หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1220 พูดอีกทีสิ
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงอ่อนโยนของแม่นางน้อย รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก เขาคิดถึงภาพที่เคยหยอกล้อกับนาง และระลึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมายตอนที่ยังอยู่สหพันธรัฐ
เหมือนตอนปีก่อนตนเองกำลังกินขาไก่อยู่บนเรือบินของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หรืออย่างเช่นตอนที่เป็นหัวหน้านักเรียนในสำนักศึกษาเต๋ารวมทั้งนิสัยที่ชอบเตะเป้าในตอนแรก
ยังมีอุดมคติ
ลดความอ้วนก็ดี สมใจก็ช่าง เขายังคงจำได้เรื่องที่ตนตั้งตารอในวัยเด็ก…การเป็นผู้นำของสหพันธรัฐ
เพื่อความใฝ่ฝันนี้ แบบอย่างของการที่เขาพยายามดิ้นรนยังคงอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ แล้วยังมีอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงที่เขาอ่านจนขึ้นใจเล่มนั้น และความสมปรารถนาของเจ้าสำนักดาวอังคาร
อดีตที่รีบเร่ง ชีวิตที่เหมือนฝัน…การระลึกถึงความหลังอย่างไม่ตั้งใจ มักจะทำให้ผู้คนร่ำไห้ ก็เหมือนกับใบไม้ใบหนึ่งที่ผ่านมาแล้วทุกฤดูกาล จากนั้นสีสันจึงผันเปลี่ยน
“ที่แท้แล้ว รูปลักษณ์ข้าได้เปลี่ยนไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ…” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา
“เติบโตแล้ว” หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ
เขาเหยียบเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่ถึงสองร้อยปี แต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก รายละเอียดของกาลเวลาตัวเขาเองก็ยังคลุมเครืออยู่บ้าง
นี่ไม่ใช่เป็นเพราะกาลเวลาที่เนิ่นนาน ในความเป็นจริงนั้น หากกล่าวจากมุมมองของการฝึกตนที่แท้จริง สามารถฝึกตนมาถึงขั้นนี้ได้ในเวลาไม่ถึงสองร้อยปี นับได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
แต่สำหรับเขาแล้วดูเหมือนจะสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ในขณะที่ความจริงยังคงถูกเปิดเผย หวังเป่าเล่อเองก็เข้าใจแล้วว่าตนและชะตาภายในจักรวาลนี้ต่างกันในด้านสาระสำคัญ
จุดสำคัญที่ทำให้ความทรงจำของเขาพร่าเลือน และสาเหตุที่ทำให้บุคลิกเขาเปลี่ยนไป เป็นเพราะในช่วงเวลาที่จำกัดนี้ เขาได้ผ่านเหตุการณ์มามากมาย โดยเฉพาะกลุ่มดาวชะตาจู่โจมต่อชีวิตของเขาจนพลิกฟ้าสะเทือนดิน
หลายครั้งที่หวังเป่าเล่อรู้สึกตัวว่าชราแล้ว มิใช่ร่างกายที่ชรา มิใช่จิตวิญญาณ แต่เป็นที่ใจ
ดูเหมือนเรื่องราวมากมายพวกนั้น แม้จะไม่ได้สงสัยอีก ล้วนมองข้ามไป แต่ก็เพราะมันเลือนรางไปแล้ว จึงยากที่จะเกิดความหลงใหลดังเช่นในวัยเยาว์
“ค่าตอบแทนที่ไม่สับสน” หวังเป่าเล่อมองท้องฟ้าอันไกลโพ้น เผยยิ้มโง่งม ทันใดนั้นก็หยิบขวดปรารถนาออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บด้วยเกิดความรู้สึกครั้งเยาว์วัย
“ผู้อาวุโส ข้าขอพร…ขอให้ดวงจิตของข้ากลับไปสู่ครั้งวัยเยาว์”
ขวดปรารถนาเงียบงัน และเริ่มส่งเสียงดิ้นรนออกมาจากมือหวังเป่าเล่อ ราวกับมันมีความรังเกียจแฝงไว้ ก่อนจะกลับเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บ
