หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1262 มาถึงอีกครั้ง!
สิ่งที่ผู้อาวุโสเซี่ยกล่าวนั้นถูกต้อง จริงๆ แล้วไม่เพียงแค่เขา ไม่ว่าจะเป็นประมุขกฎสวรรค์ หรือว่าผู้อาวุโสสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ หรือว่าต้นตระกูลของสำนักดาราจันทร์ท่านนั้น ล้วนเดาเหตุสัมพันธ์ออกตั้งแต่ที่หวังเป่าเล่อมาแล้ว
หากจะกล่าวว่าในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดในโลกแห่งศิลาทุกท่านกังวลเรื่องผลการศึกล่ะก็ หวังเป่าเล่อย่อมเป็นผู้ที่กังวลมากที่สุด
สรรพชีวิตสามารถรอคอยผลการต่อสู้นี้ได้ ผู้เยี่ยมยุทธ์แต่ละท่านสามารถเฝ้ารออย่างเงียบๆ ได้ แต่หลายขวบปีที่หวังเป่าเล่อเฝ้ารอนั้น ความกังวลในใจของเขายิ่งมาก็ยิ่งทวี เขามิอาจรอได้อีก
เขาอยากใช้ความสามารถทั้งหมดที่ตนมี ทดลองดูอีกครั้ง ไปดูความคืบหน้าของสงครามในครั้งนี้ด้วยตาตัวเอง
แต่หวังเป่าเล่อเข้าใจดี อาศัยพลังฝึกปรือของตนในยามนี้ ต่อให้อยู่ในระดับสูงสุดของจักรพิภพขั้นกลางแล้ว หรือความสามารถในการต่อสู้เทียบเท่าระดับจักรวาลขั้นกลางชั้นสูงสุดก็ตาม หรือต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้สักนิด ทว่าเมื่อเทียบกับเฉินชิงจื่อแล้วยังคงมีระยะห่างค่อนข้างมาก
เฉินชิงจื่อที่หลอมรวมเต๋าสวรรค์แล้ว ได้เข้าไปอยู่ในระดับที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ดังนั้นแล้ว…เมื่อทราบถึงพลังของตัวเองดีแล้ว หวังเป่าเล่อจึงไปหาทุกคนเพื่อขอยืมสมบัติล้ำค่าของพวกเขา
กระบี่สำริดโบราณ ประกายคมกริบบุกสังหาร สามารถตัดผ่านความว่างเปล่าได้!
กระบองเจ็ดวิญญาณ พลังทำลายสะท้านดารา บดขยี้สิ่งกีดขวางเป็นผุยผง!
สมุดแห่งชะตา แฝงด้วยวิชาแห่งเวลา ควบคุมความทรงจำจักรวาล สยบทุกกระแสจิต!
ภาพวาดดาราจันทร์ เร้นลับเป็นที่ยิ่ง หวังเป่าเล่อไม่ได้เปิดออกดู แต่อาศัยจากสัมผัสนั้น เขารู้สึกได้ว่าม้วนภาพวาดนี้ผนึกกลิ่นปราณสะท้านฟ้า ในเวลาที่สำคัญสามารถผนึกได้ทุกสิ่ง!
ธูปตระกูลเซี่ย แฝงไปด้วยโชคแห่งความรุ่งโรจน์ ก็เหมือนกับการผงาดขึ้นของตระกูลเซี่ย ก็เหมือนกับที่ในยามนี้ ตระกูลเซี่ยยังคงไร้ความเสียหายดุจเก่า กระแสแห่งโชคแผ่ซ่านทั่วอาณาเขต สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมาก!
