หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1117 พลังต่อสู้หนึ่งส่วนของข้าก็สยบเจ้าได้!
“นี่มัน…” สีหน้าของชงอี้จื่อเปลี่ยนผันยกใหญ่ ความรู้สึกอันตรายอย่างแรงกล้าระเบิดขึ้นในใจของเขา แม้แต่ร่างแยกทั้งหมดที่ก่อตัวขึ้นจากวิชาลับของเขาก็ยังได้รับผลกระทบ แต่ละตนต่างตัวสั่นเทิ้มเช่นกัน
ตอนนี้ในหัวของชงอี้จื่อมีความคิดหนึ่งเดียวปรากฏขึ้น นั่นก็คือหลบหนี ถึงแม้ใจเขาจะไม่ยินยอม เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นดารานิรันดร์ชั้นปลาย แต่ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกตื่นตระหนกในใจหรือการตระหนักรู้ทางสัมผัสสวรรค์ ก็ทำให้สัญชาตญาณเข้าครอบงำสติปัญญาได้แล้ว ร่างกายจึงล่าถอยเพียงชั่วพริบตา
ขณะที่ล่าถอยมา หอกยาวสีทองในมือของเขาก็ขว้างปาไปทางหวังเป่าเล่อด้วยแรงทั้งหมด ทันใดนั้นหอกยาวสีทองก็กลายเป็นสายฟ้าสีทองพุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อ พยายามจะสกัดกั้นเขาให้ได้
แต่ต่อให้เขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่มีความเชื่องช้าสักนิด แต่เขาก็ยัง…ช้าไป!
หรือควรกล่าวว่า ขณะที่ทหารอาฆาตของหวังเป่าเล่อปรากฏและฟันดาบลงมา ก็กำหนดเป้าหมายเอาไว้แล้ว ตัวมันฟันลงมาเรียบร้อย ดังนั้นจึงไม่อาจถอยหนีและไม่อาจหลบเลี่ยงได้!
ดังนั้น…ขณะที่หอกยาวสีทองที่กลายเป็นสายฟ้าด้ามนั้นเพิ่งจะมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ มันก็พังทลายไปเองทันที เพียงชั่วพริบตาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วกลายเป็นเศษสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่ว
“ถึงแม้ตัวข้าเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ชั้นต้น ทั้งยังใช้พลังต่อสู้แค่สามส่วน แต่…ชงอี้จื่อ ถ้าหากเจ้ามีกำลังรบแค่นี้ ข้าก็ผิดหวังนัก” ในใจของหวังเป่าเล่อเต็มกลืนอย่างมาก การต่อสู้ครั้งนี้ นอกจากเคล็ดวิชาลับสองสามอย่างที่ยังไม่ได้ใช้ เขาก็ได้ระเบิดพลังออกมาทั้งหมดแล้ว
แต่ท่าทางสูงส่งก็ซึมลึกถึงสัญชาตญาณ ดังนั้นจึงเอ่ยคำพูดนี้ออกมาทันที สีหน้าท่าทางก็ยิ่งฉายแววผิดหวังอย่างยากจะปกปิด
แต่ความจริงแล้วตอนนี้อวัยวะภายในของเขาปั่นป่วนไปหมด พลังของดารานิรันดร์กำลังพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องแล้วทำลายหอกยาวสีทอง ไม่ได้สบายอย่างที่แสดงให้เห็นเช่นภายนอก ไม่ใช่เพราะมีอุปสรรคแข็งแกร่งอยู่ตรงหน้า แต่เป็น…ทหารอาฆาตของหวังเป่าเล่อได้ฟันผ่านหอกยาวสีทองโดยพลันด้วยความเร็วและพลานุภาพที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มันรวบรวมความคับแค้นในชาติก่อนและความเฉียบคมของทหารอาฆาต ทั้งยังมีเต๋านิรันดร์และกลุ่มดาวสนับสนุน จึงทำให้เขาดูราวกับมีท่าทางแข็งแกร่งไร้พ่าย!
