หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1240 ฟื้นตัว!
ไม่ยินยอมก็เพราะความเย่อหยิ่งของเขาไม่ยอมให้เขาพ่ายแพ้ และยิ่งเป็นเพราะว่าในสายตาของเขานั้น หวังเป่าเล่อเป็นแค่ชนรุ่นหลังคนหนึ่งเท่านั้น ถึงขั้นมีพลังฝึกปรือแค่ระดับจักรพิภพ
แม้ว่าเขาจะรู้ความลับมากมายของโลกแห่งศิลานี้ และมองออกว่าเต๋าของหวังเป่าเล่อแตกต่างไป แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจยอมรับบทสรุปที่ตนพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายติดต่อกันถึงสองครั้งได้
โดยเฉพาะตอนนี้ กายเนื้อของเขาได้ท่านปรมาจารย์มอบของล้ำค่ามาสร้างให้ใหม่ ทำให้เต๋าของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น พลังฝึกปรือก็สูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนนัก ถึงขั้นที่ว่าเป็นเพราะการผสานรวมของสมบัติชิ้นนั้นจึงคล้ายได้เปิดประตูบานใหญ่ให้แก่เขา ทำให้เขาราวกับมองเห็นเส้นทางแห่งอนาคต และกำลังจะค้นพบทิศทางการทะลวงระดับของตนได้รางๆ แล้ว
แต่วันนี้…ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่านก็เพราะหวังเป่าเล่อตรงหน้า เขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ ศึกก่อนหน้านี้เขายังสามารถต่อสู้กับหวังเป่าเล่อได้อยู่เลย ทว่าวันนี้…ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นแค่พลังเทพหนึ่งสายเท่านั้น!
ฝ่ามือที่เกิดจากเต๋าธาตุไม้นั้นแฝงไว้ซึ่งพลังอันไร้ขอบเขต ด้วยความไร้ขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุดนี้เอง แม้ว่าเต๋าภูผาของตนจะต่อต้านไว้ได้ในชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ไร้ที่สิ้นสุด จึงไม่อาจดำเนินต่อไปได้นาน
ดังนั้น ขณะที่เขารู้สึกไม่ยินยอม ก้นบึ้งจิตใจก็มีความขมขื่นล้ำลึกแพร่กระจาย
“นี่ไม่ใช่ชะตากรรมของข้า!” ตี้ซานกรีดร้องเจ็บปวด ขณะนี้ในดวงตาของเขากลับไม่มีความบ้าคลั่งเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว มันแผ่ความหม่นหมองออกมา เขายืนอยู่ในอวกาศ ราวกับลืมต่อต้านไปแล้ว
เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าระหว่างตนกับหวังเป่าเล่อนั้น แตกต่างกัน…มากเกินไป
แต่ความรู้สึกหดหู่นี้เกิดขึ้นในหัวของเขาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น จากนั้นก็ถูกเขาขับไล่ไปทันที เพราะเขามองเห็นว่าภายในร่างกายที่ใกล้จะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ของตนมีดวงแสงสีดินเหลืองกำลังเปล่งประกายออกมาอย่างต่อเนื่อง มันลอยอยู่กลางอวกาศรอบกาย ราวกับแสงดาวที่แตกต่างออกไป แต่ก็เจิดจรัส
ราวกับชีวิตของเขา!
แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็สว่างสดใส
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…แล้วเหตุใดต้องเสียดายชีวิต!
ความมืดหม่นในแววตาของตี้ซานหายไป เขาเงยหน้าหัวเราะลั่น ร่างกายลุกไหม้ในทันที เขาประคองตัวเองพุ่งไปยังหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ราวกับมอดที่วิ่งเข้าสู่เปลวไฟ!
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองการมาถึงของตี้ซาน เขามองเห็นความมืดหม่นก่อนหน้านี้ของอีกฝ่าย และมองเป็นประกายแสงที่พวยพุ่งขึ้นอีกครั้งด้วย ยิ่งสัมผัสได้ว่า…ตอนนี้บนร่างของตี้ซานมีเจตนาร้องขอความตายปรากฏออกมาด้วย
ในชั่วขณะนี้เอง ที่ความว่างเปล่าอันไกลโพ้นก็มีเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังออกมาอย่างฉับพลัน
“หวังเป่าเล่อ เจ้ากล้าสังหารจักรพรรดิสวรรค์ของข้า ผู้เฒ่าคนนี้ก็จะบดขยี้สหพันธรัฐของเจ้าแน่!”
