หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1256 การกลับมาของความมืด
ณ เวลานี้ เว่ยยางจื่อสิ้นชีพ!
ณ เวลานี้ เต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นล่มสลาย!
ณ เวลานี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดในจักรวาลแห่งนี้พากันตัวสั่นสะท้านทันที ราวกับมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นหายไปจากร่างของพวกเขา
เว่ยยางจื่อคือบรรพบุรุษของทั้งตระกูลไม่รู้สิ้น ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าเพราะมีเขาจึงมีตระกูลไม่รู้สิ้น!
และเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น เขาก็เป็นคนสร้างขึ้นมาเช่นกัน มันเป็นทั้งเครื่องมือและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในแง่หนึ่ง ดังนั้นการตายของเขาจึงทำให้จิตใจของทุกชีวิตในตระกูลไม่รู้สิ้นปั่นป่วนรุนแรง และการล่มสลายของเต๋าสวรรค์ก็ยิ่งทำลายโชคชะตาที่ประทับอยู่บนตัวของคนในตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดไปด้วย
ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นร่วงตกลงมาจากสวรรค์ กลายเป็นธรรมดาสามัญ!
ทั้งยังมีจีเจีย ในชั่วอึดใจที่เว่ยยางจื่อสิ้นชีพ ร่างวิญญาณของเขาที่เหลืออยู่เพียงวิญญาณเทพก็สั่นสะท้านเช่นกัน เขาอ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันแล้ว ดวงวิญญาณเทพของเขากลายเป็นเถ้าถ่านแล้วสลายหายไปในจักรวาลทันที
ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่กลับเป็นเช่นแต่ก่อนอีกต่อไป!
ยิ่งกว่านั้นในชั่วขณะนี้เอง เมื่อเส้นสายของกฎเกณฑ์กฎพลังนับไม่ถ้วนที่เกิดจากการล่มสลายของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นถูกกลืนเข้าปาก ผมของเฉินชิงจื่อก็แผ่สยายในชั่วพริบตา พลานุภาพน่าสะพรึงสายหนึ่งระเบิดยิ่งใหญ่อยู่บนร่างของเขา ยิ่งกว่านั้นยังมีอานุภาพกดดันที่น่ากลัวยิ่งกว่าเว่ยยางจื่อเมื่อกี้นี้เสียอีก และมันหลั่งไหลมายังจักรวาลแห่งนี้ในชั่วพริบตา
อานุภาพกดดันของเขาคล้ายจะกลายเป็นระลอกคลื่นไร้รูปเคลื่อนผ่านไปทั้งแปดทิศ ปกคลุมอดีตจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นแห่งนี้ ปกคลุมเต๋าฝั่งซ้าย ปกคลุมสำนักเสริม ปกคลุมตระกูลและสำนักทั้งหมด ปกคลุมดวงดาวและความว่างเปล่าทุกชนิด ปกคลุมทั่วทั้ง…โลกแห่งศิลา!
ภายในโลกแห่งศิลาเหมือนกับย้อนไปในสมัยที่ถูกสำนักแห่งความมืดปกครองในปีนั้น กฎเกณฑ์กฎพลังทั้งหมดเริ่มต้นใช้ศาสตร์มืดเป็นที่เคารพและให้ศาสตร์มืดเป็นเจ้าปกครองนับตั้งแต่ชั่วขณะนี้!
แม้ว่าการฝึกตนของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงไม่มาก แต่โดยพื้นฐานแล้ว…ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ล้วนแต่ต้องมีการปรับเปลี่ยน ถ้าหากว่าไม่เปลี่ยนแปลง รากฐานของวิถีเต๋าในร่างของตนก็จะสั่นคลอน
กลิ่นอายแห่งความตายแพร่กระจายอยู่ในโลกแห่งศิลาในชั่วอึดใจ อำนาจแห่งการกลับมาเกิดใหม่เริ่มกลับคืนสู่สำนักแห่งความมืดตั้งแต่ชั่วขณะนี้เอง ราวกับต่อจากนี้ไป เรื่องของการส่งข้ามอวกาศและปลดปล่อยวิญญาณคนตายจะปรากฏขึ้นในโลกแห่งศิลาอีกครั้ง
แม้ว่าปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณจะตัวสั่นสะท้าน แต่ในฐานะที่เป็นฝ่ายช่วยรบ เขาจึงได้รับการพรแห่งโชคชะตาจากสำนักแห่งความมืดเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัด สองขาที่เดิมขาดหายไปงอกขึ้นใหม่ทันทีท่ามกลางปราณมืดที่ไหลหลั่งเข้ามาในชั่วพริบตา ถึงขั้นที่พลังฝึกตนของเขาก็พลันปะทุขึ้นมาทันใด มันกลับกระโจนขึ้นจากระดับจักรวาลชั้นกลางสูงสุดเข้าสู่ระดับจักรวาลชั้นปลาย!
ระดับขั้นเท่ากันกับปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย!
