หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1308 เต๋าแห่งความฝัน!
ดินแดนเซียนมี 17 ภูมิภาค ในเขตที่ 39 มีอาณาจักรทั่วไปอยู่นับร้อยแห่ง เรียกได้ว่าทุกเมืองในเขตนี้ก็คืออาณาจักร
มีอาณาจักรย่อมมีกษัตริย์ และเมื่อมีกษัตริย์…ก็ย่อมมีองค์ชาย
เพียงแต่เมื่อเทียบกับอาณาจักรอื่นแล้ว เมืองที่ 43 ของเขตที่ 39 ซึ่งเรียกขานกันว่าอาณาจักรจ้าวนั้น กลับต่างไปจากอาณาจักรอื่น เพราะที่นี่…มีองค์ชายเพียงผู้เดียว
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ไม่ว่ากษัตริย์จะสับเปลี่ยนกันเช่นไร แต่องค์ชายไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่ากษัตริย์องค์ไหนขึ้นครองราชย์ก็ล้วนรักษาประเพณีนี้ไว้ และยังให้ความเคารพเกรงใจองค์ชายผู้นี้มาก
แม้จะถูกอาณาจักรอื่นรุกรานและสายเลือดของราชวงศ์ถูกแทนที่ แต่ตราบใดที่ไม่เปลี่ยนชื่ออาณาจักรด้วยตนเองและยังเลือกที่จะใช้ชื่ออาณาจักรจ้าว ทุกอย่างก็จะเป็นเช่นเดิม
ดังนั้นในเมืองที่ 43 นี้จึงมีคำกล่าวมาแต่โบราณ
สงบต้านอำนาจราชวงศ์ ไม่ยั่วยุจวนซือถู
จวนของหวังโหม่วนี้ก็คือที่พำนักของซือถู แม้จะไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางเท่าพระราชวัง แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เสาแกะสลักและอิฐก่อด้วยหยกข้างในเต็มไปด้วยความหรูหรา ทหารยามมากมาย สาวใช้นับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะนางบำเรอร้องเล่นเต้นรำ องค์ชายฝานกั๋วผู้นี้ชมชอบการเต้นรำ จึงมีนางบำเรอมากยิ่งกว่าทหารเวรยามและสาวใช้ ทำให้จวนหวังแห่งนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่หญิงงามรายล้อม เสพสมโลกีย์
แม้ตอนนี้เจ้าของจวนจะไม่อยู่ หากแต่ทั้งจวนก็ยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ร้องเล่นเต้นรำกันสนุกสนาน และเป้าหมายของการร้องรำทำเพลงของพวกนางก็คือเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้องโถง
ห้องโถงนี้กว้างขวางดั่งพระราชวัง ประดับด้วยเสามังกรขดกายขนาดใหญ่ 99 ต้น แต่ละต้นล้วนเป็นสีทอง มังกรที่แกะสลักอยู่บนนั้นราวกับมีชีวิต และหากเข้าไปใกล้แล้วก็จะได้ยินเสียงมังกรครวญครางดังลอยมาด้วย
ส่วนพื้นนั้นล้วนเป็นอิฐหินทำจากหยกเซียนชั้นยอดปูทอดยาว ส่งผลให้ห้องโถงนี้เต็มไปด้วยปราณเซียน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงแหล่งกำเนิดแสงในปากมังกรทั้ง 99 ต้นเลย…
แหล่งกำเนิดแสงเหล่านั้นล้วนเป็นไข่มุกล้ำค่าแฝงด้วยพลังปราณอันน่าอัศจรรย์ จนสามารถจินตนาการได้ว่าหากไข่มุกเม็ดใดเม็ดหนึ่งอยู่ข้างนอกคงจะกระตุ้นความบ้าคลั่งของผู้ฝึกตนได้มากมาย
แต่ในที่แห่งนี้มันเป็นเพียงแหล่งกำเนิดแสงเท่านั้น
ทั้งห้องโถงนี้กว้างใหญ่และหรูหรา ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดกลับดูเหนื่อยหน่าย
