หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1165 วิถีต่างกัน!
“เป่าเล่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเต๋าสวรรค์คืออะไร” เฉินชิงจื่อเบนหน้าหันมองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด น้ำเสียงแฝงอารมณ์เล็กน้อย ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะเอ่ยตอบ เขาก็เอ่ยต่อราวกับกำลังเอ่ยกับตนเอง
“เต๋าสวรรค์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่ง หรือสำนักหนึ่ง หรือเป็นการรวมตัวกันของความคิดของทุกชีวิตในอำนาจด้านหนึ่ง เมื่อเผ่าพันธุ์นี้กลายเป็นแกนหลักของโลก พวกเขาก็สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ทุกสิ่งได้ ใครที่ไม่ปฏิบัติตามย่อมเป็นกบฏและต้องถูกตัดศีรษะ ดังนั้นเมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเชื่อฟังความประสงค์ เผ่าพันธุ์นี้จึงค่อยๆ กลายเป็นเต๋าสวรรค์” เสียงเฉินชิงจื่อลอยเข้าหูหวังเป่าเล่ออย่างเลือนราง
หวังเป่าเล่อเงียบไป ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเต๋าสวรรค์มากนัก แต่หลังผ่านประสบการณ์ในชาติก่อนๆ มา เขาก็ได้ข้อสรุป
“เต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นก็เป็นเช่นนี้ นั่นคือรวมเจตจำนงของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจากรุ่นสู่รุ่น แต่ร่างที่แบกรับคือร่างเต๋าอีกร่างของปรมาจารย์ดั้งเดิมไม่รู้สิ้นผู้นั้น”
“ส่วนสำนักแห่งความมืดของเราก็เป็นเช่นนี้แบบเดียวกัน คือรวมเจตจำนงของผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทุกคนไว้ ร่างเดิมที่เคยแบกรับคือจักรพรรดิแห่งความมืด เขาลึกลับและคาดเดาไม่ได้ นับแต่มีสำนักแห่งความมืดมาก็มีเขา” เฉินชิงจื่อกล่าวเสียงเบา อธิบายถึงสิ่งที่เขาเข้าใจ และความเข้าใจนี้หวังเป่าเล่อก็ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
“จากที่ข้าสรุปได้ จักรพรรดิแห่งความมืดคงจะเป็นนิ้วชี้ของหลัวเทียนที่แปลงมา ส่วนอีกสี่นิ้ว หนึ่งนิ้วแปลงเป็นกฎ หนึ่งนิ้วแปลงเป็นกฎหมาย หนึ่งนิ้วแปลงเป็นฟ้า หนึ่งนิ้วแปลงเป็นพื้นดิน ส่วนฝ่ามือ…ก็คือจักรวาลผืนนี้”
“นั่นก็คือที่มาของสำนักแห่งความมืดและเป็นภารกิจของเราด้วย ผนึกทุกสิ่งที่นี่ ไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดออกไป แต่โลกภายนอกจะเห็นเป็นการควบคุมการกลับชาติไปเกิด ทำให้บนโลกมีเกิดมีตาย ไม่มีชีวิตใดอยู่ยงคงกระพัน และไม่มีชีวิตใดหนีรอดไปได้”
“จนกระทั่ง…หลัวเทียนมอบภารกิจให้เราได้สูญเสียร่องรอยชีวิต นับแต่นั้นมาสำนักแห่งความมืดก็เริ่มอ่อนแอ และตระกูลไม่รู้สิ้นก็รุ่งโรจน์ขึ้นมาในตอนนั้นเอง บางทีใช้คำว่าการฟื้นคืนชีพของตระกูลไม่รู้สิ้นคงจะเหมาะกว่า”
“สิ่งที่ตระกูลไม่รู้สิ้นต้องการคือความเป็นอมตะและการหลีกหนีชะตากรรม เพราะนี่คือวิธีทำลายผนึก และทันทีที่ผนึกแตกออก ตระกูลไม่รู้สิ้น…หลังจากฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แล้วก็จะติดต่อกับโลกไม่รู้สิ้นที่แท้จริงนอกโลกอันไกลโพ้นและ…กลับมา”
“ตระกูลไม่รู้สิ้นกลับมานั้นไม่เป็นอะไรหรอก แต่…มันขัดกับภารกิจของสำนักแห่งความมืดของเรา” เฉินชิงจื่อส่ายหน้าและกำลังจะพูดต่อ แต่กลับตาเป็นประกายเพราะคำพูดของหวังเป่าเล่อ