เมื่อมีสมบัติทั้งห้าที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลกศิลาปัจจุบันนี้แล้ว หวังเป่าเล่อค่อยมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแล้วโดยที่ไม่ลังเลสักนิด เขาก็พุ่งตัวไปยังสุดเขตของจักรวาลด้วยเสียงอันดัง
แต่แม้จะอยากไปยังตรงสุดเขตของจักรวาลก็ตาม เขาก็ไม่อาจกระทำได้โดยอาศัยมิติชั้นนี้ ก็เหมือนคราแรกที่ตามหาจื่อเย่ว์ สถานที่ที่ไป จริงๆ แล้วไม่ว่าจะระดับชั้นใด ก็ล้วนแต่เป็นสุดเขตแล้ว
แต่ว่าสถานที่นั้น…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ที่ที่หวังเป่าเล่อมุ่งจะไปในครานี้ ที่ที่เขาคิดจะไปไม่ใช่สุดเขตจักรวาลตามความหมายปรกติ แต่คือสถานที่ว่างเปล่าซึ่งถูกทำลายไปแล้ว
เมื่อพกพาความคิดนี้ หวังเป่าเล่อก็ทวีความเร็วขึ้น แม้ว่าสำหรับลำแสงที่สาดส่องไปทั่วจักรวาล คลื่นทะเลลำแสงเหล่านี้จะกระทบสรรพสิ่งทั้งหมด ทำให้เหล่าสิ่งที่มีวิญญาณทั้งหลายไม่อาจเดินทางข้ามอวกาศได้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว แม้จะมีอุปสรรคเช่นกัน แต่หลังจากเคลื่อนกระแสปราณแล้ว ความเร็วของเขาก็ระเบิดออกอย่างน่าอัศจรรย์ ในชั่วแล่นลมหายใจนั้นเขาก็มาถึงสุดเขตแดนเก่า หลังจากข้ามผ่านตรงนั้นไปแล้วก็คือเขตดวงดาราแตกสลาย เผยให้เห็นความว่างเปล่าด้านหลัง
และโดยไม่มีความลังเลแม้เล็กน้อย ในพริบตานั้นหวังเป่าเล่อกระโจนเข้าสู่ความว่างเปล่า เพียงแต่ว่าเขาสัมผัสได้เลาๆ ว่า ความว่างเปล่าในที่นี้ คล้ายมิได้มีอยู่จริง เพราะบรรดาผู้ที่เข้ามาอยู่ในเขตว่างเปล่าและทำได้ถึงขนาดนี้ สิ่งที่จำกัดพวกเขานั้นมิได้มีมากนัก
จริงๆ แล้วหากผู้ฝึกตนระดับจักรวาลผู้ใดลงมือ ก็สามารถฉีกมวลดาราออกแล้วเข้าสู่ความว่างเปล่าที่ใดก็ได้ ในส่วนของผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพ ล้วนทำได้เช่นกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าความว่างเปล่าใต้จักรวาลนี้ มิใช่เขตสิ้นสุด
“ความว่างเปล่าใต้อวกาศ น่าจะมีหลายชั้น…” หวังเป่าเล่อหรี่คา ความทรงจำยามที่เขามองเฉินชิงจื่อจากไปเมื่อหลายปีก่อนหน้าหวนระลึกขึ้นมา ในยามนั้นวิธีการที่เฉินชิงจื่อใช้ แม้ว่าเขาจะมองไม่เข้าใจทั้งหมดแต่เขาก็สามารถมองออกถึงเส้นสายปลายเหตุได้ น่าจะเป็นการใช้พลังชีวิตของตนบวกกับพลังของเต๋าสวรรค์ หลอมรวมกับพลังบัญชาที่ได้รับสืบทอดเฉพาะตน จากนั้นก้าวเข้าสู่มิติบุกเข้าซากแห่งความว่างเปล่าแท้จริงไป
หวังเป่าเล่อทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงแค่ยืมพลังหมาน ในยามนี้เขาเคลื่อนกระแสจิต ในพริบตานั้นกระบี่สำริดโบราณพลันปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา ประกายอันคมปลาบของมันพลันปะทุขึ้นมา แล้วฟาดไปยังเบื้องหน้ารุนแรง
การฟันลงครั้งนี้ ความว่างเปล่าสั่นหมุน รอยแยกขนาดใหญ่ที่เหมือนฟันผ่าผิวทะเลได้บังเกิดขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ เขาขยับกายแล้วพุ่งเข้าไป
ยิ่งมาก็ยิ่งเพิ่มความเร็ว ไม่รู้ว่าพุ่งผ่านมาแล้วกี่ชั้น เพียงแต่ว่าเมื่อหันมองไปรอบกายแล้ว ก็ยังคงเป็นความว่างเปล่า
“ยังไม่พอ…” ในใจหวังเป่าเล่อพึมพำ เขาโบกกระบองเขี้ยวหมาป่าของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ในพริบตาก็หลอมรวมก่อเกิดเป็นเสียงอสูรคำรามขนาดยักษ์ ในชั่วพริบตากระบองนี้สาดแสงโชติช่วง พุ่งไปยังความว่างเปล่าสยบทุกสิ่ง