เด็กหนุ่มผู้นี้สวมชุดจีน นั่งขมวดคิ้วทำสมาธิอยู่บนที่นั่งซึ่งประดับประดาด้วยอัญมณีหรู ด้านล่างมีองครักษ์ยืนอยู่สองฝั่ง แต่ละคนมีสีหน้าแน่วแน่ พลังฝึกปรือไม่ธรรมดา แววตาเยือกเย็น ดุดันและเด็ดขาด แต่หากพินิจให้ถี่ถ้วนแล้วจะเห็นได้ว่าพวกเขากำลังดูแลเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่
ราวกับว่าขอเพียงเด็กหนุ่มเอ่ยคำเดียว พวกเขาก็สามารถชักดาบสังหารทั้งห้องโถงได้
พื้นที่ห้องโถงระหว่างองครักษ์สองฝั่งในตอนนี้เต็มไปด้วยนางบำเรอหลายร้อยคนกำลังร้องรำทำเพลง และนักดนตรีหลายร้อยคนกำลังดีดฉินเป็นทำนองไพเราะ ทั้งหมดนี้มีเพียงคำว่าฟุ่มเฟือยที่สามารถใช้อธิบายสถานที่แห่งนี้ได้
แต่ไม่ว่าการละเล่นจะตื่นตาเพียงใด เด็กหนุ่มก็ยังคงขมวดคิ้ว เห็นเช่นนี้องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดจึงหันไปมองนางบำเรอเหล่านั้นแล้วเอ่ยเบาๆ
“เปลี่ยน!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา เหล่านางบำเรอก็ทยอยถอยออกไป จากนั้น…สตรีงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์อีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาจากนอกประตูและเริ่มร่ายรำ
เห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจยาวเหยียด เขาก็คือเฉินชิงนั่นเอง
หลังจากมาที่นี่พร้อมกับซือถู ซือถูก็ได้ถ่ายทอดพลังเทพอย่างหนึ่งให้เขา พลังเทพนี้ไม่มีชื่อเรียก แต่จากที่ซือถูบอกกล่าว เขาต้องผ่านการทดสอบทางโลกทั้งหมดก่อนถึงจะสามารถฝึกฝนให้บรรลุทางธรรมได้
ดังนั้นตั้งแต่วันที่สองที่เขามา การทดสอบก็เริ่มขึ้น
สุราที่หายากที่สุดในโลก อาหารชั้นยอดที่สุดในโลก หญิงงามมากมายนับไม่ถ้วน ความมั่งคั่งที่ไม่มีวันหมด รวมทั้งอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้ภายในคำเดียว
ทุกสิ่งที่ทุกผู้คนใฝ่ฝันถึงวางอยู่ตรงหน้าเขา รอให้เขาฝึกฝน…
ทว่า ตอนนี้ขณะที่เขาฝึกฝนด้วยความเบื่อหน่ายอยู่ในห้องโถงนั้น กลับไม่มีใครสังเกตเห็นร่างสองร่าง ของหญิงชายคู่หนึ่งซึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด ทั้งสองก็คือหวังเป่าเล่อและหวังอีอี
สีหน้าของทั้งคู่เผยความประหลาดใจที่แตกต่างกัน
“เป่าเล่อ การฝึกฝนของศิษย์พี่เจ้า…พิเศษดีนะ”
“…” หวังเป่าเล่อไม่รู้จะกล่าวคำใด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างยากลำบาก
“ผู้อาวุโสซือถูทำเช่นนี้คงมีจุดประสงค์ บางทีนี่อาจเป็นการทดสอบหัวใจเต๋ากระมัง”
“เจ้าดูอิจฉานะ” หวังอีอีเอ่ยเรื่อยเปื่อย
“ไม่มีอะไรจีรัง ทุกสิ่งล้วนประดิษฐ์ขึ้น” หวังเป่าเล่อยิ้มอย่างไม่แยแส สายตาอ่อนโยนมองผ่านนางบำเรอเหล่านั้นไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ไกลๆ
