หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1226 ยั่วยุ?
ความคิดนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อเผยสีหน้าประหลาด เขารู้สึกว่าไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แม้ความเป็นไปได้จะไม่สูงมาก ถึงอย่างไรหากร่างเดิมของตัวเองเป็นธาตุไม้หนึ่งในห้าธาตุของจักรวาลจริง เช่นนั้น…เต๋าธาตุไม้ขั้นสูงสุดของตัวเองในตอนนี้ ทำไมถึงได้ล้มเหลวเป็นร้อยครั้งจึงจะเกิดเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าได้ล่ะ
“ยิ่งกว่านั้น หากร่างเดิมของข้าเป็นธาตุไม้จริง เช่นนั้นจะเป็นใครที่สามารถสั่งการให้ตอกลงในหว่างคิ้วของมหาเทพ อีกอย่าง…ทำไมต้องใช้ต้นกำเนิดธาตุไม้ตอกมหาเทพ?”
“ตามหลักการแล้ว ต้นกำเนิดธาตุไม้เดิมก็ลอยตัวอยู่เหนือไปแล้ว เป็นหนึ่งในกฎพื้นฐานในการสร้างจักรวาล ไม่น่าเป็นไปได้ที่มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง และเป็นไปได้ที่จะมีคนไปสั่นคลอน…”
“นอกเสียจาก…ไม่มีคนสั่นคลอนแล้ว แต่ด้วยจุดประสงค์บางอย่างทำให้ต้นกำเนิดธาตุไม้ลงมือเองตามสัญชาตญาณ เพราะมหาเทพลองสั่นคลอนต้นกำเนิดทั้งห้าธาตุ?” จากความคิดหนึ่ง ในหัวของหวังเป่าเล่อก็เกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นมามากมาย ก่อนจะยิ้มออกมาทันที แม้จะไม่คิดว่าเรื่องนี้เหลวไหลเกินไป แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจริงจัง
ท้ายที่สุด เขาก็ยังคงรู้สึกว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาอย่างหนึ่งเท่านั้น
“เมล็ดพันธุ์ธาตุไม้กำเนิดขึ้น เต๋านี้ก็เป็นแค่ขั้นแรก มองได้ว่าเป็นระดับชั้นต้น ต่อจากนี้ยังต้องตระหนักรู้อยู่ทุกขณะ จวบจนรับธาตุไม้ของจักรพิภพสำนักเสริมหรือใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเข้ามาในต้นกำเนิดธาตุไม้ของข้า ก็จะก้าวสู่ระดับชั้นกลาง หากผสานรวมเข้าได้ทั้งหมดก็จะเป็นชั้นมหาวัฏจักร”
“ที่ข้าต้องการ ก็คือชั้นมหาวัฏจักรเท่านั้น ”หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากงึมงำเรื่องเต๋าธาตุไม้ การถือสันโดษของเขายังคงดำเนินต่อไป เพิ่มพลังต้นกำเนิดธาตุไม้ของตน และในเวลานี้ หลังจากที่ฝึกเต๋าธาตุไม้ แม้พลังปราณจะเพิ่มขึ้นไม่มากเท่าไร แต่ทางด้านการต่อสู้กลับเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย
ด้านหนึ่งเป็นเพราะวิถีเต๋าพินาศที่มีความทรงพลังแฝงอยู่ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากใช้ขึ้นมาเมื่อไรก็จะต้องเขย่าขวัญไปทั่วอย่างแน่นอน
อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นเพราะจากความเข้าใจของเต๋า หวังเป่าเล่อในตอนนี้นับได้ว่าก้าวสู่ประตูระดับสูงของจักรวาลแล้ว การกระทำและคำพูด แม้กระทั่งสายตาก็แฝงไว้ด้วยกระแสเต๋าของเขา
ส่วนเลื่อนถึงระดับไหน หวังเป่าเล่อไม่เคยประมือกับระดับจักรวาลจริงๆ มาก่อน แม้เขาจะมั่นใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถนำมาอ้างอิงได้