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงหัวเราะที่ยากจะเห็น
แม้ใบไม้จะเปลี่ยนสี แต่เขาก็ยังคงเป็นเขา หัวใจยังคงเป็นเหมือนเมื่อแรกรุ่น
“เช่นนี้…ก็ดี” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น โบกเบาๆ จนเกิดระลอกคลื่นรอบตัว ระลอกนี้แผ่ขยายออกไป…จนกระทั่งหลังจากครอบคลุมไปทั่วสารทิศที่เขาอยู่ทั้งหมด ผิวน้ำ…ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนร่างของเขา ด้วยตัวหวังเป่าเล่อเองเป็นดั่งหยดน้ำที่ร่วงหล่น ระลอกวงแหวนเก้าวงแผ่ออกไปเป็นชั้นๆ
เมื่อเก้าร้อยปีก่อน ตอนนั้นเขายังไม่ถือกำเนิด ทว่าก็ไม่เป็นไร เวทแห่งเงาจันทร์เป็นเขาสร้างมันขึ้นมาเอง อาจกล่าวได้ว่ามองไปทั่วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น คงมีไม่กี่คนที่จะเหมาะสมกับกระบวนเวทนี้ยิ่งไปกว่าเขาแล้ว
เพราะร่างของเขาได้รู้แจ้งแห่งจักรวาลนี้ กระบวนการทั้งหมดกลายเป็นแผ่นศิลาจวบจนทุกวันนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ หวังเป่าเล่อ…อยู่มาโดยตลอด
ดังนั้นเมื่อเขายกมือขึ้นชี้ไปที่ผิวน้ำ โลกที่เขาอยู่ดูเหมือนจะถูกเปลี่ยนไปแล้ว ทันทีที่มันเปลี่ยนแปลง หวังเป่าเล่อ…ก็ได้กลับไปยังสถานที่เมื่อเก้าร้อยปีก่อนนั่น
มันเป็นที่ว่างผืนหนึ่ง
เมื่อชี้ไปอีกครั้ง ผิวน้ำกระเพื่อมเก้าวงขึ้นอีก…เป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อร่ายเวทด้วยสีหน้าสงบนิ่ง โลกที่อยู่เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาเดินในแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ไม่รู้จัก เขาเห็นสิ่งกำเนิดแรกของจักรวาลในชาตินี้ จากนั้น…ก็มาถึงจักรวาลของเผ่าเทพ
ในไม่ช้าก็มาถึงโลกของผีดิบอีกรอบ ต่อมาโลกของทหารอาฆาตนั้นก็ยังคงอยู่เช่นกัน จากนั้นก็เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น…หวังเป่าเล่อมองทั้งหมดนี้อย่างสงบ ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยมานั่งอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อใด นางไม่ได้พูดจา เพียงจ้องมองท้องนภาที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน
กระทั่งไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ภาพบนผิวน้ำ…ก็ได้หยุดลง ก่อนจะปรากฏเจ้ากวางขาวน้อยอยู่ในน้ำ มีเด็กหญิงผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังของมัน และที่ด้านหน้า…เงาร่างผมขาวยืนตระหง่านยากที่จะหลบซ่อนได้
ทันทีที่เห็นเงาร่างนี้ แม่นางน้อยที่อยู่ข้างร่างหวังเป่าเล่อก็ตัวสั่น เงาด้านหลังของผู้ที่เดินอยู่บนท้องฟ้าในภาพนั้น กลับหยุดฝีเท้า
เกือบจะในเวลาเดียวกับที่เขาหยุดชะงัก หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น ชี้ไปที่ภาพ จากนั้นโลกที่เขาอยู่ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ทั้งหมดต่างสลายไปทันที และถูกแทนที่ด้วยภาพหนึ่ง ด้านหน้าเป็นเงาด้านหลังที่ผ่านโลกมาโชกโชนแต่กลับยืนตระหง่าน กวางขาวน้อยหลับตา ท่าทางของมันคล้ายกำลังหลับใหล เด็กหญิงก็งีบหลับเช่นกันคล้ายกับมีพลังแห่งกฎจักรวาล ทำให้อดีตไม่อาจพบกับปัจจุบัน
