หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1247 เว่ยยางจื่อมาถึง!
เป็นเพราะการมาถึงของเสวียนหัวจึงทำให้สถานการณ์ที่เดิมสมดุลอยู่แล้วโน้มเอียงมากยิ่งขึ้น
ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณคนเดียวก็ทำให้จีเจียที่แผดเผาตัวเองไปรับมือได้ยากมากอยู่แล้ว ตอนนี้จึงมีสภาพยับเยินอย่างยิ่ง ร่างสามหัวหกแขนก็เสียหายไปกว่าครึ่ง
ส่วนตี้ซานและกวงหมิงก็ยิ่งมีสภาพเช่นนี้ ตี้ซานก็ยังบาดเจ็บจนถึงที่สุด วิญญาณเทพหมองหม่นอย่างยิ่ง ไม่มีพลังต่อสู้อีกแล้ว ทางฝั่งกวงหมิงก็เช่นกัน เขาเผชิญหน้ากับการโจมตีจากระดับจักรวาลสามคนของสำนักแห่งความมืด เขาที่เดิมบาดเจ็บอยู่แล้วกายเนื้อไม่ได้พังทลายรุนแรงอะไร ดวงวิญญาณเทพก็ไม่ต่างจากของตี้ซานสักเท่าไหร่
ดังนั้น…เมื่อหวังเป่าเล่อกลับมาอีกครั้งและเงาร่างของเสวียนหัวก็มาถึง มันจึงทำให้จิตใจของพวกเขาสามคนสั่นสะท้านรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…พริบตาที่เสวียนหัวมาถึงเขาก็โจมตีทันที เป้าหมายย่อมไม่ใช่กวงหมิงและตี้ซานที่เจ็บหนัก แต่เป็น…จีเจีย!
ในชั่วพริบตา จีเจียที่ถอยร่นไม่หยุดขณะที่ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณโจมตีใส่และได้อาศัยการเสียพลังมาฝืนประคับประคองตัวอยู่นั้น ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายยิ่งยวดทันที เสวียนหัวใช้พลังเต๋าธาตุไม้ไม่ยั้งมือเลยสักนิด วิถีเต๋าพลังเทพปกคลุมไปทุกด้าน
และยังมีระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืด ตอนนี้ล้วนไม่สนใจกวงหมิงกับตี้ซานแล้ว พวกเขาพุ่งเข้ามาหาจีเจียจากทั้งสามทิศ ทำให้ดวงตาของจีเจียฉายแววสิ้นหวังออกมา เพราะว่า…หวังเป่าเล่อไม่ได้ลงมือ แต่เขายืนอยู่ตรงนั้น แผ่อานุภาพคุกคามออกมา ทำให้จีเจียที่เดิมก็ไม่อาจประคองตัวเองต่อไปได้ไม่มีโอกาสแม้แต่จะหลบหนี
“ร่างเดิม!!” ในช่วงวิกฤต จีเจียก็หัวเราะอย่างน่าเวทนา เขาคำรามเศร้าโศกขึ้นฟ้า ไม่เข้าใจเลยว่ามีอะไรที่สำคัญไปกว่าความเป็นความตายของตระกูลไม่รู้สิ้นอีก เขากระจ่างแจ้งดีกว่าวันนี้…ถ้าหากร่างเดิมไม่ออกมา เช่นนั้นเวลาตายของเขาก็คือ…เวลาที่ตระกูลไม่รู้สิ้นจะหายไปจากจักรวาลแห่งนี้แล้ว
ถึงอย่างไร…ตอนนี้กองทัพใหญ่ที่มาจากสำนักเสริม เต๋าฝั่งซ้าย และสำนักแห่งความมืดก็กำลังเข้ามาใกล้แล้ว แม้ว่าต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งจึงจะมาถึงก็ตาม แต่จินตนาการได้เลยว่าอีกเวลาไม่นานหรอก และทันทีที่มาถึง ร่องรอยทุกอย่างของตระกูลไม่รู้สิ้นก็คงถูกลบเลือนไปหมดแล้ว
เมื่อเห็นอย่างนี้ หวังเป่าเล่อจึงมีสมาธิจดจ่อเต็มที่ พลังฝึกปรือแผ่ปกคลุมทั่วทุกทิศ หากบอกว่าปรมาจารย์ตระกูลไม่รู้สิ้นจะต้องปรากฏตัวล่ะก็ เช่นนั้นก็มีโอกาสมากที่สุดที่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาต่อจากนี้
แทบจะทันทีที่ความคิดนี้ของหวังเป่าเล่อผุดขึ้นมา จีเจียก็ยิ่งกรีดร้องสลด คนทั้งคนพ่นเลือดออกมา ตอนนี้ร่างสามหัวหกแขนดั้งเดิมเหลืออยู่เพียงหนึ่งหัวหนึ่งแขน อีกสองหัวห้าแขนที่เหลือถูกทำลายไปนานแล้ว พลังฝึกตนของเขาก็ไม่อาจยับยั้งการร่วงระดับเช่นนี้ได้ เขาไม่ใช่ระดับจักรวาลชั้นกลางอีกต่อไป แต่ตกลงมาอยู่ในระดับชั้นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งยืนหยัดต่อไปได้ยาก เพียงไม่กี่อึดใจ กายเนื้อของจีเจียก็ส่งเสียงกึกก้องน่าตะลึง มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ดวงวิญญาณเทพคล้ายจะหลบหนีได้ยากเย็นเหลือเกิน และกำลังจะถูกปรมาจารย์เต๋าเก้าวิญญาณที่ยิ้มเยาะอยู่จับไว้ได้แล้ว
แต่ในตอนนี้เอง เสียงถอนหายใจเบาๆ แฝงความจนใจก็ดังก้องมาจากอวกาศอันว่างเปล่า
