หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1196 เจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยา
เมื่อปรมาจารย์มหาทัณฑ์เอ่ยออกมา ปรมาจารย์ครามทองคำก็หรี่ตาลงราวกับเดาออกได้ประมาณหนึ่ง แอบคิดว่าผู้ที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นดารานิรันดร์ผู้หนึ่งยินยอมถูกลงโทษ อีกทั้งวิธีการลงโทษยังลึกลับเช่นนี้ ราวกับใช้แค่กระแสเต๋าเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลถึงมหาเต๋าได้ ผู้นั้นย่อมเป็นหวังเป่าเล่อคนนั้นแล้ว
“ดูเหมือนว่าการประเมินของข้าต่อเขาก่อนหน้านี้จะยังไม่พออยู่สักหน่อย หวังเป่าเล่อผู้นี้…แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้และยิ่งกว่าที่เขาเคยแสดงออกมาให้เห็นก่อนหน้านี้เสียอีก!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ รอยยิ้มของปรมาจารย์ครามทองคำก็ยิ่งเจิดจ้า และมั่นใจในการเลือกของอารยธรรมครามทองคำครั้งนี้ยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันคณะสหพันธรัฐที่อยู่ตรงข้ามกับเขา ไม่ว่าจะเป็นหลินโยวหรือว่าสหายเต๋ากุ้ย หรือว่าชิงหลิงจื่อ ทุกคนต่างตกตะลึง แน่ใจในการคาดเดาก่อนหน้านี้ของตนแล้ว
ยังมีพวกอู๋เมิ่งหลิงและหลี่สิงเหวินของสหพันธรัฐ พวกเขาไม่ได้ออกไปรับข้างนอก แต่ไปยังดาวพฤหัส ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่รับรองครามทองคำ ตอนนี้ก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่าหวังเป่าเล่อได้กลับมาแล้ว จึงหันหน้าไปมองทางดาวโลกเป็นครั้งคราว
พวกเขากระจ่างแจ้งดีว่า ถ้าหากหวังเป่าเล่อกลับมาแล้วจริงๆ เช่นนั้นตอนนี้จะต้องอยู่…ภายในนครศักดิ์สิทธิ์
หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจสภาพของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ และไม่มองเงาร่างที่มักจะมองมายังโลกบ่อยๆ เหล่านั้น ตอนนี้เขาแผ่กระแสเต๋าไปบนร่างของชายหนุ่มผู้นั้น พริบตาที่เหตุต้นผลกรรมของชายหนุ่มคนนี้ถูกตัดขาด ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านรุนแรง เหงื่อจำนวนมากไหลโซม ทั่วร่างสั่นระริก สายตาเผยให้เห็นความหวาดกลัวอันแรงกล้า
“ข้าจะไม่สอดมือเรื่องเจ้ากับเป่าหลิง แต่ห้ามทำร้ายนาง การทำร้ายใดๆ ก็ตามล้วนไม่อนุญาตทั้งสิ้น” ชั่วพริบตานี้ ในหัวของเขาก็มีเสียงที่ทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคยดังขึ้น บอกว่าแปลกหน้าก็เพราะเป็นครั้งแรกที่เสียงนี้ดังเข้าสู่จิตใจ บอกว่าคุ้นเคยก็เพราะว่าหลายปีตั้งแต่เด็กจนโต เขาล้วนเคยเห็นภาพเงาของหวังเป่าเล่อและคำพูดที่เขาเคยพูดจากหน้าจอบ่อยๆ
สำหรับสหพันธรัฐแล้ว หวังเป่าเล่อ…ถูกมองว่าเป็นเทพไปโดยสมบูรณ์แล้ว
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ หวังเป่าเล่อก็ถอนกระแสเต๋ากลับ นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างยิ่ง ในเมื่อน้องสาวชอบ เช่นนั้นก็ชอบไปเถอะ ส่วนที่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะคิดอย่างไรนั้นไม่สำคัญ ในเมื่อเลือกวางอุบายแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าได้ผูกเหตุต้นผลกรรมไว้แล้ว รอให้น้องสาวเบื่อเขาก็จะเป็นอิสระ
ก่อนหน้าที่จะเบื่อ ชีวิตของเขาก็ต้องถือเอาเจตจำนงของหวังเป่าหลิงเป็นสำคัญ
บางทีอาจจะเอาแต่ใจไปสักหน่อย แต่ตำแหน่งเป็นตัวตัดสินความคิด หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดเรื่องนี้ต่อ เขาลูบศีรษะน้องสาวอีกครั้งแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ไปเปิดประตูเถอะ มีคนเก่าคนแก่มาหา”
ตอนนี้หัวสมองของหวังเป่าหลิงยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยเพราะอาการเวียนหัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อนางได้ยินคำนั้นแล้วก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปยังประตู พริบตาที่เปิดประตูบ้านออก นางก็มองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยอยู่นอกประตูแล้ว
“พี่เสี่ยวหยา!” หวังเป่าหลิงเอ่ยอย่างยินดี
ผู้มาก็คือ…โจวเสี่ยวหยา!
การฝึกปรือของนางมาถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว ทั่วร่างเต็มไปด้วยบุคลิกอันอ่อนโยน ผมยาวคลุมไหล่ สวมกระโปรงยาว ตอนนี้กำลังยกมือขึ้นลูบหัวของหวังเป่าหลิงพร้อมรอยยิ้ม สายตามองผ่านข้างกายนางไปยังหวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นและเงยหน้ามองมาที่ตนเช่นกัน
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไรหรือ” โจวเสี่ยวหยาเอ่ยอย่างอ่อนโยนแล้วเดินเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อ จัดคอเสื้อให้เขาอย่างเรียบร้อยแล้วนั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
ทางหวังเป่าหลิงกะพริบตาปริบๆ รีบเข้าไปหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณขวดหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าโจวเสี่ยวหยา ก่อนนั่งลงอีกด้าน ในดวงตามีประกายความสนอกสนใจอยู่เล็กน้อย มองดูพี่ชายของตนสลับกับโจวเสี่ยวหยาไม่หยุด
หลายปีมานี้ นางย่อมรู้ว่าพี่เสี่ยวหยาชื่นชอบพี่ชายของตน วันธรรมดาแทบจะทุกสองสามวันก็จะมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง หลายครั้งก็มากยิ่งกว่าจำนวนที่ตนกลับบ้านเสียอีก…
“เพิ่งจะกลับมา” หวังเป่าเล่อมองดูโจวเสี่ยวหยาแล้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เพียงแต่ในส่วนลึกของดวงตาแฝงความขอโทษเล็กน้อย ไม่ใช่แค่ขอโทษเรื่องที่มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยนัก แต่ยังขอโทษเรื่องความซับซ้อนของความรู้สึก
โจวเสี่ยวหยาราวกับสัมผัสได้จึงยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วเอ่ยพูดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตอย่างโอนอ่อน คล้ายกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเหมือนพี่สาวและสะใภ้ พูดคุยกับทางเป่าหลิงได้
เขามองออกว่าเป่าหลิงก็ชอบโจวเสี่ยวหยามากเช่นกัน อีกทั้งยังมีท่าทางคุ้นเคยอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อมองดูภาพนี้แล้วในใจก็มีความอบอุ่นอ่อนโยนแพร่กระจาย จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นมองไปนอกประตู เป่าหลิงที่อยู่อีกด้านก็กะพริบตา ถึงแม้นางจะมองไม่เห็นอะไร แต่กลับอาศัยสัมผัสระหว่างสายเลือดเดาได้รางๆ ดังนั้นจึงลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตูอีกครั้งแล้วเปิดประตูออก
“พี่เยี่ยเหมิง!”
ที่ประตูมีเงาร่างแสนเย่อหยิ่งยืนอยู่ ขณะที่มีความสูงตระหง่านก็ยังมีความอ่อนโยนของหญิงสาวอยู่ด้วย ทั้งไม่ขาดความองอาจผ่าเผย ทั่วร่างราวกับดวงอาทิตย์ร้อนระอุ ทั้งยังเผยความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา สามารถทำให้คนจำนวนมากต้องละอายตนเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
คนผู้นี้ก็คือ…เจ้าเยี่ยเหมิง!
หลังจากสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อ เป็นเพราะนางไม่ได้อยู่บนโลก นางจึงมาช้ากว่าโจวเสี่ยวหยาไปก้าวหนึ่ง แต่ตอนนี้เมื่อมาถึงแล้วนางก็มองหวังเป่าเล่อและมองเห็นโจวเสี่ยวหยาที่นั่งอยู่ข้างเขาด้วย
“ศิษย์พี่เยี่ยเหมิง” โจวเสี่ยวหยาลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน
เจ้าเยี่ยเหมิงตบหัวเป่าหลิงแตะๆ พร้อมรอยยิ้ม และยิ้มคืนกลับไปให้โจวเสี่ยวหยา จากนั้นก็มาอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ มองอยู่ครู่หนึ่งก็นั่งลงที่อีกข้างของเขา
“อารยธรรมครามทองคำถูกเป่าเล่อปราบหรือ ทำอย่างไรหรือ จะรวมเข้ามาภายในดาวฤกษ์ดวงอาทิตย์ตอนไหนล่ะ”
แตกต่างจากการพูดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตแบบโจวเสี่ยวหยา เจ้าเยี่ยเหมิงนั่งลงแล้วก็เอ่ยปากพูดเรื่องเกี่ยวกับสหพันธรัฐ อีกทั้งหลังจากสนทนากับหวังเป่าเล่อแล้ว นางยังรายงานเรื่องเกี่ยวกับข้อบกพร่องของสหพันธรัฐที่นางพบตลอดหลายปีมาให้ให้เขาฟังทั้งหมดด้วย
