หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1296 ย้อนรอยคะนึง
เดินอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ฤดูกาลทั้งสี่ ข้ามผ่านชีวิตมนุษย์ หวังเป่าเล่อเดินไปเช่นนี้ ไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ยิ่งเดินหัวใจของเขาก็ยิ่งสงบ ยิ่งเดิน จิตวิญญาณของเขาก็ยิ่งสุขสงบพบความสันติมากขึ้น และยิ่งเดิน สายตาของเขาก็ยิ่งล้ำลึก เวลาค่อยๆ ไหลผ่าน พายุหิมะเปลี่ยนเป็นลมฝน แสงจันทร์เข้าแทนที่พระอาทิตย์ ทิวากลายเป็นราตรี วนเวียนเช่นนี้ร่ำไป หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตนเองข้ามผ่านกี่เขตแดน เดินไปในแดนดินมากเท่าไร พบพานภูเขาและทะเลกี่ที่ต่อกี่ที่แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็มองเห็นสะพานแห่งหนึ่ง สะพานนี้ ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา สูงส่งราวสวรรค์ ยิ่งใหญ่สะท้านจิตใจ ไพศาลเหลือพรรณนา รูปสลักโบราณ อักขระที่ไม่เคยพบ ก้อนศิลาเขียวดำรวมไปถึงอสูรที่อยู่รายล้อมนั้นทำให้สะพานแห่งนี้ ราวกับถูกเสกสรรขึ้นมาโดยจักรวาลเอง แม้ไม่อาจเรียกได้ว่างดงาม แต่ในความหยาบกระด้างของมันแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามมากมาย! กลิ่นปราณพุ่งเข้ามาทำให้หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าสะพานดังกล่าวหัวใจสั่นสะท้าน ในเวลาเดียวกันก็มีเจตจำนงอันเก่าแก่ราวกับสายลมที่พัดโบกข้ามกาลเวลาโบราณนับหมื่นปีก่อนหน้า ดังก้องไปรอบกายหวังเป่าเล่อ ราวกับจะพาเขาท่องฝันกลับสู่บรรพกาล ไปยังต้นกำเนิดอันป่าเถื่อนรกร้าง ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลม ราวกับสัมผัสได้ถึงเสียงเพลงขลุ่ยอันอ้างว้างดังสะท้อนไปทั่ว และท่ามกลางเสียงร่ำไห้ซึ่งสะท้อนก้องนี้ ในสายตาของหวังเป่าเล่อก็มองเห็นเงาร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนสะพาน เงาร่างเหล่านี้ส่วนมากเป็นผู้ฝึกตน แต่ละคนล้วนแฝงด้วยกระแสพลังฝึกตนในระดับที่สั่นสะเทือนฟ้าดินได้ พวกเขา…ปรากฏกายอยู่บนสะพาน ในช่วงวันเวลาอันแตกต่าง กาลเวลาอันผิดแผก ต่างเดินอยู่บนสะพานนี้ไปเรื่อยๆ “นี่ก็คือ…” ชั่วอึดใจให้หลัง หลังจากที่เงาร่างบนสะพานเหล่านั้นค่อยๆ พร่าเลือนจางหาย ในตอนที่สะพานนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เขาก็เอ่ยปากพึมพำเสียงเบา “สะพานสู่สวรรค์” ผู้ที่เอ่ยคำพูดนี้ย่อมมิใช่หวังเป่าเล่อ แต่เป็นท่านพ่อหวัง…ผู้ที่ไม่รู้มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อตั้งแต่เมื่อใด ท่านพ่อหวังสวมเสื้อชุดขาวพิสุทธิ์ เส้นผมขาวโพลน ดวงตาสงบนิ่ง เขาแหงนหน้ามองสะพานสู่สวรรค์นี้เช่นเดียวกัน หลังจากนั้นก็มองหวังเป่าเล่อที่ยามนี้ประสานมือคารวะมาทางเขา “เป่าเล่อ เจ้ามาครั้งนี้ เตรียมตัวมาแล้วหรือ?” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยปากเสียงเบา “ยังคงขอให้ผู้อาวุโสให้เวลาข้าอีกสักหน่อย จิตเต๋าแห่งความยึดติดของข้า บัดนี้ยังขาดอีกเล็กน้อยจึงจะสมบูรณ์” “ไม่มีปัญหา ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่” ท่านพ่อหวังมองหวังเป่าเล่อครั้งหนึ่งก่อนจะพยักหน้า แล้วนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนสะพานแห่งนั้น หวังเป่าเล่อค้อมกายลงอีกรอบ เขานั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าสะพานนั้นเช่นกัน จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมองไปยังฝ่ามือของตน มองไปยังโลกมนุษย์ข้างในแล้วค่อยๆ หลับตา วิญญาณกลับสู่ต้นทาง ในฐานะที่เป็นศิษย์น้อง