ทั้งยังมีเสวียนหัว แม้ว่าจะมาจากตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ตอนนี้ก็ได้รับการตอบแทนจากปราณมืดเช่นกัน ขณะเดียวกับที่อาการบาดเจ็บหายเป็นปลิดทิ้งในพริบตา พลังฝึกตนของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นด้วย มีเพียงตี้ซานและกวงหมิงสองคนเท่านั้น เดิมทีลมหายใจก็เบาบางอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งอ่อนแอเข้าไปใหญ่ ไม่มีพลังดิ้นรนต่อสู้ใดๆ ได้ และถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงไปจากการระเบิดของปราณมืดนี้ด้วย
แต่การเลื่อนระดับทั้งหมดนั้น นอกจากเฉินชิงจื่อแล้ว หวังเป่าเล่อคือผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด แทบจะในชั่วพริบตาที่ทั่วทั้งโลกแห่งศิลามีปราณมืดแผ่กระจาย กฎเกณฑ์กฎพลังทั้งหมดที่ฝึกฝนอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อและที่เกี่ยวข้องกับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นก็พังทลายทันที ยิ่งกว่านั้นในขณะเดียวกัน เมื่อเฉินชิงจื่อโบกมือ กฎเกณฑ์ของเต๋าธาตุไม้และธาตุน้ำ รวมถึงเต๋าธาตุทอง ไฟ และดินทั้งสามเต๋าก็ถูกดึงออกมาจากเส้นสายของกฎพลังที่เกิดขึ้นจากการล่มสลายของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นทันที ก่อนถูกส่งไปให้แก่หวังเป่าเล่อ
กฎพลังห้าธาตุคือพลังอำนาจของเต๋าสวรรค์ ตอนนี้เมื่อมันหลอมรวมเข้ามา เต๋าธาตุไม้และธาตุน้ำของหวังเป่าเล่อก็พลันระเบิดออกมาในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งที่เขาครอบครองอยู่ก่อนหน้านี้มีแค่อำนาจไม้และน้ำในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แต่ตอนนี้กลายเป็นอำนาจต่อทั่วทั้งโลกแห่งศิลา ดังนั้นพลังที่พุ่งทะยานขึ้นมาจึงน่าตกตะลึงเป็นธรรมดา
ส่วนสามเต๋าที่เหลือนั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้ก่อเมล็ดพันธุ์ แต่อำนาจมาถึงแล้ว สำหรับเขามันก็เท่ากับการได้รับพลังอำนาจก่อน ส่วนคุณสมบัติย่อมเสริมได้ง่ายดายยิ่งกว่าเดิม
กล่าวได้ว่า ต่อจากนี้ในกระบวนการก่อเมล็ดเต๋าของเต๋าทั้งสาม เขาจะราบรื่นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มากยิ่งนัก
ราวกับก้าวเข้าสู่รถศึกที่นำไปสู่ดินแดนอันไร้ที่สิ้นสุด ส่วนตั๋วรถ…ค่อยเสริมเข้ามาทีหลังก็ได้
การระเบิดที่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้นำมาทำให้พลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อพุ่งทะยานทันที เขาก้าวสู่ระดับระดับจักรพิภพชั้นกลางสูงสุด เพลิงดำบนตัวของเขาก็แผ่กระจายออกมาในชั่วพริบตา กลายเป็นเปลวเพลิงสะเทือนฟ้า แผ่กระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ แม้แต่ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณที่อยู่ข้างกายก็ยังมีท่าทางเปลี่ยนไป แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นระดับจักรวาลชั้นปลาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเพลิงดำนี้ หัวใจเขาก็เต้นตุบแล้วหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าเปลวเพลิงนี้คือวิชาชั้นสูงไร้ใดเทียมภายในโลกแห่งศิลาในปัจจุบัน
แต่เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว เฉินชิงจื่อคือคนที่พลังฝึกตนพุ่งทะยานจนถึงขีดสุดอย่างแท้จริง เขากลืนกินเต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้น กลืนกินกฎเกณฑ์กฎพลังทั้งหมดนอกจากห้าธาตุลงไป ทำให้ในชั่วพริบตา เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดก็บรรลุถึงสุดยอด
แม้จะไม่มีห้าธาตุ แต่ก็ยังเป็นสุดยอด!
และความสุดยอดนี้ก็ครอบคลุมทั่วทั้งโลกแห่งศิลาและผสานรวมกับเต๋าสวรรค์ หรือควรกล่าวว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากภายในตัวเฉินชิงจื่อที่เป็นเต๋าสวรรค์ได้ระเบิดดังกึกก้องราวกับผลักภูเขาพลิกทะเล
พลังฝึกตนของเขาเดิมทีก็บรรลุถึงระดับที่น่าตะลึงอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อเกิดการระเบิดขึ้น แค่เพียงกลิ่นอายก็ทำให้อวกาศสั่นคลอน พลังฝึกตนของเขาเคลื่อนจากระดับจักรวาลชั้นมหาวัฏจักรในชั่วอึดใจ ราวกับจะทะลวงขึ้นไป!