การใช้พลังสยบนี้ทำให้ความว่างเปล่าส่งสัญญาณเหมือนจะพังทลาย เมื่อรวมเข้ากับกระบี่สำริดโบราณ ในชั่วกระพริบตาก็กระจายไปทั่วเขตว่างเปล่านี้ หวังเป่าเล่อยิ่งทวีความเร็ว รีบเร่งไปตลอดทาง ในความว่างเปล่าที่เหมือนหมอกอันไร้ทิศนี้ ไม่รู้ว่าเขาวิ่งผ่านมานานกี่ชั้นหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อถึงค่อยหยิบเอาธูปแห่งโชคของต้นตระกูลเซี่ยออกมา
ธูปนี้ยังคงติดไฟ ทำให้เกิดกระแสพลังแห่งโชคที่มองไม่เห็น ไหลเข้ามารวมตัวกันจนก่อเกิดกายภาพ ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นหอกยาวสีม่วงเล่มหนึ่งแล้วพุ่งทะยานแหวกความว่างเปล่าไป
ในชั่วกระพริบตา สัญญาณการพังภินท์ของความว่างเปล่าเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากสามสมบัติล้ำค่าผลัดกันออกมาเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็พยายามพุ่งไปข้างหน้าไม่หยุด เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้
ชั่วพริบตา…ก็ผ่านไปอีกสองปี!
สำหรับเฉินชิงจื่อ ใช้เพียงก้าวเดียวก็สามารถเข้าสู่ทะเลรวมกระแสจิตของเหล่าสรรพชีวิตได้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เขาทำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่อาศัยมหาสมบัติทั้งสามชิ้น และในวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสองปี หลังจากเสียงอันดังครั่นคร้ามสะท้านแปดทิศ ในความว่างเปล่าที่ไม่รู้หนาสักเท่าใดนี้ ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ฝ่าออกมาได้!
ในพริบตาถัดมา หวังเป่าเล่อก็เหยียบย่างไปยัง…เขตสุดแดนของจักรวาล ซึ่งเป็นเขตความว่างเปล่าที่แท้จริงในโลกแห่งศิลา เมื่อมองออกไป รอบด้านล้วนไม่มีอะไรเลย มีเพียงความมืดมิด แต่หวังเป่าเล่อราวกับสามารถสัมผัสถึงความทรงจำของสรรพสัตว์ได้
กระทั่งเขาไม่จำเป็นต้องเหลือบมองด้วยซ้ำ แทบจะในชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อก้าวเข้าสู่ที่นี่ ราวกับว่าความทรงจำและข้อมูลมากมายไร้ที่สิ้นนั้น ต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาจากรอบด้านท่วมฟ้ามิดดิน ราวกับจะพลิกภูเขาคว่ำทะเล ราวกับการมาของหวังเป่าเล่อก่อให้เกิดวังวนหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะสมัครใจหรือไม่ เหล่าความทรงจำไม่รู้สิ้นที่เบียดแน่นสถานที่นี้ก็จะพยายามดึงดันไหลเข้ามาหาเขา
และในพริบตาที่ถูกความทรงจำพุ่งชนนั้น แม้ว่าพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อไม่ธรรมดา แต่ก็ยังได้เหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรงยิ่ง กระทั่งว่าเกือบจะทำให้ดวงวิญญาณเทพของตัวเขาเองนั้นแหลกสลาย
พูดได้ว่าไม่เพียงแค่หวังเป่าเล่อที่เป็นเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นตัวคนอื่นๆ นั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ทั้งโลกศิลานี้…มีเพียงเฉินชิงจื่อ เนื่องจากเพราะเข้าสู่อีกระดับชั้นไปแล้วถึงได้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร้อุปสรรค
โดยเฉพาะ…นี่คือสิ่งที่หลัวทิ้งเอาไว้ เป็นสถานที่ผนึกเต๋าสุดท้าย!