“ไม่ต้องรีบร้อน…” หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ ปิดเปลือกตาลง จมสู่การตระหนักรู้เต๋าธาตุไม้อีกครั้ง จากนั้นในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ต้นไม้ใบหญ้าล้วนสั่นไหว ผู้ฝึกเต๋าธาตุไม้ทั้งหลายก็ยิ่งเคารพยำเกรง
ยิ่งกว่านั้น จากการถือสันโดษตระหนักรู้ของหวังเป่าเล่อ จิตสำนึกของเขาราวกับแยกแตกออกไปนับไม่ถ้วน ผสานรวมกับต้นไม้ใบหญ้าแต่ละต้น จับจ้องกาลเวลาที่ไหลไป
ความรู้สึกผุดขึ้นในก้นบึ้งจิตใจของผู้ฝึกพลังธาตุไม้แต่ละคน ยืมใช้การรับรู้สัมผัสของตัวผู้ฝึกตนในการสัมผัสรับรู้ร่องรอยวิถีเต๋าในโลกภายนอก
พูดได้ว่า เวลานี้ไม่มีที่ใดไร้หวังเป่าเล่อ
เวลาเคลื่อนผ่านไปอีกครั้ง สงครามที่เกิดขึ้นในใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ขยายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับการสู้รบก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลกระทบเช่นนี้
สงครามระหว่างจักรพรรดิสวรรค์ก็ถี่มากขึ้นเช่นกัน
การลงมือของเทพอัฐิ สุสานวิญญาณ นักบุญมืด จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง จักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานและจักรพรรดิเสวียนหัวก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการปรากฏของเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดทำให้วัฏจักรไม่เกิดขึ้น ผู้ตายไม่สามารถใช้เต๋าสวรรค์ๆไม่รู้สิ้นเกิดใหม่ได้ ดังนั้นขณะที่บาดเจ็บล้มตาย…วิญญาณในแม่น้ำแห่งความมืดก็ยิ่งเยอะขึ้นหลายเท่าตัว
นั่นทำให้สำนักแห่งความมืดยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ประหลาดนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป สำนักแห่งความมืดก็จะยิ่งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ ทว่าก็ยังคงเลือกที่จะให้คนเข้าไปในโม่หินเลือดนี้
ทั้งสองฝ่ายราวกับตั้งใจยืดเวลาตัดสินสงคราม ต่างกำลังเดินตามแผนการบางอย่าง
ไม่เพียงแค่ตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น จักรพิภพสำนักเสริมและจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ยากจะนิ่งดูดาย ต่างส่งสำนักตระกูลต่างๆ เข้าร่วมในสงคราม แม้กระทั่งเหล่าชนชั้นสูงก็ยังต้องไปตามคำสั่งของตระกูลไม่รู้สิ้น
และก็มีผู้ที่พยายามเลี่ยงถ่วงเวลา แต่…สำหรับสำนักเช่นนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ลงมือปราบด้วยความเด็ดขาดอย่างไม่ลังเล ทำให้สำนักอื่นที่คิดจะหนีสงครามหวาดกลัวสั่นเทิ้ม ทำได้เพียงออกรบ
โชคดีที่กลุ่มที่มีอำนาจอย่างเช่นสหพันธรัฐ และตระกูลใหญ่ห้าอันดับในจักรพิภพยังมีคุณสมบัติและเบื้องลึกเบื้องหลังที่พอจะไม่เข้าร่วมได้ แต่ก็คาดว่า จากระดับสงครามที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่ายิ่งช่วงหลัง สำนักที่จะยืนหยัดต่อแรงบีบคั้นก็คงน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ทว่ามองจากตอนนี้ สถานะของสหพันธรัฐยังคงเหนืออยู่มาก เป็นเพราะหวังเป่าเล่อ ดังนั้นผู้ฝึกตนที่ถูกมอบหมายให้ไปรายงานสถานกาณ์ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจึงไม่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไม่รู้สิ้นหรือสำนักแห่งความมืดราวกับตั้งใจหลบเลี่ยง