จากนั้นไม่นานเขาก็ถอนสายตากลับแล้วสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะหมุนตัวออกเดิน
“ไปกันเถอะ”
“ไม่ไปพบหน่อยหรือ” หวังอีอีที่เดินตามอยู่ด้านหลังเอ่ยถาม
“ย่อมมีวันนั้น” หวังเป่าเล่อยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องโถง หวังอีอีก็ยิ้มออกมาแล้วหันกลับไปมองเด็กหนุ่มบนที่ประทับ ก่อนจะหมุนตัวจากที่นี่ไปพร้อมหวังเป่าเล่อ
ในพริบตาที่ร่างของพวกเขาเดินออกจากห้องโถงไปแล้ว เด็กหนุ่มเฉินชิงก็เงยหน้ามองไปทางปากประตูห้องโถงอันว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีความรู้สึกบางอย่างคล้ายกับว่าคนสำคัญของเขากำลังจากไป
หวังเป่าเล่อไปแล้ว ไปพร้อมกับหวังอีอี พวกเขาไปยังภูเขาทางตะวันออกสุดของดินแดนเซียน มองดูพระอาทิตย์ขึ้นจากตรงนั้น ไปยังทะเลทางตะวันตกสุด มองดูพระอาทิตย์ตกจากตรงนั้น
ไปยังป่าทึบทางเหนือสุด เด็ดเถาวัลย์ที่เรียกว่ากระชากวิญญาณจากที่นั่น และไปยังที่ราบทางใต้สุด โรยเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ที่เรียกว่าโอบความฝัน
สุดท้ายพวกเขาก็กลับไปจุดเริ่มต้นซึ่งก็คือล่างสะพานสู่สวรรค์สะพานแรก ที่ตรงนั้นหวังเป่าเล่อนำเถาวัลย์กระชากวิญญาณถักทอเป็นมงกุฎดอกไม้ แล้ววางลงบนศีรษะหวังอีอี
“ดูแลตัวเองดีๆ เพราะอดีตและอนาคตของข้าอยู่กับเจ้า”
หวังอีอีนิ่งเงียบ นางจ้องมองหวังเป่าเล่อเนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้า หวังเป่าเล่อโบกมือ นางจึงหันหลังเดินจากไป แต่เดินไปได้สิบกว่าก้าวนางก็หันกลับไปมองอีกครั้ง และเห็นแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งทำสมาธิ
เดินไปได้หลายสิบก้าวก็หันกลับไปมองอีกเช่นเดิม
จนกระทั่งร้อยก้าว พันก้าว หมื่นก้าว…นางหันกลับไปมองอยู่หลายครั้งหลายครา จนร่างนั้นเลือนราง หวังอีอีจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะสัมผัสมงกุฎดอกไม้บนศีรษะแล้วเดินจากไป
ด้านล่างสะพานแห่งแรกในตอนนี้มีเพียงหวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว ในมือเขาถือแผ่นหยกที่บันทึกเคล็ดวิชาพลังเทพหนึ่งเอาไว้
เคล็ดวิชานั้นเรียกว่าเต๋าแห่งฝัน
สำหรับผู้ฝึกตนขั้นที่สาม เต๋าแห่งฝันนั้นลึกลับและเข้าใจยากอย่างยิ่ง สำหรับขั้นที่สี่ก็ง่ายขึ้นบ้างเล็กน้อย สำหรับขั้นที่ห้าที่ฝึกฝนจนถึงระดับที่สามารถใช้หมื่นเคล็ดได้แล้วนั้น การฝึกฝนเต๋าแห่งฝันนี้จึงใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา
ชั่วอึดใจนั้นหวังเป่าเล่อก็เข้าใจกระจ่างแล้ว ร่างของเขาค่อยๆ เลือนรางจนกลายเป็นภาพมายาราวกับกำลังหลับใหลและอยู่ในห้วงฝัน
โลกแห่งความฝันคือจักรวาลผืนหนึ่ง ในจักรวาลนั้นมีหมอกสีแดง ในหมอกนั้นมีจักรวาลย่อย 108 แห่ง และหนึ่งในนั้น…ก็คือที่ที่ความฝันของเขาเริ่มต้นขึ้น
……………………