เมื่อเสียงถอนหายใจนี้ดังออกมา ทั่วทั้งอวกาศก็บิดเบี้ยวแล้วปรากฏมือยักษ์มโหฬารข้างหนึ่งขึ้น มือยักษ์ข้างนั้นกึ่งโปร่งใส มันปรากฏขึ้นรอบตัวของพวกปรมาจารย์เต๋าเก้าวิญญาณแล้วบีบแรงๆ โดยตรง
สีหน้าของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเปลี่ยนไป พลังฝึกปรือระเบิดออกมาโดยสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงพลังต่อสู้ที่ทรงพลังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ถึงสามส่วน เห็นได้ชัดว่า…การต่อสู้กับจีเจียก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาได้กักพลังเอาไว้เพื่อป้องกันสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ส่วนระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืดก็เช่นกัน แต่ละคนล้วนแสดงพลังต่อสู้ที่เหนือยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ออกมาในชั่วขณะนี้เอง แล้วถอยร่นในชั่วอึดใจ
ดังนั้น ท่ามกลางเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินนี้ เมื่อทุกคนล่าถอยออกไป มือยักษ์ที่ปรากฏขึ้นมาจากอากาศก็กวาดม้วนจีเจียกลับ ผู้ที่ถูกนำไปด้วยกันก็ยังมีกวงหมิงและตี้ซาน และหลังจากมือยักษ์พาทั้งสามคนไปแล้ว ในที่สุดเงาร่างชราของเว่ยยางจื่อก็ปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่า เขาเดินออกมาจากภาพมายาสู่ความเป็นจริงทีละก้าวๆ
จนกระทั่งยืนอยู่ห่างจากพวกปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณร้อยจั้งจึงหยุดลง สีหน้าดูไม่ได้ แววตามีความจนปัญญา แต่กลับปกปิดจิตสังหารที่พวยพุ่งไม่อยู่
“พวกเจ้าจะรังแกกันเกินไปแล้ว!”
“ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้น!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อหดเกร็ง ร่างกายสั่นไหวแล้วมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ ด้านหลังของพวกเขาสองคนคือเสวียนหัวและระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืด ตอนนี้พวกเขาหกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องเขม็งไปยังเว่ยยางจื่อที่ปรากฏตัวห่างไปร้อยจั้ง
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นี้น่าเกรงขามไม่ธรรมดา เขายืนอยู่กลางอวกาศ ผมสีขาวปลิวไสว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทั่วร่างของเขาไม่มีคลื่นผันผวนใดๆ แผ่ออกมา แต่กลับทำให้พวกหวังเป่าเล่อหกคนคล้ายเผชิญหน้ากับอานุภาพกดดันล้ำลึกราวหุบเหว
เมื่อเป็นเช่นนี้ การมีอยู่ของเขาจึงเหมือนกับหลุมดำที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนที่เข้าใกล้ล้วนถูกเขาดูดพลังชีวิตไปจนถึงจิตปราณวิญญาณทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว
“นี่คือการกดข่มของมหาเต๋า! ในวิถีของข้าผู้เฒ่า ข้าไม่รู้เลย ไม่เคยเห็นเขาใช้มันมาก่อน!” สีหน้าของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณอึมครึม เขาเอ่ยบอกหวังเป่าเล่อทันที
หวังเป่าเล่อพยักหน้าเบาๆ เขาก็รับรู้ถึงจุดนี้เช่นกัน กล่าวให้ถูกก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยตัวเอง ตอนนั้นอีกฝ่ายเพียงใช้ดวงจิตเทพแทรกเข้ามาในวิญญาณเทพแล้วเอ่ยคำเตือน ตอนนี้สิคือการเผชิญหน้าอย่างแท้จริง
อานุภาพที่มาจากบนร่างของอีกฝ่ายทำให้เมล็ดธาตุไม้และเมล็ดธาตุน้ำในร่างของเขาสั่นสะเทือนขึ้นมา เพียงแต่เมื่อเทียบกับอย่างหลังแล้ว อย่างแรกคล้ายจะแสดงพลังต่อต้านอีกฝ่าย