ทว่าหวังเป่าเล่อเองก็เตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ เกือบจะในพริบตาที่ความทรงจำนั้นหลั่งไหลเข้ามา เขาก็เริ่มผนึกกระแสจิตเทพของตนเอง อีกทั้งยังหยิบสมุดแห่งชะตาออกมา!
สิ่งแรกไม่ค่อยมีประโยชน์นัก แต่ว่าสิ่งหลังนั้น…ดูจะมีผลอันน่าอัศจรรย์ที่นี่ เกือบจะในพริบตาที่มันโผล่ออกมานั้น ก็ทำหน้าที่ดูดกลืนความทรงจำสรรพสัตว์ในความว่างเปล่านี้แทนหวังเป่าเล่อ
สมุดแห่งชะตา เดิมก็มีเพื่อบันทึกทุกสิ่ง ดังนั้นแล้วในยามนี้ต่อให้รับหน้าที่ดูดซับแทนทั้งหมดแม้ตัวเล่มจะสั่นสะท้านไม่หยุด ทว่ามันยังคงส่องแสงสว่างไสวเหมือนปรกติทุกประการ
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาถือสมุดแห่งชะตาเดินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ เพราะการมีอยู่ของสมุดแห่งชะตา ดังนั้นจึงไม่ปรากฏภาพใดๆ ขึ้นใต้เท้าของเขา แต่หลังจากเดินไปได้เก้าก้าวนั้น…เขาก็มองเห็น…ในความว่างเปล่าด้านหน้า พลันปรากฎบานประตูหินที่ลักษณ์โบราณคร่ำครึขนาดยักษ์บานหนึ่ง!
ประตูหินบานนี้ปิดอยู่ ไม่มีที่ผลักเปิด ดังนั้นแล้วจึงมองไม่เห็นว่าด้านหลังของประตูหินนี้มีสิ่งใด แต่ในพริบตาที่มองเห็นประตูหินนี้ ในสมองของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏแรงสั่นสะเทือนรุนแรง ในพริบตานั้นราวกับจะกระจ่าง เขาพลันเข้าใจทันทีว่า…
“ด้านหลังประตูหิน คงจะเป็นสถานที่ที่ศิษย์พี่ต่อสู้อยู่!”
“ส่วนคู่ต่อสู้ของศิษย์พี่…” ในระหว่างที่สมองของหวังเป่าเลิกพลิกค้นอยู่นั้น พลันสมองของเขาคิดไปถึงภาพการปรากฎตัวของตะขาบตัวหนึ่งโอบล้อมบนแผ่นศิลาซึ่งเขาได้พบเมื่อครั้นเดินออกจากโลกแห่งศิลานี้บนดาวชะตา!!
ท่ามกลางความเงียบ ดวงตาหวังเป่าเล่อทอประกาย กำลังคิดจะก้าวออกไป แต่ในยามนี้…กระแสจิตเทพขนาดไพศาล พลันพัดบ่าเข้ามายังเบื้องหน้าราวพายุคลั่ง พลังรุนแรงพัดเข้ามา
“หยุด!”
หลังจากกระแสจิตนี้สะท้อนไปมา ฝ่ามือขนาดยักษ์อย่างไร้ที่สิ้น ราวกับว่าจะครอบคลุมไปทั่วทั้งผืนความว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ นั่นคือ…มือของหลัว
……………………….