่าจักรวาลที่วงแหวนที่หนึ่งและวงแหวนที่สองอยู่จะเป็นแค่หนึ่งในจักรวาลจำนวนมาก…”
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ แล้วไม่รู้สิ้น…แข็งแกร่งขนาดไหนกัน มหาเทพคือประมุขแห่งไม่รู้สิ้น แล้วจะทรงพลังขนาดไหน…ยังมีร่างแยกมหาเทพที่เขาพูดถึงอีก หรือว่าเขตแดนหลายแห่งของไม่รู้สิ้นจะเกี่ยวพันกับการฝึกตนของเขา จึงต้องแบ่งร่างแยกออกมามากมายเพื่อทำให้ร่างกายเติบโตทีละร่าง”
“แล้วยังมี…ถ้าหากสิ่งที่ผู้อาวุโสสวี่ท่านนี้พูดเป็นความจริง เช่นนั้นร่างแยกมหาเทพในโลกแผ่นหินนี้…คือใครกัน” หัวสมองของหวังเป่าเล่อมีความคิดมากมายเกินไป ค่อนข้างจะวุ่นวายเล็กน้อย ความจริงข้อมูลที่เขาได้รับครั้งนี้มันใหญ่มาก ใหญ่มากเกินไปจริงๆ!
หลังจากใคร่ครวญความคิดเหล่านี้อยู่ในใจรอบหนึ่งแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจตัดสินได้ว่ามีส่วนที่เป็นความจริงมากขนาดไหน แต่สัญชาตญาณได้บอกกับเขาเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาทั้งหมด แปดเก้าไม่พ้นสิบล้วนเป็นเรื่องจริง
ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาคิดว่าโลกที่เขาอยู่ใบนี้เต็มไปด้วยความเร้นลับไร้ที่สิ้นสุด ตะขาบสีโลหิต พ่อลูกหวังอีอี ซากปรักหักพังโบราณ ผนึกของหลัว และร่างจริงของตัวเขา…กระดานไม้ดำที่มาจากวังน้ำวนอีกอัน
เขาในตอนนี้มั่นใจได้อย่างหนึ่ง วังน้ำวนที่กระดานไม้ดำออกมานั้นไม่เหมือนกับวังน้ำวนที่นี่!
“ยังมีวันที่หลังปี 68 อีก” หวังเป่าเล่อพึมพำเงียบๆ เนิ่นนานเขาถึงเงยหน้าขึ้น ฝังความสงสัยทั้งหมดไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ เพราะเหตุนี้ความรู้สึกบีบคั้นลึกล้ำสายหนึ่งจึงแผ่ซ่านรุนแรงอยู่ภายในใจเขายิ่งกว่าเดิม
“ถึงแม้ว่าข้าจะบรรลุระดับดารานิรันดร์ ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี…ต้องแข็งแกร่งกว่านี้ให้เร็วยิ่งขึ้นอีก!” เมื่อคิดถึงตรงนี้ แววตาของหวังเป่าเล่อก็เปล่งแสงวาบ ร่างกายเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วกลายเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งท่ามกลางเสียงดังสนั่น จากนั้นจึงทะยานพุ่งจากใต้ทะเลไปยังผิวน้ำของทะเลกระดาษ ก่อนจะกระโจนขึ้นมาพร้อมเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น!
ขณะที่บินออกมาจากทะเลกระดาษ หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่กลางอากาศก็มองเห็นสายตาที่จ้องมองมาของจักรพรรดิองค์แรกและจักรพรรดิดาวตก รวมถึงกระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่รอบๆ ทันที
“ขอบพระคุณผู้อาวุโส ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ประสานหมัดคำนับอย่างล้ำลึกไปยังจักรพรรดิรุ่นแรกและจักรพรรดิดาวตก ไม่ได้เอ่ยคำพูดซาบซึ้งอะไรมากมาย เพราะความรู้สึกซาบซึ้งทั้งหมดล้วนถูกจดจำไว้ในจิตวิญญาณเรียบร้อยแล้ว
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่า ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะตนมาเลื่อนขั้นที่สุสานดวงดารา เกรงว่าคงยากที่จะสำเร็จได้อย่างราบรื่น ทั้งยังมีวิกฤตอันตรายพิฆาตกายสลายเต๋าอีก ดังนั้นน้ำใจนี้จึงยิ่งใหญ่นัก
เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่เป็นอะไร จักรพรรดิองค์แรกและจักรพรรดิดาวตกต่างก็โล่งอก หลังจากก้าวเข้าไปถามไถ่สารทุกข์กัน หวังเป่าเล่อก็ขอตัวลา เขาไม่ต้องการเรือเพื่อคุ้มกันอีกแล้ว ตัวเขาพุ่งขึ้นฟ้าในทันทีภายใต้สายตาของทั้งสอง ที่ปลายท้องฟ้า ณ เส้นขอบของวงแหวนปราณดาวตก หวังเป่าเล่อหันกลับมามองทุกคนที่อยู่ด้านล่าง แล้วคำนับอีกครั้ง
“หากในอนาคตมีความจำเป็นใดๆ ข้าแซ่หวังจะต้องช่วยเหลือเต็มกำลังแน่นอน!” ว่าพลาง หวังเป่าเล่อก็หันกายไปยังปลายขอบฟ้า เพียงย่างก้าวออกไป เงาร่างของเขาก็กลายเป็นหลุมดำทันที ชั่วพริบตา…ก็หายวับไปแล้ว!