ทุกอย่างกินระยะเวลาเช่นนี้ไปสามปี
ในสามปีนี้ สำนักจำนวนมากในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมีจำนวนคนลดลงอย่างรวดเร็ว สงครามระหว่างสำนักแห่งความมืดและตระกูลไม่รู้สิ้นมีหลายครั้งที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงถึงในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ถึงขนาดที่ครึ่งปีก่อน การต่อสู้ของเทพอัฐิกับเสวียนหัวได้สู้กันจนถึงเขตที่ค่อนข้างลึกของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย กระทบต่ออารยธรรมต่างๆ นับพัน จนทำให้จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายสั่นสะท้าน
ท้ายที่สุดปรมาจารย์แห่งไฟเลือกลงมือเอง ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐก็ใช้วิชาพิเศษปล่อยกระแสเต๋าข้ามอากาศออกไปเป็นแรงบีบคั้น ทำให้เทพอัฐิและเสวียนหัวสงบเสงี่ยมขึ้นบ้าง
ทว่าหลังจากนั้น เสวียนหัวและเทพอัฐิกลับมองไปทางระบบสุริยะพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เสวียนหัวหรี่ตาลง เทพอัฐิกลับฉายแววดูถูกขึ้นในสายตา
“ถูกผู้อื่นตีเข้ามาในประตูบ้านแล้วยังไม่ปรากฏตัว ดูท่าเจ้าแห่งเต๋าสหพันธรัฐ ยิ่งเดินลึกขึ้นก็ยิ่งขี้ขลาด”
บางทีการต่อสู้ครั้งนี้อาจจะเป็นการแอบหยั่งเชิงของทั้งสองคน ดังนั้นหลังจากหยุดลงมือแล้ว แม้ปรมาจารย์แห่งไฟและปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐจะปล่อยแรงบีบคั้นออกมา แต่ก่อนที่พวกเขาจะจากไปกลับประมือกันขึ้นมาอย่างฉับพลัน อีกทั้งการปะทะกันครั้งนี้ก็รวดเร็วมาก สิ้นเสียงคำรามก็เข้าใกล้ในเขตระบบสุริยะอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่า…หวังเป่าเล่อถือสันโดษหลายปี ไม่ได้ปรากฏตัวต่อเหล่าชนชั้นสูงในโลกแห่งศิลา ดังนั้นการหยั่งเชิงของตระกูลคงกระพันจึงเกิดขึ้น ส่วนเทพอัฐิก็เห็นได้ชัดว่าเลือกที่จะร่วมมือมาหยั่งเชิงระบบสุริยะด้วยความต้องการของตนเอง
เห็นเช่นนี้ ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐจึงยั้งมือไว้ไม่ไปห้ามปรามและเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดแทน ส่วนปรมาจารย์แห่งไฟกลับขมวดคิ้วมุ่น ยืดกายลืมตาขึ้นจากการนั่งขัดสมาธิที่ระบบสุริยะ
ทว่าพริบตาต่อมา…
ต้นไม้ใบหญ้าทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็แผ่ไอสังหารออกมาในพริบตา ตั้งตรงขึ้นราวกับมีดคมกริบที่ชี้ไปยังท้องฟ้า อีกทั้งยังมีเส้นแผ่กระจายไปทั่วในความว่างเปล่า
เวลาเดียวกันผู้ฝึกพลังธาตุไม้ทุกคนร่างกายสั่นเทา ปรากฏน้ำวนขึ้นที่หว่างคิ้ว ในน้ำวนนี้ราวกับมีเส้นใยล่องหนลอยเข้าไปในอากาศ
