หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1310 ฝันของใคร?
ชื่ออาณาจักรพิภพทมิฬนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อเคยได้ยินจากอู๋น้อยเมื่อหลายปีก่อนก็ค้นหาอยู่นาน กล่าวให้ถูกคือ ในโลกแห่งศิลาก็เคยมีอาณาจักรพิภพทมิฬมาก่อน ทว่าอาณาจักรพิภพทมิฬนั้นไม่ใช่อาณาจักรพิภพทมิฬเดียวกัน
จนกระทั่งวันนี้ อ้อมวนรอบใหญ่ กลับได้มาในอาณาจักรพิภพทมิฬที่แท้จริงด้วยวิธีเช่นนี้
มองรูปสลักของพระราชวังที่ไกลออกไป มองผู้คนบนท้องถนนที่เดินขวักไขว่แม้จะอยู่ท่ามกลางสายฝน ในใจหวังเป่าเล่อก็สั่นไหว เขาเห็นในฝูงชนมีเงาร่างโดดเดี่ยว มีชายหญิงอิงแอบใต้ร่มคันเดียวกัน มีผู้รีบร้อนเดินทาง และก็มีผู้ที่เดินทอดน่องอย่างยินดีปรีดา
เขาเห็นพ่อค้าที่กำลังกางเต็นท์ค้าขาย เห็นนักร้องหญิงที่ใช้พัดบังใบหน้าครึ่งล่างมองผู้คนที่เดินอยู่นอกหน้าต่าง เห็นแม่ที่ดึงหูเด็กดื้อในสวนที่ไกลออกไป และที่ไกลออกไปกว่านั้นก็มีองครักษ์กลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป
ยังมีขี้เมาที่นอนในตรอก แม้จะถูกความเย็นของน้ำฝนปลุกตื่นแต่ก็ไม่ลุกขึ้น ทำเพียงบ่นงึมงำก่อนพลิกตัวนอนต่อ ยังมีโจรลักเล็กขโมยน้อยท่ามกลางฝูงชน และที่ไกลกว่านั้นยังมีพ่อค้ามั่งคั่งที่เดินออกมาจากจุดที่นักร้องหญิงอยู่ด้วยใบหน้าแดงก่ำ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนสู่นัยน์ตาหวังเป่าเล่อ เขาหลับตาลง
เสียงเซ็งแซ่ค่อยๆ คืบคลานไปในสัมผัสสวรรค์ของเขา มีทั้งเสียงย่ำเดิน เสียงฝนตกกระทบพื้น เสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้า และเสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กน้อยที่เล่นสนุกท่ามกลางสายฝน
รูปแบบชีวิตผู้คนราวกับภาพวาด ปรากฏขึ้นมุมหนึ่งในใจของหวังเป่าเล่อเวลานี้
เสียงต่างๆ นานา ที่ได้ยินสอดประสานเป็นโลกใบนี้ ขณะที่สะท้อนสู่สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อ เขาที่ถือร่มกระดาษน้ำมันลืมตามองเด็กน้อยที่มัดผมจุกตรงหน้า ในใจก็รู้สึกทอดถอนยิ่งนัก
เด็กคนนี้กำลังไล่ตามเพื่อน วิ่งผ่านหน้าหวังเป่าเล่อไป แม้จะเปียกฝนจนตัวชุ่มแต่ก็ยังคงสนุกสนาน แม้จะหกล้มเปรอะน้ำฝนบนพื้นก็ยังคงลุกขึ้นวิ่งต่อไปอย่างร่าเริง
เพียงแต่หลังจากวิ่งไปอีกหลายก้าว คล้ายกับว่ารู้ได้ถึงหวังเป่าเล่อ บางทีอาจรู้สึกว่าในโลกที่ไม่หยุดนิ่งนี้ ราวกับปรากฏผู้ที่หยุดนิ่งจึงรู้สึกประหลาดก่อนหันกลับไปมองเขาคราหนึ่ง
เด็กน้อยนัยน์ตากระจ่างใส สีหน้าอยากรู้อยากเห็น เมื่อประสานสายตาเข้ากับหวังเป่าเล่อก็แลบลิ้นใส่เขาก่อนวิ่งไปไกล
มองเงาหลังเด็กน้อยที่ลับตาไปตรงมุมถนนแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยกยิ้ม ทุกๆ สิ่งในที่แห่งนี้เกิดอยู่ในมิติมายาของใครผู้หนึ่งในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด ความฝันนี้ช่างเหมือนจริง แม้โลกในห้วงมิติฝันนี้จะมีเพียงคูเมือง แต่ในคูเมืองนี้ไม่ว่าจะเป็นอิฐกำแพงหรือผู้คนทั้งหลายล้วนสมจริงอย่างมาก
“มีเพียงตั้งมั่นอย่างลึกล้ำถึงจะสร้างมิติฝันที่สมจริงเช่นนี้ได้” หวังเป่าเล่อพึมพำ แหงนมองไปทางพระราชวัง ผู้ที่สามารถถักทอมิติมายาเช่นนี้ออกมาได้ นอกจากความตั้งมั่นแล้วยังต้องมีพลังอันน่าสะพรึงอีกด้วย
มีเพียงเช่นนี้ถึงจะสามารถสร้างมิติมายาที่มีคูเมืองพระราชวังสมจริง ถึงขั้นที่ทำให้คนยากที่จะแยกแยะและลุ่มหลงได้ง่ายๆ
ทำได้ถึงขั้นนี้ที่อาณาจักรพิภพทมิฬน่าจะมีไม่มาก หวังเป่าเล่อใช้ดวงจิตเทพกวาดดู มีแค่เพียงในพระราชวังเท่านั้นที่มีร่องรอยพลังงานขุมหนึ่งกำลังหลับใหลอยู่
ร่องรอยพลังงานขุมนี้แข็งกล้านัก แม้จะเป็นระดับปราณของหวังเป่าเล่อตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าแกร่งกล้ายิ่งกว่าสถานะของเขา…เดาได้ง่ายมาก คนผู้นั้นก็คือบิดาของอู๋น้อย จักรพรรดิเสวียนเฉิน!
