หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1192 หวังเป่าหลิง
การกลับมาของหวังเป่าเล่อ หากเขาไม่อยากให้ทราบ ในระบบสุริยะนี้ไม่ว่าใครก็ตามล้วนไม่อาจสังเกตถึงเขาได้ นี่ไม่ได้หมายความว่าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อไปถึงระดับสูงสุดแล้ว แต่เป็นเพราะฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขาแฝงไว้ด้วยพลังแห่งเต๋าสวรรค์มากเกินไป
ในเวลาเดียวกันพลังหลักของเขาก็มาจากการที่กายภาพยกระดับเป็นจักรพิภพ ทั้งหมดกลายเป็นพลังสนองภายหลังฝักกระบี่เจ้าชะตาคืนพลังเต๋าสวรรค์ให้ร่างเขาเท่านั้น ดังนั้นกายเนื้อของเขาจึงได้กลายเป็นกายเต๋าเสียส่วนมากแล้ว
ด้านภายในวังหลวงเต๋าไพศาล ผู้อาวุโสระดับจักรพิภพรายเดียวในยามนี้ ผู้สูงส่งซิงอี้ไม่มีทางสังเกตถึงเขาได้เลยหากก่อนหน้าหวังเป่าเล่อไม่เผยกระแสเต๋าออกมา
เมื่อมองไปเช่นนี้ แสดงว่าการกลับมาของหวังเป่าเล่อครั้งนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบ หวังเป่าเล่อจึงให้เจ้าลาน้อยเดินทางต่อ เมื่อมาถึงโลกก็มายังนครศักดิ์สิทธิ์ มายังเมืองหลวง…บ้านของตนเอง
บิดามารดาของเขา เนื่องเพราะสถานภาพของหวังเป่าเล่อนั้นถือว่ามีระดับสูงสุดในสหพันธรัฐแล้ว ที่อยู่อาศัยของพวกเขาแม้มองไปแล้วจะดูปกติ แต่รอบด้านล้วนมีการอารักขาอย่างเข้มงวด กอปรกับมียาบำรุงวิญญาณหลายขนาน ถึงแม้ว่าสองผู้ชราจะไม่ได้มีคุณสมบัติในการฝึกตนที่ดีมาก แต่ในยามนี้ก็อยู่ถึงระดับขั้นแก่นกำเนิดใน มีส่วนช่วยเรื่องอายุขัย
กระทั่งดูจากภายนอกไปแล้ว พวกเขายังเยาว์วัยลงมากทีเดียว ในเวลาเดียวกัน…ในบ้านยังมีเด็กสาววัยรุ่นเพิ่มขึ้นมา
เด็กสาวคนนี้ดูไปแล้วอายุประมาณสิบเจ็ด สิบแปดปีเห็นจะได้ เรือนร่างสูงอ้อนแอ้น รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับบิดามารดาของหวังเป่าเล่ออยู่หลายส่วน ส่วนโลหิตที่ไหลเวียนในกายนั้น ทำให้หวังเป่าเล่อที่กำลังจะเหยียบเข้าบ้านตนกลับชะงักลง หลังจากกวาดตามอง
“นี่คือ…” หวังเป่าเล่อสีหน้าประหลาด หลังกลับมาจากดาราจักรโลกันตร์แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่รอยยิ้มเขาผันเปลี่ยน เขากะพริบตา พึมพำหลายประโยค