“ข้าคล้ายจะมองเห็นว่า อีกไม่นานโลกภายนอกจะมีตำนานปรากฏขึ้น!” จักรพรรดิดาวตกทอดมองจุดที่หวังเป่าเล่อหายตัวไป แววตามีความคาดหวังและเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว หวังเป่าเล่อได้รับดาวเคราะห์เต๋าที่นี่ ทั้งยังเลื่อนขั้นดารานิรันดร์ที่นี่ด้วย บุญคุณจากดาวตกนั้นเพียงพอแล้ว ภายหลังถ้าหากเขาประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ สัมพันธ์วาสนาของข้าก็จะจบลง ถ้าหากไม่ได้ประสบความสำเร็จ คาดหวังไปก็ไร้ประโยชน์” จักรพรรดิรุ่นแรกส่ายศีรษะ เก็บสายตาที่มองไปบนฟ้ากลับมา
ขณะเดียวกัน เมื่อพลังฝึกปรือเพิ่มพูน หลังจากเงาร่างหายวับ หวังเป่าเล่อที่คล้ายกับหลุมดำก็เหมือนจะหลอมรวมไปกับความว่างเปล่า พอปรากฏตัวในพริบตาต่อมา เขาก็มาอยู่ในอวกาศด้านนอกสุสานดวงดาราแล้ว
ในอวกาศ สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาคือแถบกระดาษที่เปิดออกอย่างต่อเนื่องหลังจากพับทบนับครั้งไม่ถ้วน พริบตาเดียวอวกาศก็ปกคลุมไปด้วยกระดาษขาว ส่วนใจกลางของกระดาษขาวนั้น เพียงพริบตาพวกเซี่ยไห่หยางกับเฉินหานก็มองเห็น…เงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นตรงนั้น!
ร่างสวมชุดขาว ผมสีดำขลับ ดวงตาราวดารา เงาร่างคล้ายจันทร์กระจ่าง ร่างราวตะวันฉาย!
แทบจะทันทีที่เขาปรากฏตัว ผู้ฝึกตนทุกคนที่มองเห็นเขาต่างตกตะลึง ในดวงตามีความหวั่นเกรงที่ไม่อาจควบคุมได้ และเสียงเยินยอของเฉินหานก็ดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตื่นตะลึงนั้น
“ยินดีและปรีดาด้วยกับท่านพ่อ ท่านเลื่อนขั้นเป็นระดับดารานิรันดร์แล้ว!”
“ขอแสงความยินดีกับอาจารย์อา อาจารย์อาเลื่อนขั้นดารานิรันดร์ได้ในคราวเดียวเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากบนโลกนี้ จากนี้ไปมหาสมุทรไพศาลท้องนภากว้างใหญ่ ไม่มีที่ใดที่อาจารย์อาไปไม่ได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินหานและเซี่ยไห่หยางที่เอ่ยตามกันมาติดๆ ใบหน้าของหวังเป่าเล่อก็เผยรอยยิ้มบางเบาราวผู้สูงส่งออกมาโดยไม่รู้ตัว หลังจากใช้สายตากวาดมอง สายตาของเขาก็ไปตกอยู่ที่ไกลๆ…ณ อวกาศกว้างใหญ่ว่างเปล่าในสายตาของคนนอก จากนั้นจึงค่อยๆ เอ่ยออกมา
“ปล่อยให้เจ้ารอนานแล้ว”
แทบจะชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้นมา จุดที่สายตาของเขามองไปก็คล้ายจะมีม่านผืนหนึ่งถูกฉีกขาดกะทันหัน แล้วเผยให้เห็น…เงาร่างสูงใหญ่…ผู้มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่สุด นัยน์ตาแฝงความหวาดหวั่น!
นั่นก็คือชงอี้จื่อ!
……………………