“มหาเต๋าของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้น…สามารถสยบเมล็ดของเต๋าธาตุน้ำของข้าได้ แต่กลับไม่อาจกดข่มเมล็ดธาตุไม้ได้” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง สังเกตดูปรมาจารย์ผู่ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นตรงหน้า ในใจก็วิเคราะห์คาดเดา พยายามหาเบาะแสของกระแสเต๋าที่อีกฝ่ายฝึกฝนทั้งหมดออกมา
และเมื่อคนทั้งหกจดจ้องไปที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นนั้น สายตาของคนหลังก็หวาดมองมาที่พวกเขาทั้งหกเช่นกัน มองผ่านร่างของคนจากสำนักแห่งความมืดทั้งสามคนไปโดยไม่ได้หยุด มีเพียงตอนที่มองปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณและหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่จะหยุดลง ในบรรดาทั้งสอง…เขาหยุดอยู่ที่หวังเป่าเล่อนานที่สุด
“เต๋าธาตุไม้ เต๋าธาตุน้ำ…กลับไม่อาจปกปิดรอยประทับสำนักแห่งความมืดบนร่างของเจ้าได้ หวังเป่าเล่อ…ข้าควรเรียกเจ้าว่าเจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้ายหรือว่าบุตรของสำนักแห่งความมืดกันล่ะ” ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยพูดช้าๆ
“แตกต่างกันหรือ เมื่อเทียบกันแล้ว พวกข้าสงสัยยิ่งกว่าอีกว่าเต๋าของผู้อาวุโสเว่ยยางจื่อคืออะไร” หวังเป่าเล่อตอบอย่างใจเย็น สีหน้าเป็นปกติ อันที่จริงไม่ใช่แค่เขาที่เป็นเช่นนี้ ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกับสำนักแห่งความมืดทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆ ก็เช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าสถานะของหวังเป่าเล่อไม่ใช่ความลับอะไรตั้งนานแล้ว
“เต๋าของข้าน่ะหรือ…” เว่ยยางจื่อเงยหน้า สายตาล้ำลึกแล้วทอดมองไปไกลๆ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ
“พวกเจ้า สามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง” ขณะที่เอ่ย เว่ยยางจื่อก็ยกมือขวาขึ้นคล้ายตามแต่ใจ แล้วค่อยๆ กดไปทางพวกหวังเป่าเล่อทั้งหกคน
แต่เมื่อกดลงมาครั้งนี้ อวกาศก็สั่นสะท้าน เสียงสั่นสะเทือนดังติดต่อกันเป็นชุดๆ ทันใดนั้นก็มันระเบิดขึ้นจากความว่างเปล่า ในการระเบิดนี้เอง อวกาศผืนนี้ก็คล้ายจะทับซ้อนกัน ราวกับว่ามีความว่างเปล่าอีกหนึ่งชั้นร่วงลงมากะทันหัน แล้วสยบไว้ทุกสารทิศ สยบสรรพชีวิตไว้
ทั้งไม่ใช่ความว่างเปล่าเพียงชั้นเดียว แต่ในชั่วพริบตา ความว่างเปล่าชั้นแล้วชั้นเล่าก็ร่วงตกลงมาตามๆ กัน ชั่วอึดใจก็มีเกินกว่าสามสิบชั้นแล้ว
คล้ายกับว่า…มีอวกาศสามสิบแห่งที่เหมือนกับจักรวาลผืนนี้ตกลงมาอย่างไร้รูป ขณะที่ทับซ้อนกับที่แห่งนี้ ก็ยิ่งกลายเป็นพลังบดขยี้ที่ไม่อาจพรรณนา ราวกับสามารถบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ทันที
พวกแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือระดับจักรวาลทั้งสามคนจากสำนักแห่งความมืด สามคนนี้ตัวสั่นสะท้านรุนแรงในพริบตา นักบุญมืดกระอักเลือดออกมา เทพอัฐิก็มีเสียงแกร่กกรั่กดังมาจากลำตัว คนสุดท้ายนั้น กายเนื้อก็ยิ่งพังทลายระเบิดกระจายออกมาตรงๆ แม้ว่าจะรวมกลับมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่เห็นได้ชัดว่ามีสีหน้าหวาดกลัวและอ่อนแอลงมาก
ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็หน้าเปลี่ยนสี ระเบิดพลังฝึกตนออกมาต่อต้านเต็มที่ หวังเป่าเล่อก็สัมผัสถึงพลังที่ราวกับไร้ที่สิ้นสุดนี้เช่นกัน มันตกมาอยู่บนกายเนื้อและวิญญาณเทพของเขาตรงๆ แล้วพันรัดทุกอย่าง เมล็ดเต๋าธาตุน้ำในร่างก็ยิ่งสะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้ความยืดหยุ่นทนทานของเมล็ดเต๋าธาตุไม้ระเบิดพุ่งเทียมฟ้าตอนนี้เพื่อมาประคับประคองตัวมันเอง
“เต๋าแห่งความว่างเปล่า!” ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกัดฟันเอ่ย
…………………