“สองตายายนี่…ไม่เจอกันสิบกว่าปี มีน้องสาวให้ข้าแล้ว…” โลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในกายของสาวน้อย มีที่มาเดียวกับหวังเป่าเล่อ เป็นน้องสาวของเขานั่นเอง
เพียงแต่ว่าผมของเด็กสาวนั้น ย้อมกลายเป็นสีแดงสลับเขียว เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็เป็นสไตล์พังค์ จนเขาที่มองอยู่อดขมวดคิ้วไม่ได้
ยามนี้ ภายในบ้าน น้องสาวของหวังเป่าเล่อกำลังก้มหน้า สีหน้าของนางดูเหนื่อยหน่ายขณะที่ถูกมารดาของหวังเป่าเล่อสอนสั่ง เหตุเพราะน้องสาวนั้นเล่นมากเกินไป ตอนนี้จึงถูกอบรม
ชั่วอึดใจให้หลัง เสียงทะเลาะดังมาก ภาพตรงหน้าจึงจบลงอย่างไม่ค่อยสวยนัก หลังจากนั้นประตูเปิดออก หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงประตูมองน้องสาวของตนเดินออกมาอย่างเดือดดาล ใช้พลังเหวี่ยงประตูบ้านปิด แล้วจากไปอย่างฉุนเฉียว
นางมองไม่เห็นหวังเป่าเล่อ และย่อมไม่สังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเป็นปมกว่าเก่า อีกทั้งเท่าที่หวังเป่าเล่อสังเกตเห็น นอกรั้วบ้านนั้น เด็กวัยรุ่นที่อายุใกล้เคียงกับน้องสาวตนประมาณสี่ห้าคนกำลังบิดรถไฟฟ้าที่ใช้หินวิญญาณส่งเสียงแว๊นๆ รออยู่ เมื่อน้องสาวของตนเองโบกมือให้ คนทั้งกลุ่มก็โห่ร้องแล้วจากไป
หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาไม่ได้สนใจต่อ หลังจากจัดเสื้อผ้าแล้ว ก็ยกมือขึ้นเคาะประตูบ้านที่ถูกปิดอยู่
ในบ้านยามนี้ มารดาของหวังเป่าเล่อกำลังโมโหสุดขีด ส่วนบิดาของเขา กลับอยู่ชงชาอยู่อีกด้านหนึ่ง ดื่มไปพลางพูดโน้มน้าว
“เจ้าเด็กเป่าหลิงนี่นา… ถึงจะหัวดื้อนิดหน่อย แต่จริงๆ นิสัยไม่เลวหรอกนะ…”
“ท่านหุบปากเสีย เป็นเพราะท่านไม่สั่งสอน เห็นไหมว่ายัยเด็กน้อยนี่วันๆ สภาพเป็นอย่างไร ช่างทำให้คนกลุ้มใจเหลือเกิน!”
“พอแล้วนาๆ ข้าไม่พูดอะไรแล้ว” บิดาของหวังเป่าเล่อหดศีรษะ
“แล้วยังมีท่าน ทุกวันต้องออกไปให้คนเขาเยินยอ ได้ยินคำชื่นชมมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว ท่านเหนื่อยบ้างหรือไม่ แล้วยังมีเจ้าตัวร้ายเป่าเล่อนั่นอีก ไปแล้วก็ไม่มีส่งข่าวกลับมา น่ากลุ้มจริงๆ!”