“นี่คือมิติฝันของจักรพรรดิเสวียนเฉิน?” หวังเป่าเล่อไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร จากความเข้าใจของเขา จักรพรรดิเสวียนเฉินสามารถถักทอมิติฝันคูเมืองที่มีพระราชวัง สรรพสิ่งที่ราวกับของจริงเช่นนี้ได้แน่นอน ทว่านี่ยังไม่ใช่จุดสูงสุด จากการสัมผัสรู้ที่หวังเป่าเล่อมีจากก้าวที่ห้า หากจักรพรรดิเสวียนเฉินต้องการล่ะก็ เขาทำได้ถึงถักทออวกาศผืนหนึ่งออกมาได้เลย
ดังนั้นขณะที่พึมพำ หวังเป่าเล่อที่ถือร่มกระดาษน้ำมันในมือจึงก้าวไปข้างหน้า ย่างก้าวนั้นไม่ได้รีบร้อน เดินอยู่ในสายฝน เดินไปทางพระราชวัง ระหว่างทางเขาปรากฏอยู่ในสายตาของฝูงชนจำนวนมาก ทว่าเพียงพริบตาก็ไม่มีใครจดจำเขาได้เลยสักนิด
ราวกับมิติมายานี้ทุกอย่างล้วนมีตรรกะที่กำหนดไว้ การมาของหวังเป่าเล่อไม่มากพอที่จะก่อกวนมันได้ เขาจะอยู่หรือไม่อยู่มิติมายาก็ยังคงเคลื่อนต่อไป
ดำเนินไปเช่นนี้ ท่ามกลางสายฝน หวังเป่าเล่อเดินไปเรื่อยๆ จนผ่านมุมถนน ผ่านถนนใหญ่ และสุดท้ายก็ปรากฏอยู่ที่หน้าพระราชวัง เขายืนแหงนหน้ามองรูปสลักนกแก้วขนาดใหญ่ที่ด้านบน
ขณะที่ดูเลือนรางก็รู้สึกเหมือนคิดไปเอง ราวกับตอนนี้นกแก้วตัวนี้ก็กำลังก้มมองมายังตนเช่นกัน
จ้องมองเป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อราวกับจมอยู่ในความคิด ก่อนถอนสายตากลับ ยกเท้าขึ้น เมื่อย่ำลงอีกครั้ง ร่างของเขาก็หายวับไปจากนอกพระราชวัง แล้วปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ตำหนักแห่งหนึ่งในพระราชวัง
ที่นี่คล้ายกับเป็นห้องหนังสือของจักรพรรดิเสวียนเฉิน วางเต็มไปด้วยม้วนหนังสือไม้ไผ่ ที่ด้านหลังโต๊ะยาวขนาดใหญ่หรูหราโอ่อ่า หวังเป่าเล่อเห็นจักรพรรดิเสวียนเฉินนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับภูเขายักษ์ลูกหนึ่ง
รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่าเกรงขาม สวมชุดสีน้ำเงินเรียบง่าย เวลานี้กำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือม้วนไม้ไผ่ในมืออยู่ตรงนั้น ท่าทางดูสงบ ทว่าในร่างของเขาราวกับมีพายุที่สามารถทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง แม้เพียงสายตาที่ทอดมองก็สามารถสร้างความเสียหายเหมือนกับตนได้มองเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น
เหมือนกับเต๋าของร่างนี้น่ากลัวเกินไป มีกฎเกณฑ์อันน่าสะพรึง ราวกับวังวนขนาดใหญ่ที่สามารถดูดกลืนทุกสิ่ง
แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นวังวนเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว นั่นก็ยังไม่พอ ทำได้เพียงปกป้องไม่ให้ตนได้รับผลกระทบ
ในเวลานี้ ทั่วทั้งตำหนัก นอกจากจักรพรรดิเสวียนเฉินและหวังเป่าเล่อแล้วก็ไร้เงาร่างผู้ใดอีก เงียบสงัดมาก
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขามองจักรพรรดิเสวียนเฉิน สัมผัสถึงแรงบีบคั้นอันเปี่ยมล้นที่แผ่มาจากเขา ขณะที่เฝ้าสังเกตอย่างเงียบเชียบ จักรพรรดิเสวียนเฉินที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็เอ่ยขึ้นทันที