เสียงก้องกัมปนาทดังสะเทือนฟ้าเหมือนกับหัวใจเต้นดังออกมาจากภายในร่างของเฉินชิงจื่อ มันสะท้อนก้องอยู่ในจิตใจของสรรพชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดใจสั่นสะท้านขึ้นมาในชั่วขณะนี้
ราวกับมีพลังบางอย่างที่เหนือยิ่งกว่าโลกแห่งศิลากำเนิดออกมาจากเฉินชิงจื่อ ณ เวลานี้!
แต่เห็นได้ชัดว่าการทะลวงเช่นนี้ไม่ง่ายเลย หลังจากเสียงดังสนั่นราวกับใจเต้นสะท้อนก้องแล้ว แม้ว่ากลิ่นอายของเฉินชิงจื่อจะผันผวนพลิกผันรุนแรงจนทำให้โลกแห่งศิลาสั่นสะท้าน แต่กลับไม่พุ่งทะยานในระดับใหญ่นัก
ดวงตาของเฉินชิงจื่อมีประกายจางๆ ส่องวาบ เขาสัมผัสได้ว่า ถึงแม้ความพยายามก่อนหน้านี้จะล้มเหลว แต่นั่นก็เป็นเพราะยังสะสมพลังทะลวงฝ่าโซ่ตรวนไม่เพียงพอ ตราบใดที่ตนดูดซับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่กลืนกินมาจนสมบูรณ์แล้ว เช่นนั้นการทะลวงโซ่ตรวนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“หลังจากระดับจักรวาล…คืออะไร” เฉินชิงจื่อพึมพำ เขาไม่ได้ลองดูอีกครั้งในทันที แต่หันหน้าไปมองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อก็ถูกเสียงกึกก้องราวกับหัวใจเต้นนั่นสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน ตอนนี้กำลังจ้องสบตากับเฉินชิงจื่อ
ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อก้มหน้าคำนับให้กับเฉินชิงจื่อ เขาไม่ได้เอ่ยอะไร เฉินชิงจื่อก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน เพียงแต่ประกายแสงในส่วนลึกของดวงตามีความอ่อนโยนผุดขึ้นมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจแผ่วเบาในก้นบึ้งจิตใจด้วย
“ศิษย์น้องเล็ก…ชีวิตนี้ของศิษย์พี่ใช้เข่นฆ่าสังหาร ทำเรื่องราวที่ไม่รู้ถูกผิดลงไปมากมาย”
“ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าและความเสียใจ ข้าเหนื่อยล้ายิ่งนัก…”
“เข้ารู้เป้าหมายของเว่ยยางจื่อ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการยืมร่างของข้า จะครอบครองก็ได้ หรือบรรลุตามแผนการบางอย่างก็ดี เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นปัญหาหรอก…”
“เพราะว่าข้าก็คิดจะยืมเป้าหมายของเขาเพื่อดูว่าเต๋าของข้าคืออะไร…”
“ขณะเดียวกัน…ข้าก็ต้องทำภารกิจของสำนักแห่งความมืดด้วย คำพูดของอาจารย์ก่อนวาระสุดท้ายนั้น ข้ายังไม่ลืม”
“ข้าก็รู้ตัวตนและที่มาของเจ้าเช่นกัน ในเมื่อลิขิตว่าเจ้าจะต้องจากไปแล้ว…เช่นนั้นศิษย์พี่ก็จะใช้วิธีการของตัวเองไปผนึกพลังทั้งหมดที่ขัดขวางไม่ให้เจ้าจากไป มันไม่ไร้ค่าหรอกนะ…ความสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้ากับข้าน่ะ”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าข้าจะทำได้หรือไม่ แต่ต่อให้สุดท้ายข้าจะล้มเหลว แต่คิดดูแล้ว…ข้าได้มอบโอกาสไปจากที่นี่ในอนาคตให้แก่เจ้าด้วย”
“เจ้าไปยั่วยุตระกูลไม่รู้สิ้นก็เพื่อทำให้ข้าเห็นพลังต่อสู้ของเว่ยยางจื่อชัดๆ เช่นนั้นข้า…ก็จะทำให้เจ้าได้เห็น…ว่านอกโลกแห่งศิลามีอันตรายและอุปสรรคอะไรอยู่”
“บางที…นี่อาจเป็นการจากลาตลอดกาล” เฉินชิงก้มหน้าพึมพำ คำพูดเหล่านี้เขาไม่ได้เอ่ยกล่าว เพียงดังก้องอยู่ในใจเท่านั้น เขามองดูหวังเป่าเล่อโค้งคำนับ มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มออกมา
รอยยิ้มนี้มาพร้อมกับความไม่เสียใจและความแน่วแน่ เขาหันหน้าจ้องมองไปยังส่วนลึกของอวกาศ จากนั้นเขาก็หลับตาลง นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอวกาศ เข้าไปย่อยเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่กลืนกินเข้าไปในร่างอย่างเต็มกำลัง
“เมื่อย่อยสลายจนสมบูรณ์ นั่นก็คือวันที่ข้า…เฉินชิงจื่อ จะทะลวงโลกาแสวงหาเต๋า!”
………………