“เพราะเซียนใช่หรือไม่ ภารกิจของสำนักแห่งความมืดในท้ายที่สุดไม่ใช่ขัดขวางการกลับมาของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ขัดขวางการหลบหนีของเซียน” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เฉินชิงจื่อเงียบไป จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่พูดคำตอบที่หวังเป่าเล่อถามเขาก่อนหน้านี้แทน
กล่าวจบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
หวังเป่าเล่อจ้องมองแผ่นหลังของศิษย์พี่และนึกถึงเรื่องหนึ่ง หาก…ตอนนั้นที่ตนยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้ตามศิษย์พี่ออกจากสหพันธรัฐครั้งแรก ตอนนั้น…หากไม่มีเรื่องจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกเกิดขึ้น ตนนอนอยู่ในโลงศพ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่ามาถึงดวงดาวแห่งความมืดแล้ว
เช่นนั้น…บางทีผลสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมดอาจต่างออกไป
ศิษย์พี่ในตอนนั้นช่างอ่อนโยน ส่วนตัวเขาในตอนนั้นช่างหยิ่งผยอง
หวังเป่าเล่อคิด หากทุกทางดำเนินไปเช่นนั้นจริงๆ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะตั้งรกรากมั่นคงอยู่ในสำนักแห่งความมืดไปแล้ว แม้จะมีคนต่อต้านก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ต้องมีวิธีจัดการแน่
ทว่า ตอนนี้…
ศิษย์พี่พูดถูก เพราะตอนนั้นสำนักแห่งความมืดถูกแทนที่ด้วยไม่รู้สิ้น การก่อกบฏของศิษย์พี่ย่อมมีเหตุผลไม่มากก็น้อย และความรู้สึกผิดในใจเขาก็เหมือนกับงูพิษที่คอยกัดกินมานาน
ดังนั้นความคิดของศิษย์พี่คือปรารถนาที่จะชดเชย ปรารถนาที่จะไถ่บาป ปรารถนาที่จะทำให้สำนักแห่งความมืดกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง เพื่อการนี้…เขาจึงไม่เสียดายที่จะสูญเสียตัวตนผนึกกายเข้ากับเต๋าสวรรค์ ไม่เสียดายที่ต้องแลกกับทุกสิ่ง นี่คือสิ่งที่เขาคิด
เขาไม่ได้ทำอะไรผิด
และสำนักแห่งความมืดในตอนนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนที่น่าสงสาร เพราะแทบไม่เคยสัมผัสกับโลกภายนอกเลย สำนักแห่งความมืดที่นี่จึงใช้ชีวิตอยู่ในความรุ่งโรจน์เช่นอดีต ไม่อยากตื่น ไม่อยากรับรู้ แต่ก็โกรธแค้นและไม่พอใจ ความรู้สึกเหล่านี้ผสมปนเปเข้าด้วยกันจนกลายเป็นบ้า
นั่นก็ไม่ผิด เพราะหากคิดจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งก็มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวและต่อสู้จนตัวตาย!
ดังนั้นคนของสำนักแห่งความมืดไม่ได้ทำอะไรผิด
หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ผิดเช่นกัน ความรู้สึกพิเศษที่มีต่อสำนักแห่งความมืดถูกความจริงตีแสกหน้า ความเคารพและสนิทสนมต่อศิษย์พี่ถูกเต๋าสวรรค์ไร้ความรู้สึกทำลาย และเขาก็ไม่มีเวลาจัดการสำนักแห่งความมืด เขาอยากแข็งแกร่งขึ้น อยากต่อต้านวิกฤตในอนาคต เขาไม่อยากผูกติดอยู่กับสำนักแห่งความมืดทั้งที่ไม่มีใจจะอยู่ นั่นก็คงไม่ผิดกระมัง
นอกจากนี้แท้จริงแล้ว เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนอาจจะขัดกับสำนักแห่งความมืดมาตั้งแต่ต้น สิ่งที่สำนักแห่งความมืดต้องขัดขวางคือเซียน แต่เซียน…ได้รับการสืบทอดมาจากเขา