บุญคุณที่ศิษย์พี่เมตตาต้องตอบแทน นี่คือเจตนาของหวังเป่าเล่อและเป็นเหตุผลของเขา เช่นเดียวกัน ในฐานะมนุษย์ ความกตัญญูนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น…เบื้องหน้าสะพานสู่สวรรค์นี้ หวังเป่าเล่อทิ้งร่างเนื้อไว้ ณ ที่นี่ ส่วนวิญญาณของเขากลับเข้าสู่โลกแห่งฝ่ามือ หวนสู่โลกแห่งศิลา แล้วเข้าไปยังระบบสุริยะ กลับไปยัง…โลก บิดามารดาของเขา บัดนี้แก่ชรา แม้ว่าเคราะห์ภัยในโลกแห่งศิลาไม่ได้กระทบมายังระบบสุริยะมากนัก แต่กาลเวลาที่เคลื่อนคล้ายก็ยังทำให้เส้นผมสีดำของบิดามารดาหายไป อีกทั้งทิ้งรอยตีนกาไว้ให้พวกท่าน การกลับมาของหวังเป่าเล่อทำให้บิดามารดาทั้งสองยินดีอย่างยิ่ง ในส่วนของน้องสาวหวังเป่าเล่อนั้นแต่งงานไปนานแล้ว ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญ แม้การมีอยู่ของหวังเป่าเล่อจะทำให้ชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนคนทั่วไป แต่โดยสรุปแล้ว ก็มีความสุขดี มองเห็นบิดามารดามีความสุข แล้วยังมองเห็นน้องสาวสุขใจ หวังเป่าเล่อเองก็เบิกบาน เวลาค่อยๆ ผ่านไปช้าๆ ภายในโลกแห่งศิลา บนโลกมนุษย์ การกลับมาของหวังเป่าเล่อครั้งนี้ราวกับเขากลายเป็นคนธรรมดาทั่วไป เขาเคียงข้างบิดามารดาเพื่อเดินทางในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ในชาตินี้ แต่ละวันพ้นผ่าน เส้นผมสีขาวของบิดามารดาเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งสุดท้าย…พวกเขาจับมือของหวังเป่าเล่อ ภายใต้การทอดถอนใจของบิดา คำกำชับของมารดา คำปลอบประโลมเสียงเบาของหวังเป่าเล่อ สองผู้ชราก็ค่อยๆ หลับตาลงอย่างเนิบช้า หวังเป่าเล่อมีหนทางฝืนชะตาฟ้าแน่นอน เขามีกระทั่งวิธีที่จะให้บิดามารนั้นมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์อยู่ในโลกแห่งศิลา แต่คำเสนอแนะนี้กลับถูกทั้งสองปฏิเสธ เขาสัมผัสได้ถึงความยินยอมของผู้ชราทั้งสองพวกเขา…เพียงแค่อยากใช้ชีวิตธรรมดาที่เหลืออย่างสงบ หลังจากนั้นเกิดใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ชีวิตของทุกคน ย่อมต้องมีสิทธิตัดสินใจเรื่องของตนเอง ต่อให้เป็นบุตรของคนผู้นั้น ก็ไม่สมควรนำความปรารถนาของตนไปบังคับ หากเป็นเช่นนี้…ก็ไม่นับว่ากตัญญูแล้ว ความปรารถนาเดียวของมารดา ก็คือหลังจากเกิดใหม่นั้น ยังคงได้เกิดเป็นคนรักของบิดาหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ได้มีความรักในชีวิตอันแตกต่างกันไป แต่ละชาติภพล้วนอยู่เคียงคู่กัน สำหรับความปรารถนานี้ บิดาของหวังเป่าเล่อคล้ายต้องการจะคัดค้านในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แต่กลับถูกภรรยาถลึงตามอง ดังนั้นเขาจึงหลับตาลงอย่างว่าง่าย นี่มิใช่ความตาย แต่เป็นการเดินทางรอบใหม่ ดังนั้นแล้วไม่อาจเจ็บปวดใจ ทำได้เพียงแค่อวยพรเท่านั้น แต่หวังเป่าเล่อก็ยังอดไม่ได้ น้ำตาปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา แต่สีหน้านั้นกลับยิ้มละมัย เขาวาดหน้าศพดวงวิญญาณของบิดามารดาตน ก่อนจะกำหนดดวงชะตาแล้วส่งกลับเข้าวัฏสงสาร ก็เหมือนกับตอนที่ส่งศิษย์พี่ รอจนกระทั่งชาติถัดมาของบิดามารดาได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว มองดูพวกเขา รอยยิ้มของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งอ่อนโยน แล้วยังมีน้องสาว หวังเป่าเล่อจัดการบางสิ่งที่เหลือเอาไว้ให้นาง จะตัดสินใจเช่นไรต้องแล้วแต่น้องสาวของเขาแล้ว เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ในใจของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งสงบ หลังจากนั้นเขาก็ไปเดินอยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์ ท้องฟ้ากระหน่ำเม็ดฝน ในช่วงเวลาที่เดินผ่านนี้บนถนนผู้คนบางตา ท้องฟ้ายามนี้มองไป ดูขมุกขมัว ท่ามกลางสายฝนและความมืดทึมนี้เอง หวังเป่าเล่อเดินไปทีละก้าวๆ จนกระทั่งกำลังจะก้าวข้ามถนน เขาหยุดก้าวเดินแล้วหันกลับไปมองด้านหลังตนเอง ตรงหัวมุมถนนด้านหลังของตน เงาร่างงดงามร่างหนึ่งยืนอยู่ ในมือของนางถือร่มกันฝนสีแดง กะโปรงยาวสีขาว จับจ้องมายังตน เมื่อดวงตาประสานได้ประมาณสามอึดใจ หวังเป่าเล่อจึงค่อยยกยิ้มไปทางเงาร่างนั้น เขาประสานมือก่อนจะโค้งตัวลงต่ำครั้งหนึ่ง เงาร่างนั้นจมอยู่ในความเงียบ นางเก็บร่ม เผยให้เห็นใบหน้างดงามของหลี่หว่านเอ๋อร์ นางยอมให้สายฝนซัดสาดบนตัว ก่อนจะก้มตัวลงคำนับคืนให้แก่หวังเป่าเล่อ โดยมีถนนนี้กั้นขวาง หลังจากคำนับแล้ว ทั้งสองคนหันกาย เดินจากันออกไปไกล หวังเป่าเล่อเดินออกจากนครศักดิ์สิทธิ์ เดินไปยังสำนักเต๋านครศักดิ์สิทธิ์ ในหุบผาด้านหลังของสำนักเต๋า มีเส้นทางเดินป่าสายเล็ก สองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยดอกท้อบานสะพรั่ง งดงามตระการตา ฝนในที่นี้ราวกับจะหยุดลง คล้ายไม่กล้ารบกวน มีเพียงเสียงลมพัดหวิวโบกมาเรื่อยๆ ทำให้เหล่าดอกไม้นั้นร่วงหล่นโบยบิน แล้วล้อมรอบอยู่ทั่วบริเวณของเงาร่างงดงาม ราวกับว่ากำลังแข่งขันประชันกลิ่นหอม ไม่ยินยอมจากไป “ต้องไปแล้วหรือ?” โจวเสี่ยวหยาถามเสียงเบา “ใช่แล้ว” หวังเป่าเล่อเอ่ยตอบ “คงต้องพูดว่าแล้วเจอกันสินะ” โจวเสี่ยวหยาเงียบลง ไม่นานก็เอ่ยปากเสียงดัง แล้วเจอกัน ยังมีโอกาสได้เจอกัน “แล้วเจอกันนะ” หวังเป่าเล่อยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าหนักแน่น ช่วงเวลาที่ดอกท้อเริงระบำนี้เขาหันกายจากไปโดยไม่ได้คารวะ จากไปจากสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ บอกลาปรมาจารย์แห่งไฟผู้เป็นอาจารย์และผู้สนิทชิดเชื้อคนอื่น สุดท้ายแล้ว เขาก็มาถึงภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขานี้งดงาม ตั้งอยู่ในที่สูงสุดและมีหิมะปกคลุม ท้องฟ้ายังคงมีหิมะโปรยปราย พร่างพราวระยิบระยับ ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งเทพ บนยอดเขานั้นมีกระท่อมไม้แห่งหนึ่ง ยามที่หิมะตกมองไปแล้วราวกับบ้านไม้หลังนี้สวมชุดเจ้าสาวอันบริสุทธิ์ขาวสะอาด ในกระท่อมที่ขาวสะอาดดุจชุดเจ้าสาวนี้ สตรีนางหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ สีหน้ามุ่งมั่น ราวกับว่าการฝึกตนนั้นคือวิถีที่นางพึงกระทำไปชั่วชีวิต นางก็คือเจ้าเยี่ยเหมิง ในตอนที่หวังเป่าเล่อมาถึงนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เบิกตาทันที สีหน้างดงามเป็นเอกลักษณ์ของนางเผยรอยยิ้มสดใสราวดอกไม้ เอ่ยปากเสียงเบา “เป่าเล่อ สิ่งใดคือคู่เต๋าบำเพ็ญ?” “หนทางฝึกตนนั้นโดดเดี่ยว ต้องการมือประคองไประหว่างทาง สหายเต๋าที่เดินไปจนสุดทางด้วยกัน เป็นทั้งเพื่อน อาจารย์ และคู่รัก ให้ความสนิท อาวรณ์และคะนึงหา” หวังเป่าเล่ออมยิ้มตอบ “ประเสริฐ” เจ้าเยี่ยเหมิงแย้มยิ้ม รอยยิ้มของนางงดงามสง่า สายตาสงบสุข “ประเสริฐ” หวังเป่าเล่อเองก็ยิ้มเช่นกัน เขานั่งอยู่ข้างกายเจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะปิดตาลง ในยามที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว วิญญาณกลับคืนสู่ดินแดนเซียน มองดูท่านพ่อหวังที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนสะพาน นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อใสกระจ่าง เขาเอ่ยปากเสียงเบา “ผู้อาวุโสรอนานแล้ว ผู้เยาว์…เตรียมตัวพร้อมแล้ว” …………………….