หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1297 บรรลุเต๋า
ท่านพ่อหวังนั่งขัดสมาธิอยู่บนสะพานสู่สวรรค์ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้น แล้วมองหวังเป่าเล่ออย่างสงบจากนั้นจึงพยักหน้า เขาที่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่นั้นพลันยกมือขวาขึ้นมาชี้ไปยังสะพานสวรรค์ด้านหลังก่อนจะโบกมือส่งๆ ครั้งหนึ่ง ภายใต้การโบกมือครั้งนี้ ฟ้าดินเปลี่ยนผัน ลมเมฆพัดหมุน เกิดเสียงดังก้องกังวานไปทั่วแปดทิศ ในเวลาเดียวกัน สะพานสวรรค์เส้นแรกนี้ก็พลันมีแสงส่องจ้านับหมื่นจั้ง ศิลาแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นข้างสะพานจากความว่างเปล่าควบรวมจนก่อเกิดขึ้นมา พลังปราณโบราณ เข้มข้นแผ่กระจายไปทั่ว ความรู้สึกของกาลเวลาไหลผ่านเริ่มแผ่ขยายได้ชัดเจนกว่าเก่า สะท้อนทั่วทั้งแปดทิศ ภายในบริเวณโดยรอบพลันปรากฏวังวนขึ้น วังวนนี้ยิ่งใหญ่นัก มโหฬารเกินพรรณนา แล้วยังครอบคลุมทั้งท้องฟ้า แต่หากมองไปแล้ว…ก็จะพบว่าดินแดนเซียนแห่งนี้ไม่พบความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับทุกอย่าง เป็นแค่ความเข้าใจผิดอย่างไรอย่างนั้น ในวังวนที่ยากจะมีคนพบเห็น ยามนี้กระแสบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว ด้านหวังเป่าเล่อที่อยู่กลางวังวนนั้น สภาวะจิตของเขาถูกเหนี่ยวนำ แต่เขาก็สงบลงอย่างรวดเร็วก่อนจะมองไปยังสะพานเบื้องหน้า ศิลาที่ควบรวมค่อยๆ ปรากฏรอยอักษรขึ้นช้าๆ มันเป็นอักขระที่เขาไม่รู้จัก หวังเป่าเล่อไม่เคยพบเห็นมาก่อนแน่นอน ทว่าในยามที่เขาทอดมองนั่นเอง อักขระนั้นก็ปรากฏในสมองของเขา ราวกับว่าเขาเข้าใจมันได้ทันที “สะพานสู่สวรรค์ ความว่างเปล่าทำลายมรรคา วิญญาณไม่ดับสิ้น สรรพชีวิตเคารพ” คำทั้งสิบสองคำนี้ ทุกคำล้วนเผยให้เห็นพลังอันสูงส่งซึ่งสามารถสั่นสะท้านจิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าลมที่อยู่รอบด้านคล้ายจะขยายตัวแรงขึ้น วังวนหมุนวนเร็วยิ่งกว่าเก่า เวลาและกลิ่นอายเก่าแก่นี้ก็สัมผัสได้รุนแรงมากขึ้น ในเวลาเดียวกันกับที่สภาวะจิตของเขาถูกวลีทั้งสิบสองคำนี้ดึงดูด เสียงดังสะท้านภพก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นอีกด้านหนึ่งของแผ่นศิลา ก็ปรากฏแผ่นศิลาที่สองควบรวมกัน ขนาดของมันไม่ได้แตกต่างจากศิลาแผ่นแรกมากนัก แต่ให้ความรู้สึกคุกคามหนักกว่า เมื่อปรากฏแล้ว ก็ราวกับว่าดินแดนเซียนแห่งนี้จะสั่นคลอนไปด้วย บนนั้น มีสิบสองคำปรากฏอีกครั้ง “เจตจำนงสูงศักดิ์ สั่นสะท้านวัฏสงสาร จิตวิญญาณจักรวาล เสียงเรียกของหมื่นมรรคา!” เมื่อมองเห็นคำทั้งสิบสองบนศิลาแผ่นที่สองแล้ว ในใจของหวังเป่าเล่อคล้ายถูกพายุซัดโหม ในช่วงจังหวะนั้นราวกับเขามองเห็นภาพวาด ในภาพวาดนั้นมีเงาร่างที่เขาคุ้นเคยอยู่ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง เงาร่างนี้ชูมือขึ้นเบื้องหน้าสะพาน แล้วรวมพลังอันเร้นลับจากทั้งจักรวาลกอปรเป็นแผ่นศิลา จากนั้นจึงตวัดพู่กัน เขียนคำทั้งสิบสองนี้ลงไป เมื่อทุกคำปรากฏขึ้นก็มากพอจะทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน กระทั่งหลังจากคำทั้งสิบสองเรียบเรียงเสร็จแล้ว ท้องนภาก็พลันปรากฏลำแสงเจิดจ้า ราวกับจักรวาลนั้นก่อเกิดคลื่นใหญ่น่าตื่นตะลึง อีกทั้งผู้ที่เขียนคำทั้งสิบสอง ก็หันหน้ามาในตอนนี้เอง