บางทีเรื่องนี้ศิษย์พี่คงสัมผัสได้แล้ว
บางทีก่อนที่จะผนึกกายเข้ากับเต๋าสวรรค์ ศิษย์พี่อาจยังไม่รู้ แต่หลังจากผนึกกายเข้ากับเต๋าสวรรค์แล้ว เขาย่อมมีสัมผัสเชื่อมต่อ นั่นคือสาเหตุที่เขาเปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้
บางทีในใจของศิษย์พี่ก็คงเสียศูนย์ไปเช่นกัน
บางทีหากเขาละทิ้งการสืบทอดเซียน ละทิ้งการไล่ตามอนาคต ละทิ้งไว้ในก้นบึ้งหัวใจ คิดจะลาจากโลกนี้ไปลองดูความคิดของโลกภายนอก อยู่ในสำนักแห่งความมืดอย่างวางใจและรักษาภารกิจของสำนัก เช่นนั้น…ศิษย์พี่ก็ยังเป็นศิษย์พี่
ทุกสิ่งเป็นดั่งใจ
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาถึงนึกคำพูดของอาจารย์ในนิมิตมืด จมอยู่กับความคิดและจ้องมองศิษย์พี่ที่เดินจากไป คำตอบที่ศิษย์พี่เอ่ยกับเขาพลันผุดขึ้นตรงหน้า
“ข้าเคยเป็นศิษย์พี่ของเจ้า แต่ตอนนี้…ข้าคือเต๋าสวรรค์ ทุกอย่างย่อมมีสำนักแห่งความมืดเป็นหลัก เจ้า…ไปซะเถอะ”
หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว ก่อนจะลุกขึ้นมองไปยังศิษย์พี่เฉินชิงจื่อที่เดินจากไปแล้วประสานมือโค้งคำนับ
“ศิษย์พี่ ครั้งนี้เป่าเล่อจะใช้กำลังทั้งหมดนำซากจักรพรรดิแห่งความมืดมาให้ท่าน หลังจากนั้น…โปรดดูแลตัวเองด้วย” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ เฉินชิงจื่อที่เดินไกลออกไปชะงักฝีเท้ายืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานก่อนจะออกเดินต่อ
นิมิตมืดหนึ่งนิมิต ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่หนึ่ง หนึ่งคนคำนับ หนึ่งคนเดินจาก ค่อยๆ ห่างกันออกไป ทั้งคู่มองไม่เห็นอีกฝ่าย มีเพียงรูปปั้นแกะสลักที่เก้าในสำนัก ผู้อาวุโสเก้าที่สูงใหญ่ที่สุด สายตาของรูปปั้นนั้นราวกับมองเห็นทุกอย่าง เห็นคนผู้นั้นเดินจากไปช้าๆ จนหายลับตา เห็นคนผู้นั้นที่โค้งคำนับอยู่นานค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และประตูห้องข้างก็ปิดลง
วิถีต่างกัน
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ความเงียบนี้ดำเนินไปนานกว่าครึ่งเดือน จนกระทั่งยามโพล้เพล้ของนพภูมิวันหนึ่ง ก็มีแตรดังมาจากโลกภายนอก
ไกลออกไป น้ำในแม่น้ำแห่งความมืดพลันปั่นป่วน เสียงคลื่นดังแผ่ไปทั่วนพภูมิและดังมาถึงดวงดาวแห่งความมืด ดังมาถึงในสำนัก ดังมาถึงหูของผู้ฝึกตนทุกคน และดังมาถึงหวังเป่าเล่อ เขาลืมตาขึ้น
“แม่น้ำแห่งความมืด…” แววตาหวังเป่าเล่อไม่สั่นคลอน เมื่อเขาผลักบานประตูและเงยหน้ามอง ก็เห็นร่างนับไม่ถ้วนกำลังเหาะออกมาจากในสำนักและรวมตัวกันบนท้องฟ้า ที่ปลายขอบฟ้านั้นมีใบหน้าใหญ่โตเลือนรางปรากฏ นั่นคือศิษย์พี่
เขามองไปยังพื้นดิน มองไปยังตระกูลแห่งความมืด มองไปยังผู้ฝึกตนทุกคนและมองมายังหวังเป่าเล่อ
“แม่น้ำแห่งความมืดเปิดแล้ว ทุกคน…ความหวังในการกลับมารุ่งโรจน์ของสำนักอยู่ในมือพวกเจ้า”
“สำนักแห่งความมืด!”
“สำนักแห่งความมืด!!”
“สำนักแห่งความมืด!!!” ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทุกคนด้านล่างต่างแผดเสียงคำรามเป็นหนึ่งเดียวกัน ในเสียงคำรามนั้นแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและความบ้าคลั่ง!
………………………