ขณะที่มารดาของหวังเป่าเล่อกำลังเอ่ยบ่น ตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงเคาะประตู นางผงะคราหนึ่ง ด้านบิดาของหวังเป่าเล่อดวงตาทอประกายปลาบ แท้จริงแล้วพวกเขารู้ดีว่ารอบบ้านของตนมีคนคุ้มกันตลอดเวลา หากมีคนมาคำนับก็จะมีผู้มาบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่มีทางที่จู่ๆ จะมีคนมาเคาะประตูอย่างไม่มีสาเหตุ
ต่อให้เป็นผู้นำสหพันธรัฐตอนนี้ อู๋เมิ่งหลิงมารดาของเจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เช่นกัน ดังนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่นเลย ในเวลาหลายสิบปีมานี้ เรื่องผิดปกติครั้งเดียวในตอนนี้ทำให้บิดา มารดาของหวังเป่าเล่อเกิดความระแวง
“ใคร!” บิดาของหวังเป่าเล่อถือแผ่นหยกออกมา หลังจากลองส่งเสียงแล้วไม่พบข้อติดขัดก็จ้องไปยังประตูบ้าน
ส่วนมารดาของหวังเป่าเล่อ ยามนี้รีบประสานท่ามุทรา พริบตานั้นวงแหวนปราณรอบบ้านก็ทำงาน แต่ยามที่ผู้ชราทั้งสองกำลังระวังตัวแจนั้น นอกบ้าน เสียงที่พวกเขาคุ้นเคยก็เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน
“พ่อ แม่ เป็นข้าเอง…ข้ากลับมาแล้ว”
หวังเป่าเล่อยืนอยู่นอกบ้าน แม้เขาจะสามารถเข้าไปได้เลยแต่ก็เลือกที่จะเคาะประตู ในยามนี้คำพูดที่เพิ่งจะกล่าวออกมานั้น ทำให้ประตูบ้านเบื้องหน้าตนเปิดออกทันที บิดา และมารดายืนอยู่ตรงนั้น จ้องหวังเป่าเล่ออย่างตกตะลึง พวกเขาพูดอะไรไม่ออก จากนั้นแต่ละคนก็ตื้นตันจนน้ำตาหลั่ง
“เป่าเล่อ…”
มองบิดามารดาของตนเองแล้ว ในใจหวังเป่าเล่อก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น ตั้งแต่ที่เขาเข้าสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น ทุกครั้งที่พบกับพวกท่านก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และทุกครั้งที่ไปด้านนอกล้วนเป็นเวลาสิบกว่าปีอันยาวนาน หากกล่าวเรื่องความกตัญญูแล้ว หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนนั้นเนรคุณนัก
ในยามนี้ก้นบึ้งหัวใจความอบอุ่นแผ่ซ่าน หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก ไม่ได้รีบเดินเข้าตัวบ้านแต่คุกเข่าอยู่ข้างนอก มองไปยังผู้ชราทั้งสองที่ตื้นตันจนน้ำตาอาบหน้าก่อนจะโขกศีรษะลงคราหนึ่ง
ยังไม่ทันจะลุกขึ้น มารดาก็เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วแล้วกอดเขาเอาไว้
“กลับมาแล้วก็ดี กลับมาแล้วก็ดี…”
บิดาของหวังเป่าเล่อเช็ดน้ำตา เขาเดินเข้ามากอดหวังเป่าเล่อไว้เช่นกัน มองดูเงาร่างที่แม้จะคุยเคยแต่ก็แฝงความแปลกหน้านี้ ขยี้ลงไปบนหัวหวังเป่าเล่อแรงๆ หลายที หลังจากนั้นก็หันหน้าไปตะโกนใส่ภรรยาของตนเองคราหนึ่ง
“ยายเฒ่า ลูกชายกลับมาแล้ว ยังไม่ไปทำกับข้าวอีก!”
ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อยังไม่กลับมา มารดาของเขาเดือดดาลดุร้าย แต่ยามนี้เหมือนลืมเรื่องไม่สบอารมณ์ก่อนหน้าจนสิ้น นางลากหวังเป่าเล่อเข้าบ้าน รอยยิ้มบนหน้าไม่เลือนหาย อีกทั้งยังไม่ถือสาคำพูดของตาแก่บ้านตัวเอง นางลงมือเข้าครัว ไม่นานกลิ่นหอมอบอวลก็ลอยออกมา เป็นเนื้อผัดซอสแดงที่หวังเป่าเล่อชอบกินสมัยเด็กๆ นั่นเอง
ในห้องนั้น พ่อลูกสองคนมองหน้ากัน ในใจหวังเป่าเล่อรู้สึกผิดกว่าเก่า เพราะเขาพบว่าตนเองไม่กลับมานานมาก ยามนี้พอพบกับผู้ชราทั้งสองแล้วกลับไม่รู้จะเอ่ยอะไร
“ท่านพ่อ ข้ามีน้องสาวเพิ่มมาอีกคนหรือ?”