ทั้งยังบอกหวังเป่าเล่อว่าภายในอารยธรรมดวงเนตรสววรค์มีคลื่นใต้น้ำอยู่ รวมถึงจอมพลังของวังเต๋าที่ตื่นขึ้นเหล่านั้นของวังเต๋าไพศาลก็คล้ายจะเคลื่อนไหวเล็กน้อยแล้ว
นี่เป็นรูปแบบที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโจวเสี่ยวหยา หวังเป่าเล่อแฝงความขอโทษในแววตาเหมือนกันแล้วตอบกลับอย่างรอบคอบ ส่วนโจวเสี่ยวหยาก็เงียบงันมาก นางรับฟังอยู่ตลอด คล้ายไม่ได้เข้าร่วม แต่กลับไม่รู้จะพูดอะไร ทว่าสองมือของนางก็ยกขึ้นมากดที่หลังหูของหวังเป่าเล่อ แล้วนวดให้อย่างอ่อนโยน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้นางผสานรวมเข้าไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าหลิงที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากทั้งสามแอบร้องว่าร้ายกาจ
ประกายแสงในดวงตาสว่างไสวยิ่งขึ้น ถึงแม้นางยังกลัวเกรงพี่ชายของตนอยู่ แต่ตอนนี้ก็มีความใคร่รู้อยู่ที่ก้นบึ้งในใจแล้วว่าพี่ชายคนนี้ของตนจะจัดการปัญหาสะใภ้สองคนอย่างไร
เพียงแค่นางไม่รู้ว่าตอนนี้ที่ด้านหลังของตนนั้น…ด้านหลังของโจวเสี่ยวหยาและเจ้าเยี่ยเหมิงได้มีเงาร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา นอกจากหวังเป่าเล่อแล้วก็ไม่มีใครมองเห็น นั่นก็คือแม่นางน้อยหวังอีอี
นางมองไปที่โจวเสี่ยวหยาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มและมองไปทางเจ้าเยี่ยเหมิง สุดท้ายก็มองหวังเป่าเล่ออย่างหยอกล้อ
“เป่าเล่อ ผู้หญิงสองคนนี้ข้าเห็นทุกย่างก้าวที่พวกเจ้าเดินมาถึงทุกวันนี้กับตาเชียว ไอ๊หยา ที่แท้เจ้าจะเลือกใครกันนะ แล้วยังมีหลี่หว่านเอ๋อร์อีก ไม่อย่างนั้นก็เก็บไว้ทั้งหมดเถอะ ปีนั้นพ่อของข้าก็…คิกๆ” หวังอีอีไม่ได้พูดต่อ แต่สายตากลับเผยแววให้กำลังใจ
หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรหลังจากกลับมาจากนพภูมิ สภาพจิตใจที่เดิมทีสงบนิ่งก็ยากจะหลีกเลี่ยงเกลียวคลื่นสาดซัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน้องสาวของตนยังอยู่อีกด้าน เมื่อครู่ยังถูกตนสั่งสอนอยู่เลย ทว่าตอนนี้กำลังนั่งดูอย่างสนอกสนใจอยู่ตรงนั้น สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องเหลือบไปมองอย่างอดไม่ได้
เป่าหลิงก้มศีรษะ คิดจะแสร้งทำเป็นไม่เห็น หลังจากพบว่าในสายตาของพี่ชายผู้นี้ของตนมีความเฉียบคมอยู่เล็กน้อย นางก็มุ่ยปากยืนขึ้นแล้วจงใจหาวออกมา
“ข้าจะไปนอนแล้ว” กล่าวจบนางก็เดินกลับห้องของตนอย่างไม่เต็มใจนัก
เวลาล่วงเลยผ่านไป ค่ำคืนเงียบงัน
ท่ามกลางการพร่ำร้องอันเบื่อหน่ายของหวังอีอี เจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาก็จากไปทีละคน ส่วนหวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เรื่องราวภายในจิตใจของเขามีมากเกินไป แม้ว่าเขาจะรู้จุดประสงค์ในใจของคนทั้งสอง แต่ก็ยังไม่อาจตอบรับได้
เพราะเขาไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะในโลกแห่งศิลานี้ยังมีเรื่องราวอีกมากนักที่เขาไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไร
เขายังอ่อนแอเกินไป
“ให้เป็นเรื่องของเวลาเถอะ” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้น สายตาของเขากลับมาเป็นปกติ มองไปยังพวกอู๋เมิ่งหลิงและหลี่สิงเหวินที่อยู่บนดาวพฤหัสกำลังปรึกษาหารือเรื่องขั้นตอนผสานดาวฤกษ์กับปรมาจารย์ครามทองคำอยู่
“ต่อไปหวังว่าการหลอมรวมของสหพันธรัฐจะทำให้การฝึกตนและดวงวิญญาณเทพของข้าเลื่อนขั้น ก้าวเข้าสู่…ระดับจักรพิภพ!” หวังเป่าเล่อก้มหน้า ยกมือขวาขึ้นมา ในมือขวาของเขามีแผ่นจานที่ขาดแหว่งไปมุมหนึ่ง
นั่นก็คือแผ่นเลื่อนระดับโลกา!
……………