หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1273 อักขระเซียน!
มีบางคนที่ลืมตาขึ้น แต่ในสายตาเขากลับเต็มไปด้วยอุปสรรคและหมอกหนาทึบมากเกินไปจนมองเห็นไม่ชัดและไม่รู้ว่าประกายไฟแห่งชีวิตอยู่ที่ใดหรืออาจเป็นเพราะตัวพวกเขาเองหรืออาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมและพันธนาการอันยุ่งเหยิง
คนพวกนี้อยู่ในโลกเป็นส่วนใหญ่ ไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาไม่มีความสุข แต่ก็ไม่ได้มีอิสระ บางทีพวกเขาอาจไม่รู้ หรือบางทีอาจจะรู้ ชีวิตคือการฝึกฝนที่ใช้เวลาเป็นปราณวิญญาณ แต่พวกเขายังต้องตระหนักรู้ ตรัสรู้และรู้แจ้งอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็มีบางคนเช่นกันที่ก้าวเดินไปในชีวิตนี้และค่อยๆ ไปถึงอีกระดับ พวกเขาต่างหลับตาลง แต่โลกทั้งใบกลับชัดเจนยิ่งขึ้นในการรับรู้ของพวกเขาและยิ่งสัมผัสได้อย่างแม่นยำ เห็นชัด เห็นทะลุปรุโปร่ง งดงามยิ่งขึ้น มีสีสันมากขึ้นและเต็มไปด้วยประกายไฟแห่งชีวิต
คนประเภทนี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนหวังเป่าเล่อเคยเป็นคนประเภทแรก แต่ตอนนี้เป็นประเภทหลัง และยังก้าวเดินไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทางประเภทหลังด้วย ไม่ใช่แค่การตรัสรู้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ยังรวมถึงจิตใจรู้แจ้งเห็นจริง
ความทรงจำตลอดชีวิตที่ผ่านมาผุดขึ้นในหัว เงาร่างแต่ละคนแวบเข้ามาในความคิดหวังเป่าเล่อหลับตาขณะเดินไปในจักรวาลและเอ่ยเบาๆ
“ชีวิตคือการฝึกตน…ฝึกใจ ฝึกนิสัย ฝึกตัวเอง”
ขณะพึมพำหวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา รอยยิ้มของเขาไร้เดียงสา ตรงไปตรงมาและสงบสุข และหลังจากทั้งสามอย่างผสานเข้าด้วยกัน เส้นผมที่ปลิวไสวขณะก้าวเดิน…ก็พริ้วไหวอยู่บนร่าง
ค่อยๆ เดินไปยังสถานที่ที่ศิษย์พี่มอบให้ทีละก้าวๆ
ดวงตาของเขาปิดสนิทตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องลืมตาและไม่อาจลืมตาได้
เขาไม่รู้ว่าระดับการฝึกตนของตนในตอนนี้คือระดับใด บางทีอาจเป็นระดับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักร หรืออาจจะมากกว่านั้นอีกหน่อยเป็นระดับที่เรียกว่าจักรวาล หรือบางที…อาจเป็นอีกระดับที่ไม่มีใครรู้จัก
ระดับนั้นนอกจากเขาแล้ว ในโลกศิลานี้คงมีเพียงศิษย์พี่ที่ไปถึง
แม้จะไม่เข้าใจระดับการฝึกตนของตนมากนัก แต่มีเรื่องหนึ่งที่หวังเป่าเล่อรู้ดีมาก เขารู้ว่าทันทีที่ตนลืมตาขึ้น ระดับการฝึกตนที่เขาข่มกลั้นอยู่จะต้องระเบิดออกมา และจุดสูงสุดของการระเบิดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่โลกศิลาจะทนรับได้