ยิ่งชั่วพริบตาต่อมา ทหารอาฆาตผู้นี้ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าชงอี้จื่อที่กำลังล่าถอย โดยไม่ให้โอกาสชงอี้จื่อได้ต่อต้านสักนิด ขณะที่ชงอี้จื่อหน้าเปลี่ยนสีจนสิ้นในชั่วพริบตา ทันใดนั้น…ลำตัวมหึมาของเขาก็ล้มลงราวกับภูเขาถูกผ่าแยกทันที
ตอนนี้อวกาศถล่มทลาย เสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งแปดทิศ ร่างกายใหญ่ยักษ์ของชงอี้จื่อถูกผ่าครึ่งตรงๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคน ครึ่งหนึ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนอีกครั้งก็แห้งเหี่ยวในพริบตา แต่ไม่ได้สลายหายไปในจักรวาล ทว่าควบรวมกันเป็นเงาร่างร่างหนึ่งขึ้นมาใหม่
แต่ทันทีที่เงาร่างนี้ปรากฏขึ้น มันกลับกระอักเลือดออกมาสามครั้งแล้วถอยหลังโดยพลัน ขณะเดียวกัน สิ่งที่ระเบิดไปด้วยกันก็ยังมีร่างแยกจากเก้าเต๋าของหวังเป่าเล่อ กึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าดวงระเบิดออกมาในตอนนี้เอง แต่ละดวงล้วนแสดงวิถีกฎเกณฑ์กึกก้องกังวานจนแทบจะทะลุขีดสุดของตนออกมา
มองจากไกลๆ จะเห็นโลหิตแดงน่าตกตะลึง บทเพลงสีแสดดังก้องทั่วฟ้า เปลวไฟสีเหลืองปะทุขึ้นมา พืชพรรณสีเขียวไร้ที่สิ้นสุด เมฆครามข่มดวงดารา ลมสีฟ้าราวกับพายุ สีม่วงกัดกินท้องฟ้า!
แล้วยังมีไอมรณะจากทะเลแห่งความมืดและประกายแสงอันไร้ที่สิ้นสุด!
การระเบิดของร่างแยกที่มาจากกึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้า ทำให้ร่างแยกของชงอี้จื่อสั่นเทิ้มแล้วถอยร่นไปพร้อมๆ กันในพริบตา พวกมันกระอักเลือดออกมาแล้วแตกสลายทีละตนๆ แต่ถึงอย่างนั้น พลังฝึกปรือของชงอี้จื่อก็ล้ำลึกยิ่ง ดังนั้นแม้ว่ากระบวนวิชาเทพจะถูกทำลาย แต่เห็นได้ชัดว่าแกนกลางไม่ได้รับบาดเจ็บง่ายๆ ตอนนี้เมื่อร่างกายพังทลายลง แกนกลางของพวกมันก็ถอยกลับมาผสานรวมกับร่างยักษ์ที่ถูกฟันแยกของชงอี้จื่อ ซึ่งเป็นร่างจริงที่กำลังล่าถอย
เดิมทีกลิ่นอายร่างจริงที่กำลังถอยหลังก็สั่นไหวเล็กน้อยอยู่แล้ว แต่เมื่อมีพวกมันเข้ามาผสาน กลิ่นอายก็เสถียรขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ท่าทางยังคงบอบช้ำ จนกระทั่งถอยออกมาจากขอบเขตการโจมตีของทหารอาฆาต สีหน้าท่าทางของเขาจึงชะงักกะทันหัน เขาจดจ้องไปยังหวังเป่าเล่อ ในใจร้องคำรามเสียงต่ำ
‘นี่มันดารานิรันดร์ชั้นต้นอะไรกัน แล้วยังจะใช้พลังแค่สามส่วน แม่เจ้าน่ะสิ…เจ้าหลอกผีหรือยังไง!’