“เจ้าไม่ควรมา”
เมื่อคำพูดลอยออกมา เสียงฟ้าผ่าสะท้อนก้องท้องฟ้าด้านนอก สายฟ้าฟาดลงหลายสาย ทำให้เกิดแสงวาบขึ้นในเมฆดำที่บดบังอาทิตย์ยามอัศดง
หวังเป่าเล่อหรี่ตายังคงนิ่งเงียบเช่นเดิม เขาเพียงหันหน้ามองด้านนอกตำหนัก ในเวลานี้ตรงนั้นมีผู้เยาว์คนหนึ่งสวมชุดคลุมยาว เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้ามาในตำหนักแล้วแต่กลับลังเล เอ่ยเสียงเบาอย่างระมัดระวัง
“ท่านพ่อ ข้า…”
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คืออู๋น้อยในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ กลิ่นอายบนร่างของเขาแตกต่างจากสรรพสิ่งในคูเมืองแห่งนี้อยู่บ้าง ดูว่องไวปราดเปรียวกว่ามาก
“ออกไป” อู๋น้อยยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกจักรพรรดิเสวียนเฉินที่นั่งอยู่ตรงนั้นเอ่ยขัด เสียงเย็นชาลอยมาขณะยังคงก้มหน้า
“ท่านพ่อ ข้า…ข้าอยากออกไป ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ข้า…”
“ไปซะ!” จักรพรรดิเสวียนเฉินเสียงดังขึ้น ท้องฟ้าด้านนอกก็ยิ่งกระหน่ำโครมครามจนอู๋น้อยตกใจหน้าซีด หดเท้าที่ก้าวเข้าไปในตำหนักกลับมาทันที ขณะที่ได้แต่รับคำ สีหน้าแดงก่ำก็คล้ายกับเก็บกลั้นความน้อยใจและความโมโห ปรายตามองหวังเป่าเล่อครั้งหนึ่งก่อนหมุนตัวจากไป
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเงาหลังอู๋น้อย เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายดูแปลกไปจากสิ่งที่อยู่ในมิติฝันนี้
“สหายเต๋ามาที่นี่ ไม่ว่าเจ้าจะมาด้วยเหตุใด ที่นี่ก็ไม่ต้อนรับ เจ้าจะไปหรือไม่?” พริบตาที่หวังเป่าเล่อหันมองเงาหลังอู๋น้อย ด้านหลังของเขาก็มีเสียงเย็นยะเยือกที่แฝงไอสังหารลอยมา
จักรพรรดิเสวียนเฉินที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ตอนนี้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาคล้ายกับมีสายฟ้า มองหวังเป่าเล่ออย่างเยียบเย็น
หวังเป่าเล่อหันกลับไปมองจักรพรรดิเสวียนเฉิน คิ้วขมวดมุ่นอีกครั้ง เดิมเขาคิดว่านี่คือมิติฝันของจักรพรรดิเสวียนเฉิน และสิ่งที่เห็นก็สอดคล้องกับการคาดเดาของตนอยู่ทีเดียว แต่อู๋น้อยเมื่อครู่…ดันว่องไวปราดเปรียวกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
“นี่เป็นมิติฝันของใครกันแน่?” หลังจากพึมพำครู่หนึ่งก็ประสานมือคำนับจักรพรรดิเสวียนเฉิน
“รบกวนแล้ว” กล่าวจบก็หันกายจากไป
สายตาจักรพรรดิเสวียนเฉินทอดมองที่หวังเป่าเล่อตลอดเวลา จนกระทั่งเงาร่างของเขาหายลับไปแล้วถึงถอนสายตากลับมาแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง อ่านหนังสือม้วนไม้ไผ่ในมือนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน
และในเวลานี้ ด้านนอกพระราชวัง ในตรอกที่น้อยคนจะสนใจเส้นนั้น ขี้เมาวัยกลางคนผู้ถูกสายฝนกระทบจนตื่นก่อนพลิกกายนอนต่อก็บ่นงึมงำออกมา
“ทำไมฝนตกอีกแล้วเล่า ช่างรบกวนฝันหวานของข้าเสียจริง…”
……………………………