แต่ในขณะที่คำพูดของเขาดังออกมา คลื่นผันผวนของเต๋าแห่งความมืดก็แรงกล้าขึ้นทันที ราวกับว่าในความว่างเปล่าที่มองไม่เห็นนั้น ตอนนี้เฉินชิงจื่อกำลังลงมือแล้ว แม้ว่าจะไม่มีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังออกมา แต่เสียงของปรมาจารย์ไม่รู้สิ้นก็ยังก็ทะลวงผ่านความว่างเปล่าและดังสะท้อนไปทั่วทั้งแปดทิศ
“เฉินชิงจื่อ ถ้าตี้ซานดับสิ้น ศึกระหว่างเจ้ากับข้าก็จะปะทุขึ้นมาเต็มกำลัง!”
“ไม่มีปัญหา!” ผู้ที่ตอบกลับปรมาจารย์ไม่รู้สิ้นก็คือเสียงราบเรียบของเฉินชิงจื่อ จากนั้นในความว่างเปล่าก็เกิดคลื่นผันผวนไร้ที่สิ้นสุดแพร่กระจายไปทั่วทุกด้าน ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นสั่นสะเทือนกันทั้งสำนัก
หวังเป่าเล่อกลับเงียบงัน มองดูตี้ซานที่ตอนนี้พุ่งทะยานมาหาตนราวกับดาวตก เขายกเท้าขึ้นแล้วก้าวไปหาตี้ซาน ตรงผ่านอวกาศทันทีด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ แล้วปรากฏอยู่ตรงหน้าตี้ซานตรงๆ เขาไม่รอให้ตี้ซานได้ระเบิดตัวเองออกมา มือขวาของเขายกขึ้นแล้วชี้ไปที่ด้านหน้าของตี้ซานทันที
“จันทร์แรม!”
ไม่ใช่เงาจันทร์ แต่เป็นจันทร์แรม
ไม่ได้ก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา แต่ทำให้ตี้ซานที่อยู่ตรงหน้าวกกลับไปเมื่อหลายสิบอึดใจก่อนหน้านี้!
ด้วยการสนับสนุนจากเต๋าธาตุน้ำต้นกำเนิด เวทจันทร์แรมที่ใช้ออกมาท่ามกลางการระเบิดของเต๋าธาตุน้ำก็ขยับไหวในพริบตาทันที กระแสเต๋ากาลเวลาแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ร่างกายของตี้ซานถอยร่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทั้งหมดล้วนไหลวกกลับไป!
มีเพียงร่างกายของหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ไม่ได้ย้อนกลับ แต่ก้าวเดินมาหนึ่งก้าวแล้วปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตี้ซานที่กลับไปยังหลายสิบอึดใจก่อนหน้านี้ที่เพิ่งจะได้รับบาดเจ็บและไม่ได้มีท่าทีเหมือนตัวมอด จากนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้น เมื่อทิ้งมือลงมาอีกครั้ง มันก็แทงเข้าไปในทรวงอกของตี้ซานโดยตรง ข้อมือจมลงไปแล้วคว้าจับอย่างรุนแรง
ด้วยการคว้าจับนี้ ทำให้ดวงแสงสีดินเหลืองเหล่านั้นที่แผ่ออกมาจากในร่างของตี้ซานกระพริบวูบขึ้น พริบตาต่อมามือขวาของหวังเป่าเล่อที่คล้ายจะแทงเข้าไปในอกของตี้ซานก็กลายเป็นหลุมดำ นำพาดวงแสงที่แผ่ออกมาด้านนอกเหล่านั้นไปทั้งหมดแล้วถูกดูดซับเข้ามาทันที
สิ่งที่ถูกดูดไปด้วยยังมีต้นกำเนิดของดวงแสงสีดินเหลืองในร่างของตี้ซานเช่นกัน…ทั้งหมดนี้พูดแล้วยาว แต่ความจริงล้วนเกิดขึ้นในชั่วอึดใจ พริบตาต่อมามือขวาของหวังเป่าเล่อก็ถอนกลับมาจากทรวงอกของตี้ซานทันใด
ขณะที่เขาถอนมือขวากลับมานั้น ร่างกายของตี้ซานก็คล้ายกับลูกบอลลมรั่ว มันแห้งเหี่ยวในพริบตาแล้วกลายเป็นเถ้าถ่านทันที มีแค่วิญญาณเทพเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิม มันมองหวังเป่าเล่อและมือขวาของเขาด้วยท่าทางซับซ้อนอย่างยิ่ง!