ถึงแม้ในใจจะกู่ร้องบ้าคลั่งเช่นนี้ แต่สีหน้าของชงอี้จื่อก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา ถึงขั้นที่มุมปากยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่ด้วยซ้ำ คล้ายกับว่าความสะบักสะบอมก่อนหน้านี้และการที่ร่างแยกร่างจริงถูกฟันนั้นเป็นเพียงการทดสอบสำหรับเขา จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“น่าสนใจ หวังเป่าเล่อ ในเมื่อเจ้าสามารถเอาตัวรอดจากช่วงอุ่นเครื่องของข้ามาได้ เช่นนั้นก็คู่ควรให้ตัวข้าใช้พลังต่อสู้สองส่วนมาทำให้เจ้ารู้ว่าความแข็งแกร่งคืออะไรเถอะ”
“พลังต่อสู้สองส่วนอะไร แล้วยังมีอุ่นเครื่องอีก กระอักเลือดออกมาตั้งหลายครั้งแล้ว ช่างจอมปลอมเสียจริง!” หวังเป่าเล่อยิ้มเย็นอยู่ในใจ แต่สีหน้ายังพยายามทำให้ตนดูสงบ เขายิ้มเรียบๆ ออกมา
“ข้าไม่รังแกเจ้าหรอก ต่อไปจะเก็บพลังต่อสู้สองส่วน และใช้เพียงหนึ่งส่วนมาสยบเจ้า!” ขณะที่กล่าว พลังฝึกปรือในร่างของหวังเป่าเล่อก็พลุ่งพล่านทันใด พลังต่อสู้สิบสองส่วนทะยานขึ้นมา
‘เจ้าตัวน่าไม่อาย แม้แต่แผนที่ดวงดาวก็ยังปรากฏขึ้นมาแล้ว กลับยังทำหน้าหนาบอกว่าจะใช้พลังแค่สามส่วน ผิวหน้าของเจ้าหวังเป่าเล่อคนนี้คงไม่ได้หนาเป็นดารานิรันดร์ไปแล้วหรอกนะ!’ ชงอี้จื่อสบประมาทอยู่ในใจ ใครเขาจะโอ้อวดบ้างไม่ได้ล่ะ ดังนั้นเขาจึงระเบิดพลังฝึกปรือในร่างทั้งหมดออกมา ปากก็เอ่ยอย่างราบเรียบ
“หนึ่งส่วนหรือ เอาเถอะ ข้าจะใช้แค่ครึ่งส่วนมารับกระบวนเทพของเจ้า!”
บทสนทนาในตอนนี้ของทั้งสองคนดังเข้าหูของพวกเซี่ยไห่หยางและเฉินหาน ถึงแม้ว่าพวกเขาแต่ละคนจะถูกการประมือเมื่อครู่ของทั้งคู่ทำให้ตกใจ แต่สีหน้าของแต่ละคนก็ยังแปลกประหลาดอยู่ดี
แม้แต่เฉินหานที่ประจบสอพลออยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้ก็ยังลังเลไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวคำใด ส่วนทางฝั่งเซี่ยไห่หยางยิ่งกะพริบตาปริบๆ ไม่หยุด เก็บซ่อนความอับจนปัญญาในดวงตาเอาไว้ เขารู้สึกเหนื่อยใจมาก
ดารานิรันดร์คนอื่นๆ ต่างก็เงียบงันไปหมด แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วย…
“สองคนนี้…ไม่ใช่กำลังต่อสู้ แต่กำลังแข่งว่าใครหนาหน้ากว่ากันหรอกหรือ”
ขณะที่ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ชงอี้จื่อที่เอ่ยออกมาแล้วก็โคจรพลังฝึกปรือทั้งหมดของตน ดารานิรันดร์ปรากฏขึ้นด้านหลังชงอี้จื่ออีกครั้ง ทั้งยังใหญ่มโหฬารยิ่งกว่าเดิม ถึงขั้นที่มองเห็นอักขระโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนด้านใน และอักขระเหล่านี้ก็คือพลังของวงแหวนปราณ!
อักขระทุกตัวล้วนมีพลังที่ไม่สามัญ ทำให้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ถูดบดขยี้ทันทีที่ได้สัมผัส เขารู้ว่ากฎเกณฑ์ของหวังเป่าเล่อมีเยอะมาก อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของกฎเกณฑ์เหล่านี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่ไปต่อสู้ในด้านกฎเกณฑ์ที่คนเขาคุ้นเคย แต่วางแผนจะใช้พลังวงแหวนปราณอันมหาศาลนี้มาสยบอีกฝ่ายแทน
ตอนนี้เอง ขณะที่สองมือของเขายกขึ้นโบกโดยพลัน ทันใดนั้นอักขระวงแหวนปราณนับไม่ถ้วนด้านในดารานิรันดร์ด้านหลังก็ระเบิดออกมากะทันหัน พริบตาเดียวก็แพร่กระจายอยู่ในอวกาศไร้จุดจบ ดูคล้ายกับทะเลของวงแหวนปราณ ก่อนตรงไปเข้าไปล้อมสังหารหวังเป่าเล่อกับร่างกายของเขา!