“เป่าเล่อ ครั้งนี้เจ้าจะกลับมานานเท่าไร?”
หลังจากนิ่งเงียบไปหลายลมหายใจ สองพ่อลูกพลันพูดขึ้นมาพร้อมกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรชาย บิดาของหวังเป่าเล่อเองก็ขัดเขินขึ้นมา โดยเฉพาะในยามที่บุตรชายไม่รู้เรื่องราว ตนก็เพิ่มน้องสาวให้เขาอีกหนึ่ง ในฐานะพ่อแล้ว แถมยังอายุตั้งมาก ยังคงรู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง
สัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนของบิดาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยิ้มพลางกล่าว
“ช่วงสั้นๆ นี้ไม่ไปแล้ว อีกหน่อยต่อให้ไป ก็คงกลับมาเร็ว…”
“อื้ม เจ้าก็ควรจะเป็นแบบนี้แต่แรกแล้ว ด้านนอกนั่นจะดีเท่าที่บ้านได้อย่างไร แล้วยังมีน้องสาวของเจ้าคนนั้น…ทำให้คนปวดหัวนัก เจ้ากลับมาแล้วก็อบรมนางให้มากหน่อยแล้วกัน” บิดาของหวังเป่าเล่อกระแอมไอ เขาเปลี่ยนเรื่องแล้วพูดถึงการเปลี่ยนแปลงหลายสิบปีนี้ในสหพันธรัฐให้หวังเป่าเล่อฟัง โดยสรุปแล้วทุกสิ่งนั้นล้วนพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
แล้วก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เรื่องพวกนี้หวังเป่าเล่อกำลังทำความเข้าใจ ไม่นานกับข้าวก็ทำเสร็จแล้ว สมาชิกครอบครัวสามคนนั่งด้วยกันเหมือนปีนั้น ท่ามกลางสายตาอ่อนโยนและเสียงพูดคุยในความทรงจำ ความอบอุ่นยิ่งเพิ่มพูน ความแปลกหน้าเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเพราะไม่ได้พบกันหลายปีค่อยๆ จางหาย
ทั้งร่างของหวังเป่าเล่อรู้สึกผ่อนคลายยิ่ง ได้ยินเสียงทะเลาะกันของพ่อแม่แล้ว ดวงตาก็ยิ่งอ่อนโยน สภาพอารมณ์ผ่อนคลายอย่างมาก จนกระทั่งสองผู้ชราพูดถึงน้องสาวของตนเอง…
“เป่าเล่อ พ่อของเจ้าพูดได้ถูกต้อง น้องสาวของเจ้าคนนี้…เจ้าต้องอบรมสั่งสอนให้มากหน่อย ไม่เชื่อฟังมากไปแล้ว! ข้าเสียใจจริงๆ ที่คลอดนางออกมา ช่างน่ากังวลเหลือเกิน” มารดาของหวังเป่าเล่อคีบเนื้อชิ้นโตให้เขาแล้วเอ่ยอย่างโมโห
หวังเป่าเล่อยิ้มพลางพยักหน้า ในใจรู้สึกทอดถอนใจ แท้จริงแล้วกลับมารอบนี้ สำหรับเรื่องที่จู่ๆ มีน้องสาวเพิ่มขึ้นมานั้น เขาไม่เคยได้เตรียมตัวหรือคาดการณ์เลยสักนิด ยามนี้จึงอดที่จะส่งกระแสจิตออกไปไม่ได้ พริบตาเดียวก็ครอบคลุมทั้งโลก มองเห็นทางด้านทิศตะวันออกของนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น เขามองเห็นแม่น้องสาวตัวดีของตนอยู่ท่ามกลางวัยรุ่นหญิงชายที่ซิ่งรถกันอยู่
………………………..