บนมือขวาของหวังเป่าเล่อ ตอนนี้มีของสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา!
นั่นก็คือก้อนโคลนสีเหลืองขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งก้อน!
บนก้อนโคลนนี้มีคลื่นความผันผวนมหาศาลแผ่ออกมา ความรู้สึกที่มอบให้คือ เมื่อมองไปที่มันก็คล้ายมองเห็นโลก มองเห็นฟ้าดิน มองเห็นทั่วทั้งอวกาศ!
และยิ่งกว่านั้นยังมีกลิ่นอายที่มีที่มาแบบเดียวกันกับจักรวาลผืนนี้ด้วย มันอยู่บนก้อนโคลนและแผ่กระจายออกมาอย่างปกปิดไม่มิด ทำให้แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเตรียมใจไว้ก่อนแล้วก็ยังตื่นตระหนก ดวงตาหดเกร็ง
ที่มาของสิ่งสิ่งนี้ พริบตาที่เขาสัมผัสมันก็รับรู้ได้แล้ว แต่…ที่มาของมันอยู่เหนือความคาดหมายของเขานัก ครั้งนี้เขาบอกว่าจะกุมอำนาจก็ทำจริงๆ แต่มันไม่ใช่จุดสำคัญ เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
เป้าหมายที่แท้จริงของเขาก็คือทำเพื่อของสิ่งนี้
นี่คือการแผนการยึดอำนาจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำร้ายตี้ซานก็ได้สร้างสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว ตี้ซานเป็นจักรพรรดิสวรรค์ อุปนิสัยและต้นทุนล้วนอยู่ระดับสูง ดังนั้นหลังจากกายเนื้อของเขาถูกทำลายสิ้น ปรมาจารย์ไม่รู้สิ้นจะต้องหาวิธีมาฟื้นฟูเขาแน่ และเต๋าธาตุภูผากับเต๋าธาตุดินก็มีแหล่งที่มาเดียวกัน ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องใช้สมบัติล้ำค่าธาตุดินเช่นที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ท่ามกลางความมืดมิด
จุดนี้หวังเป่าเล่อเดาได้ถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงใช้พลังกดดันจากการทะลวงระดับฝึกตนของเขาพุ่งมายังที่แห่งนี้ทันที แต่เขาไม่คิดว่าสมบัติล้ำค่าเต๋าธาตุดินนี้กลับไม่ธรรมดายิ่งกว่าจินตนาการของเขาเสียอีก
สิ่งของที่สามารถก้องกังวานไปทั่วทั้งจักรวาลและสามารถทำให้คนรู้สึกเหมือนจ้องมองดูฟ้าดินและโลกหล้าได้ ของแบบนี้มีแค่…แผ่นศิลาเท่านั้น!
แผ่นศิลาที่ผนึกจักรวาลผืนนี้ไว้!!
วัสดุของของสิ่งนี้ก็คือแผ่นศิลา พูดให้ถูกก็คือของชิ้นนี้…เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นศิลา!
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นได้ของสิ่งนี้มาได้อย่างไร แต่ตอนนี้จิตใจของเขาเกิดคลื่นผันผวนถาโถมแล้ว เขาจับก้อนโคลนในมือแน่น เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็มองดูตี้ซานที่มีสีหน้าท่าทางซับซ้อน
“ทำไมไม่ฆ่าข้า!”