“ท่านพ่อ…” แม่นางน้อยสั่นสะท้าน จ้องไปที่เงาด้านหลังนั้น พึมพำเสียงเบา
“ท่านอาวุโส” หวังเป่าเล่อค้อมศีรษะ ประสานหมัดขึ้นคำนับ
เงาผมขาวด้านหลังนั้น ค่อยๆ หันร่างมา เผยให้เห็นใบหน้าวัยกลางคนทั้งหล่อเหลาและสง่างามในเวลาเดียวกัน สายตานั้นอบอุ่นเช่นเดียวกับผู้อาวุโส
มันคือผู้เล่านิทานตอนแรกในชาตินั้น สุดท้ายเทพเคารพสูงสุดจากโลกภายนอกปรากฎอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อรู้ว่าเขาแซ่หวัง แต่ไม่ได้ไต่ถามชื่อ
นี่ไม่สำคัญ เพราะที่สำคัญก็คือ พวกเขาได้พบกันอีกครั้งหนึ่งในสายน้ำของกาลเวลา
“เติบโตแล้ว” ชายผมขาวผู้นั้นมองดูหวังเป่าเล่อและหวังอีอี ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มชื่นใจ เอ่ยปากเสียงเบา
“ท่านพ่อ” แม่นางน้อยทนไม่ไหวอีกต่อไป นางรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยใบหน้าอาบน้ำตา พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของบิดาเช่นเด็กน้อย น้ำตาไหลมากขึ้น
หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าไปรบกวน เขาถอยหลังไปหลายก้าว มองไปทางกวางขาวน้อยที่กำลังหลับใหล ให้ช่องว่างแก่สองพ่อลูก ขณะเดียวกันก็ตรวจอดีตชาติกวางขาวของตนเอง
แม้เขาจะหมกมุ่นในการสำรวจชีวิตอดีตชาติของเจ้ากวางขาวน้อย แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกของเขา ที่ใช้มุมมองนี้ วิธีนี้ เพื่อดูอดีตชาติของตน
“ดูท่าทางสบายใจมากนะ” หวังเป่าเล่อหัวเราะ เขาสามารถรับรู้และเห็นได้ถึงเจ้ากวางขาวน้อยว่ามีความสุขเพียงไร ดูเหมือนการได้อยู่เคียงข้างหวังอีอี สำหรับมันแล้วเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจที่สุด
กาลเวลาผ่านไป การสนทนาของหวังอีอีและบิดา หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าไปฟัง เขาเชื่อว่าหากเทพเคารพสูงสุดผู้นั้นไม่ยินยอม อาศัยระดับการฝึกตนของตนก็ไม่อาจได้ยิน ดังนั้นจึงทำการผนึกรอบด้านของตนไปก่อนเลย
กระทั่งไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงเรียก
“สหายน้อย”
เสียงนี้อบอุ่นมากเต็มไปด้วยความเมตตา หวังเป่าเล่อได้ยินก็หันร่างไป มองไปทางบิดาของหวังอีอี สีหน้าแสดงความเคารพ และคำนับอีกครั้ง
“ท่านพ่อตาเรียกข้าเป่าเล่อได้” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ในใจได้ไตร่ตรองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ที่ตนเรียกว่าพ่อตาออกมา มีความเป็นไปได้ว่าอาจถูกตีกลับไปในความเป็นจริง แต่หากไม่เรียก เขาก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว
ดังนั้น เวลานี้จึงลองเรียกก่อนให้รู้กันไปเลย
ไม่แน่ว่า อีกฝ่ายอาจจะยอมรับไปโดยปริยายก็ได้ อย่างไรก็ดี…ตนเองก็โดดเด่นเช่นนี้
เป่าเล่อไม่กลัว
ไม่ผิด
หวังเป่าเล่อก้มศีรษะ ขณะที่ปลอบตนเองอยู่ในใจ เสียงของบิดาหวังอีอีก็ส่งมาที่ข้างหู เห็นได้ชัดถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“เจ้าพูดอีกครั้งซิ”
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ…
……………………………….