พริบตานั้นหวังเป่าเล่อจึงได้เห็น คนผู้นี้ก็คือ…ท่านพ่อหวัง! ฉากเบื้องหน้าในพริบตาก็หายไป หวังเป่าเล่อหายใจกระชั้น เขาเหลือบไปมองทางท่านพ่อหวังที่นั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้านหนึ่ง มองดวงตาอันแสนสงบของอีกฝ่าย ในสมองพลันปรากฏภาพความทรงจำหลายปีก่อน ในตอนที่เขาเพิ่งมาถึงดินแดนเซียนแห่งนี้ บนท้องนภาที่เขามองสะพานทั้งสิบเอ็ดสาย อีกฝ่ายได้เอ่ยคำพูดอย่างสงบไว้ว่า “สะพานนี้ เคยพังมาแล้วในกาลก่อน หลังจากนั้นเป็นหวังโหม่วที่บูรณะมันขึ้นใหม่ จากเดิมเก้าสายเปลี่ยนเป็นสิบเอ็ดสาย ในบรรดาเก้าสายนั้นก็คือเส้นทางสู่สวรรค์” เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อจึงถอนสายตาแล้วมองไปยังสะพานอีกครั้งหนึ่ง ดวงตานั้นทอแสงแรงกล้า เขาไม่ได้เอ่ยคำใด แต่กลับขยับกายแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาสะพานสู่สวรรค์แห่งแรกทันที ความเร็วนั้นช้านัก แต่ก้าวเพียงหกเก้าก็มาถึงหน้าสะพานแล้ว เมื่อเหยียบย่างที่เจ็ดเข้าไป ขาขวาของหวังเป่าเล่อก็ก้าวเข้าสู่สะพานแรก ในพริบตาที่ก้าวเข้าสู่สะพาน ระลอกคลื่นในตาของหวังเป่าเล่อพลันหยุดชะงัก เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้ร่างกายและจิตวิญญาณของตนราวกับยกระดับขึ้น ราวกับมีพลังกฎของฟ้าดินขนานใหญ่ กระแสแห่งหมื่นเต๋า หลอมรวมมาจากทุกทิศ มาจากทั้งจักรวาลและตกลงบนสะพานแห่งนี้ก่อนจะกระจายตัวออกไป มันพุ่งตัวมายังร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งกระแสเต๋าอันเต็มเปี่ยมนี้เมื่อหลอมรวมกับพลังกฎ ก็ทำให้จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อพลันระเบิดขึ้นมา มันสะเทือนฟ้าดิน ภายใต้การระเบิดรุนแรง ความเข้าใจของเขาที่มีต่อกฎทั้งหลายพลันกระจ่างชัดมากขึ้นด้วยความเร็วที่ยากจะเชื่อได้ มันพุ่งทะยานขึ้น ธาตุทั้งห้าในกายของเขาบริบูรณ์กว่าเดิม พลังปราณภายใต้การปะทะหลอมรวมของกระแสเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนก็หลอมรวมกับธาตุทั้งห้าภายใต้พายุอันบ้าคลั่งนี้เอง และยังมีความรู้สึกอบอุ่นก่อร่างขึ้นเรื่อยๆ มันกระจายไปทั่วทั้งร่าง ก่อเกิดกระแสอบอุ่นของดวงตะวันสาดปกคลุมร่างกายที่เหน็บหนาวโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แม้ดูไปแล้วเขาจะสมบูรณ์แบบ ทว่าแท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรือจิตวิญญาณย่อมมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง เหมือนขาดชิ้นส่วนบางอย่าง แต่ในยามนี้ ชิ้นส่วนพวกนั้นได้เติมเต็มสมบูรณ์แล้ว ทั้งหมดนี้ ทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อซึ่งเหยียบย่างขึ้นสะพานสู่สวรรค์เป็นครั้งแรก ทำได้เพียงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน หลับตาทั้งสองข้างหยุดยืนอยู่ตรงหัวสะพาน ระหว่างขั้นตอนนี้ กินเวลาทั้งสิ้นประมาณหนึ่งก้านธูป จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ สัมผัสได้ถึงกระแสแห่งเต๋าและพลังของกฎที่ไหลอยู่ในร่างกายของเขาอย่างเนิบช้า ตอนที่เขาลืมตานั้น ดวงตาราวกับมีเงาร่างของท้องฟ้าแฝงอยู่ พลังปราณบนร่างยกระดับขึ้นแล้ว ทวีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อสัมผัสได้ หวังเป่าเล่อก็เห็นระยะห่างนั้นเ ขาเพิ่งจะก้าวขึ้นสะพานมาเพียงแค่หนึ่งก้าว นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า ทั้งบนและล่างสะพานนั้น ตนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตอนอยู่ล่างสะพาน เขาแม้แข็งแกร่งแต่ก็มีขีดจำกัด หากแต่เมื่ออยู่บนสะพาน เขารู้แจ้งกฎทุกสิ่ง หลอมรวมกระแสเต๋านับไม่ถ้วน ไร้ขีดจำกัด ดังนั้น…จึงแข็งแกร่งมากขึ้น! นี่ทำให้ในตอนที่หวังเป่าเล่อก้มหัวลงไปมองสะพานสู่สวรรค์ใต้ฝ่าเท้าของตนเอง สายตาของเขาจึงเจือประกายประหลาด “นี่น่ะหรือ…สะพานสู่สวรรค์?” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ ดวงตานั้นคมปลาบ เขาก้าวเท้า ต่อไปมุ่งเข้าสู่สะพานสู่สวรรค์แห่งแรกนี้ทีละก้าว ทุกครั้งที่ก้าวเดิน เขาก็สัมผัสได้ลึกซึ้งกว่าเก่า การรู้แจ้งของเขาทะยานขึ้น ร่างกายของเขาเองผ่อนคลายลง และที่สำคัญที่สุดก็คือจิตวิญญาณของเขาเองก็คล้ายจะปลอดโปร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกย่างก้าว เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาที่เดินอยู่บนสะพานก็ยิ่งก้าวเดินเร็วขึ้น ลมปราณทวีความน่าตื่นตระหนกในทุกการเหยียบย่าง กระทั่งสุดท้าย ตอนที่ยืนอยู่ตรงสุดปลายของสะพานแห่งแรก ลมปราณบนร่างของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งใหญ่ไพศาล สะท้อนไปทั่วแปดทิศอย่างรุนแรง ทำให้วังวนรอบด้านตอนนี้หมุนคว้างกว่าเก่าด้วยความรุนแรงถึงขีดสุด เพราะนี่คือการสนองคุณที่มาจากสะพานแห่งแรก ท่ามกลางแรงหนุนของกฎฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลง และกระแสเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น มันสลักลงในจิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อโดยไม่อาจดับสูญในทันที และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตอนนี้ร่างของหวังเป่าเล่อได้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียว ราวกับนี่คือความสมบูรณ์ นี่คือ สะพานสู่สวรรค์เส้นทางแรก! ประโยชน์ของมันคือให้ผู้ฝึกตนได้ลองสัมผัสพลังแห่งกฎทั้งหมดภายในจักรวาล กระแสเต๋าทั้งหมดนั้นแม้เหมือนจะเข้าใจเพียงคร่าวๆ แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะเบิกเจตนาแห่งเต๋าของผู้ฝึกตน เปลี่ยนขีดจำกัดเป็นไร้ขีดจำกัด สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว สะพานเส้นแรก แล้วยังมีการสนองคุณอีก นี่นับว่าเป็นการ…บำรุงเต๋า! หวังเป่าเล่อที่มาจากโลกแห่งศิลา ในโลกที่กฎและเต๋าไม่สมบูรณ์แห่งนั้น แม้ว่าเขาจะฝึกมาได้จนถึงขีดสุดของคำว่าสมบูรณ์ และยังได้รับการเสริมแต่งหลังมายังมหาจักรวาล แต่เขามีชีวิตมาจากโลกแห่งศิลา ดังนั้นแล้วหากกล่าวกันโดยตรง เขาก็ยังคงมีจุดบกพร่องอยู่เล็กน้อย และยากที่จะซ่อมแซมมันในเวลาสั้นๆ แต่ในยามนี้ หลังจากที่เขาเดินมาจนถึงสุดทางของสะพานแห่งแรก ร่างของเขายังมีร่างเต๋า จิตวิญญาณของเขาก็ได้กลายเป็นวิญญาณเต๋า ทุกสิ่งนั้น สมบูรณ์แล้ว! หวังเป่าเล่อร่างกายสั่นสะท้าน เขายืนอยู่ตรงปลายสะพานพลางแหงนหน้ามองไปยังเส้นทางห่างไกล หวังเป่าเล่อสามารถมองเห็นมันได้ สะพานที่สองเบื้องหน้า แล้วยังมีสะพานที่สามและถัดไปจากนั้น เป็นสะพานยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ราวกับสายรุ้ง หลังสูดลมหายใจเข้าลึก หวังเป่าเล่อจึงขยับกาย เดินลงจากสะพานที่หนึ่ง จากนั้นกระโจนเหาะไปยังสะพานที่สอง! ………………………………………..