หวังเป่าเล่อไม่พูดจา แต่หันหน้ากลับไปยังความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเพราะชื่นชมในตัวตี้ซานอยู่นิดหน่อยหรือเป็นเพราะเฉินชิงจื่อก็ตาม สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเลือกที่จะไว้ชีวิตตี้ซาน
“เฉินชิงจื่อ แท้จริงแล้ว…เจ้าคิดอะไรกันแน่” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสไม่รู้สิ้น ข้าแซ่หวังมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อวางอำนาจ แต่มาเพราะว่าเมื่อครั้งนั้นตระกูลไม่รู้สิ้นของเจ้ารุกรานสหพันธรัฐของข้าโดยไร้เหตุผล และคำอธิบายว่าขวางไม่ให้ข้ารวมเต๋าฝั่งซ้ายเป็นหนึ่งเดียว”
“วันนี้ ข้าแซ่หวังก็จะเก็บคำอธิบายนี้ไป ถ้าหากผู้อาวุโสขุ่นเคืองก็สามารถมาหาข้าที่เต๋าฝั่งซ้ายได้ เต๋าฝั่งซ้ายของข้า…มุมมองความเป็นกลางในปัจจุบันยังคงเหมือนเดิม” พูดจบ หวังเป่าเล่อก็กอบหมัดคำนับแล้วเดินไปยังอวกาศ เมื่อเขาจากไป กลิ่นอายเต๋าแห่งความมืดก็สลายหายไปช้าๆ จนกระทั่งเงาร่างของหวังเป่าเล่อหายไปจากตระกูลไม่รู้สิ้นแล้ว ในอวกาศของตระกูลไม่รู้สิ้น สีหน้าของเว่ยยางจื่อดูไม่ได้ เขาปรากฏตัวขึ้นมา
“เฉินชิงจื่อ…หวังเป่าเล่อ…” จิตสังหารวูบวาบอยู่ในแววตาของเขา แต่สุดท้ายก็ฝืนกดลงไป
“ยังไม่ถึงเวลา…แต่ใกล้แล้ว ใกล้จะถึงแล้ว!” ผ่านไปครู่หนึ่ง เว่ยยางจื่อก็หลับตาลง สะบัดแขนเสื้อหอบใหญ่นำดวงวิญญาณเทพมืดหม่นของตี้ซานกลับมา จากนั้นเงาร่างก็เลือนหายไป
ภายในจักรพิภพสำนักเสริม ปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณถอนหายใจ เขาเตรียมพร้อมจะลงมือแล้ว ผลสุดท้ายกลับไม่ได้ต่อสู้ ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็เตรียมพร้อมแล้ว กระทั่งเขาก้าวเข้ามาในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเขาก็หยุดฝีเท้าลง หันหน้าไปมองยังจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้น
“เว่ยยางจื่อ…เจ้ารออะไรหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เงียบงันอยู่นานแล้วมองไปอีกด้านหนึ่ง ที่นั่น…คือทางเข้าไปยังสำนักแห่งความมืดของอวกาศผืนนี้
“เฉินชิงจื่อ…ชีวิตนี้ของข้าจะยังมีโอกาสเรียกเจ้าว่า…ศิษย์พี่…อยู่หรือไม่” ก้นบึ้งจิตใจของหวังเป่าเล่อซับซ้อนนัก เพราะอาจารย์ เขาจึงแตกหักกับเฉินชิงจื่อ
แต่หลังจากการช่วยเหลือหลายครั้งของเฉินชิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็ไม่ใช่คนไร้ความรู้สึก ในใจของเขาจะไม่เกิดคลื่นถาโถมขึ้นมาได้อย่างไร
จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจแล้วเดินไปยังระบบสุริยะ ณ จุดที่สายตาของเขาจ้องมองไปก่อนหน้านี้ ที่ทางเข้าสำนักแห่งความมืด ตอนนี้เงาร่างของเฉินชิงจื่อเดินออกมาจากความว่างเปล่าคล้ายมีคล้ายไม่มี ทั่วร่างสวมชุดดำ มือหนึ่งถือกระบี่ไม้ มือหนึ่งถือสุรา
เขายืนอยู่ตรงนั้น จ้องมาที่นี่…มาที่เต๋าฝั่งซ้ายเช่นกัน
จากนั้นบนใบหน้าเย็นชาของเขาก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา
“โตแล้ว ปกป้องตัวเองได้ ข้าก็วางใจได้จริงๆ แล้ว ต่อไป…ก็ถึงตาข้าแล้ว!” เฉินชิงจื่อเอ่ยพึมพำ มองไปยังตระกูลไม่รู้สิ้น รอยยิ้มเลือนหายไป ความเย็นชาพวยพุ่งเทียมฟ้า!
………………………