“กระบวนเวทเล็ก วงแหวนสังหาร!” ขณะที่ทะเลวงแหวนปราณกว้างใหญ่ไพศาลแผ่กระจายอยู่ในอวกาศและกู่ก้องไปหาหวังเป่าเล่อ ชงอี้จื่อก็ยังไม่ลืมเอ่ยบอก ราวกับเคล็ดวิชาลับที่เขาระเบิดออกมาเต็มกำลังเป็นเพียงแค่กระบวนเวทเล็กๆ ในบรรดาเคล็ดวิชานับไม่ถ้วนของเขาเท่านั้น
“ยังมีหน้าอีกหรือ” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ขณะที่ดูถูกอยู่ในใจ ดวงตาของเขาก็หรี่ลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“วงแหวนปราณหรือ” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า สองมือผนึกมุทรา พลังฝึกปรือในร่างโคจรขึ้นแล้วพลันสะบัดไปข้างนอก ขณะที่เสียงดังอึกทึกกึกก้อง แสงของแผนที่ดวงดาวที่ด้านหลังของเขาก็เจิดจรัส แต่แสงสว่างทั้งหมดนี้ ตอนนี้ล้วนกลายเป็นเครื่องมือขับหนุนดวงดาวเต๋านิรันดร์ในแผนที่ดวงดาว!
ยิ่งพวกมันสว่างไสวมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ดวงดาวเต๋านิรันดร์ที่ดำมืดราวกับหลุมดำตรงใจกลางชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น สุดท้าย ขณะที่หวังเป่าเล่อโบกมือและพลังฝึกปรือระเบิดออกมา กฎที่แฝงอยู่ในดวงดาวเต๋านิรันดร์ก็ปะทุขึ้นทันที!
“แค่กระดาษแปลงซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนเวทเล็กๆ ทั้งสามพันของตัวข้าก็เพียงพอจะสยบเจ้าแล้ว!”
ตอนนี้ผิวหน้าของเซี่ยไห่หยางและเฉินหาน รวมถึงองครักษ์เต๋าดารานิรันดร์เหล่านั้นกระตุกอีกครั้ง ความรู้สึกเหนื่อยใจรุนแรงมากยิ่งขึ้น…ขณะที่พวกเขาเหนื่อยใจอยู่ กฎกระดาษของหวังเป่าเล่อก็ปะทุขึ้นมา
สิ่งแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือดวงดาวทั้งหมดนอกเต๋านิรันดร์ พริบตาเดียวก็กลายเป็นแถบกระดาษ จากนั้นภายใต้การเพิ่มพลังอย่างเต็มที่ของเขา มันก็พลันแผ่กระจายไปปะทะกับทะเลวงแหวนปราณไร้ที่สิ้นสุดของชงอี้จื่อตรงๆ!
เสียงกึกก้องดังสะท้อนไปทั่วจักรวาล เพียงตาเปล่าก็มองเห็นว่าอักขระวงแหวนปราณรอบด้านที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนคล้ายจะถูกอาบย้อมตรงๆ ในชั่วพริบตา แค่อึดใจเดียว…ก็กลายเป็นแผ่นกระดาษ!
กวาดตามองไป ตอนนี้ในอวกาศก็ราวกับเป็นทะเลกระดาษไปแล้ว!
และท่ามกลางทะเลกระดาษนี้ มีเงาร่างอันเฉยเมยของหวังเป่าเล่ออยู่ ตอนนี้เขาสะกดกลั้นไม่ให้ร่างกายสั่นสะท้านแล้วยกมือขวาขึ้น ท่าทางเฉยชา ทว่าในใจกลับปั่นป่วนตะโกนชื่อชงอี้จื่อจนดังไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า จากนั้นจึงค่อยๆ ชี้
“สยบ!”
………………………