เพียงพริบตา นอกระบบสุริยะ เงาร่างของเทพอัฐิและเสวียนหัว ขณะที่กำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ตอนนั้นเองร่างธรรมของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่นอกระบบสุริยะ มือขวาก็ค่อยๆ ยกสูง
จากนั้น เส้นใยก็พุ่งออกมาจากอากาศทั่วทุกสารทิศไปรวมกันที่มือขวาของเขา ท้ายที่สุดก็กลายเป็นนิ้วขนาดยักษ์ที่เกิดขึ้นจากเส้นใยเต๋าธาตุไม้จำนวนนับไม่ถ้วน
นิ้วนี้ใหญ่มาก คล้ายกับว่าหากดารานิรันดร์มาอยู่ตรงหน้าก็มีขนาดแค่ปลายนิ้วเท่านั้น ภายในเต็มไปด้วยพลังธาตุไม้จากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ในเวลานี้หลังจากยกขึ้นก็หันไปทางร่างของเทพอัฐิและเสวียนหัวที่กำลังใกล้เข้ามา ก่อนกดลงไปในทันที
สีหน้าของเทพอัฐิและเสวียนหัวเคร่งเครียดขึ้นในพริบตา ก่อนจะแยกออกจากกัน ไม่ต่อสู้กันอีกแต่ลงมือพร้อมกันแทน ด้านหลังเทพอัฐิมีโครงกระดูกมนุษย์ขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น ด้านหลังเสวียนหัวก็ปรากฏดอกบัวสีดำที่มีสิบห้ากลีบดอกหนึ่ง ในแต่ละกลีบมีใบหน้าบิดเบี้ยวที่สัมผัสกับนิ้วที่หวังเป่าเล่อกดลงมา
พริบตานี้ ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายต่างจิตใจสั่นสะท้าน ใช้ทุกวิธีในการตรวจหาการต่อสู้นี้ และในดวงจิตเทพของทุกคน ตรงที่นิ้วธาตุไม้สัมผัสโดนกับระดับจักรวาลทั้งสอง ความว่างเปล่าพังถล่ม ขณะที่เงียบไร้เสียง มนุษย์โครงกระดูกยักษ์เซถอย ดอกบัวของเสวียนหัวก็มลายหายไป เจ้าตัวเซถอยไปเช่นกัน
ใครแพ้ใครชนะ มองไม่ชัด ส่วนนิ้วนั้นกลับหยุดชะงักลง จากนั้นร่างธรรมขนาดใหญ่ของหวังเป่าเล่อก็ลืมตา
“เฉินชิงจื่อ เว่ยยางจื่อ ให้คำอธิบายกับผู้แซ่หวังเดี๋ยวนี้!”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่คำพูดของหวังเป่าเล่อลอยออกมา นอกจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เทพอัฐิที่กำลังก้าวออกจากที่นี่ร่างกายพลันสั่นสะท้าน เงาร่างเฉินชิงจื่อก้าวออกมาจากข้างตัวเขาก่อนยกมือขึ้นกดลงในทันทีด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่มีโอกาสให้เทพอัฐิได้อธิบายแม้แต่น้อย
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ร่างเทพอัฐิแยกออกเป็นชิ้นๆ แม้พริบตาต่อมาจะกลับมารวมกันอีกครั้ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอ่อนแรงลงไปไม่น้อย มันมองเฉินชิงจื่อด้วยสีหน้าหวาดกลัวปิดปากเงียบ
จากนั้นเฉินชิงจื่อจึงพยักหน้าไปทางจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ก่อนหมุนกายพาเทพอัฐิก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ทางด้านเสวียนหัว…ตระกูลไม่รู้สิ้นไร้ปฏิกิริยาใดตอบโต้ ให้เสวียนหัวก้าวเข้ามาในความว่างเปล่า กลับตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยตัวเอง
เห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อผู้ถือสันโดษอยู่ที่นครดาวอังคารหลายปีจึงเงยหน้า
“ดูท่า ต้องออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อยแล้ว”
…………………