“รออีกหน่อย” หวังเป่าเล่อดูเหมือนจะพูดกับตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนพูดกับความว่างเปล่า เหยียบเท้าลงก้าวเดิน วินาทีต่อมาร่างของเขาก็ราวกับถูกลบหายไปจากจักรวาล
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ที่จุดสิ้นสุดของจักรพิภพสำนักเสริมแล้ว ตรงนั้นคือจักรวาลอันไกลโพ้นที่ซึ่งมีดวงดาวเพียงไม่กี่ดวง มีเพียงสะเก็ตดาวนับไม่ถ้วนที่ลอยเคว้งราวกับสายน้ำ ด้วยแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงใดๆ ก็ตามทำให้มันไม่กระจัดกระจายและแยกจากกัน แต่ก่อตัวเป็นวงแหวนศิลาขนาดมหึมาที่ไม่อาจแยกหัวท้ายได้
หากมองจากมุมสูงจะเห็นได้ลางๆ ว่าสะเก็ดดาวที่อยู่ตรงนี้มีต้นกำเนิดเดียวกัน กล่าวคือ…พวกมันเป็นหนึ่งเดียวกัน
ราวกับว่าหลายปีก่อนที่นี่มีดวงดาวขนาดใหญ่หรือสะเก็ดดาวมหาศาล แต่กลับพังทลายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุจึงได้มีสภาพอย่างที่เห็นตรงหน้า
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นหลังจากมาที่นี่แล้วแผ่ดวงจิตเทพออกไปถึงขีดสุดก็ไม่อาจตรวจพบสิ่งผิดปกติใด แม้แต่ระดับจักรวาลก็เช่นกัน
ราวกับที่แห่งนี้ธรรมดามาก กระทั่งหลายปีมานี้มีผู้ฝึกตนเคยเข้ามาในวงแหวนสะเก็ดดาว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พบสิ่งใดและยิ่งทำให้ที่นี่ค่อยๆ ไม่มีความลึกลับอะไร
ทว่า…ในการรับรู้ของหวังเป่าเล่อขณะนี้ ทุกอย่างในที่แห่งนี้แตกต่างออกไป แม้จะยังคงเป็นวงแหวนสะเก็ดดาวและไม่มีสิ่งมีค่าอะไรซ่อนอยู่ทั้งนอกและในวงแหวน แต่…ที่นี่กลับมีกระแสเซียนบางเบาจนแทบจะตรวจไม่พบ! !
กระแสเซียนนี้บางเบาเกินไป บางเบาจนถึงขั้นที่ว่าระดับจักรวาลก็ยังสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย บางเบาจนถึงขั้นที่ส่วต่อให้เป็นเว่ยยางจื่อคนก่อนก็ยังไม่รู้ แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อก่อนหน้าที่จะรู้แจ้ง ต่อให้มีวิชาสืบทอดเซียนก็ยังไม่ได้อะไรเหมือนคนอื่นๆ
มีเพียงตอนนี้ที่ได้รู้แจ้งแล้วและกระแสเต๋าแปลงเป็นกระแสเซียนแล้ว ด้วยการอาศัยสัมผัสเชื่อมต่อจากต้นกำเนิดเดียวกัน หวังเป่าเล่อจึงสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของที่นี่
“ศิษย์พี่ช่าง…เป็นอัจฉริยะจริงๆ” หลังจากสัมผัสได้ไม่นาน หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงเบา
แท้จริงแล้วที่นี่ไม่ได้มีอะไรสำคัญซ่อนอยู่ เพราะไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะวงแหวนสะเก็ดดาวตรงหน้าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้ว
เพราะ…หลายปีก่อนสิ่งที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่ดวงดาวหรือสะเก็ดดาวยักษ์ แต่เป็น…อักขระโบราณ!
อักขระโบราณนี้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วก่อตัวเป็นกลุ่มสะเก็ดดาว สะเก็ดดาวทุกดวงในที่แห่งนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอักขระโบราณนั่น อีกทั้งเมื่อมันเคลื่อนที่ไปรอบๆ ตำแหน่งของสะเก็ดดาวก็เบี่ยงเบนไปนานแล้วเหมือนกับรูปภาพที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและถูกจัดวางไว้ตรงหน้ามั่วๆ เหมือนกับตัวต่อ
หากมีคนประกอบมันกลับเป็นเหมือนเดิมได้อักขระโบราณก็จะปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง แต่…ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าอักขระโบราณเดิมเป็นแบบไหนการประกอบมัน…จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ส่วนกระแสเซียนที่บางเบาจนแทบจะตรวจไม่พบนั้นหากถูกค้นพบก็จะตามหารูปแบบอักขระโบราณเดิมได้จากในการรับรู้…ข้อจำกัดเช่นนี้ยังทำให้คนที่สามารถรับวิชาสืบทอดของเฉินชิงได้จึงมีเพียง…เซียนที่มีต้นกำเนิดเดียวกันเท่านั้น!
หลังจากรับรู้ทุกอย่างแล้ว หวังเป่าเล่อก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นช้าๆ โบกไปยังวงแหวนสะเก็ดดาวตรงหน้าเบาๆ ทันใดนั้นกระแสเซียนบางเบาที่แทรกซึมอยู่ในที่แห่งนี้ก็มารวมตัวกันในทันทีและผสานเข้ากับมือขวาของหวังเป่าเล่อ หลังจากถูกเขารวบรวมมาจนหมดแล้ว ในหัวเขาก็ค่อยๆ มีอักขระโบราณตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
ทันทีที่อักขระโบราณนั้นผุดขึ้นในหัว จักรวาลโดยรอบก็เริ่มปั่นป่วน มีเปลวไฟที่มองไม่เห็นซึ่งกลายเป็นคลื่นความร้อนออกมาจากทั่วทุกสารทิศทำให้จักรพิภพผืนนี้บิดเบี้ยวและมืดสลัว
ความรู้สึกกดดันก็แผ่ขยายออกไปอย่างหนาแน่น
ผ่านไปสักพักมือขวาที่หวังเป่าเล่อยกขึ้นก็กระแทกกำปั้นชี้ไปทางวงแหวนสะเก็ดดาวตรงหน้า ทันใดนั้นวงแหวนสะเก็ดดาวก็สั่นสะเทือนและกระจัดกระจายแยกออกจากกัน
และในพริบตาที่มันแยกออกจากกันนั่นเอง ดวงจิตเทพหวังเป่าเล่อก็แผ่ขยายออกไปครอบคลุมสะเก็ดดาวทุกดวง จากนั้นก็ควบคุมตามรูปร่างอักขระโบราณที่ปรากฏขึ้นในหัว เริ่ม…กู้คืน!
เสียงคำรามและเสียงหวีดหวิวดังไปทั่วทั้งจักรพิภพสำนักเสริมพร้อมกับการเคลื่อนที่สะเก็ดดาวนับไม่ถ้วนและอักขระโบราณนั้นค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา ความปั่นป่วนก็ยิ่งขยายออกไปทำให้สิ่งมีชีวิตในจักรพิภพสำนักเสริมต่างใจสั่นสะท้านรุนแรงในพริบตาเดียว
ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเองก็หน้าเปลี่ยนสี สัมผัสสวรรค์ก่อคลื่นลูกใหญ่ ระดับการฝึกตนระดับจักรวาลเองก็ยังใจสั่นระริกอย่างรุนแรง
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ก็เช่นกัน ต่อให้เขาจะเคยมีระดับการฝึกตนดีเลิศ แต่ตอนนี้จิตใจก็ยังสั่นเทิ้ม
ไม่ว่าจะสั่นระริกหรือสั่นเทิ้มก็ล้วนไม่ได้เกิดจากความเกลียดชัง แต่เป็นสัญชาตญาณเหมือนกับตัวเองกลายเป็นคนธรรมดากำลังเผชิญหน้ากับเทพเจ้าที่ถูกปลุกให้ตื่น!
เทพเจ้าที่ไม่อาจจ้องมองได้โดยตรง!
เทพเจ้าที่ไม่อาจล่วงเกินได้!
เทพเจ้าที่ไม่อาจขัดขวางได้!
…………………………