หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1318 หญิงชุดเขียว
ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิอยู่บนยอดเขาในโลกาชั้นที่สองก็คล้ายสัมผัสถึง เขาเงยหน้ามองฟ้า หรี่ตาลง
เมื่อครู่นี้เขาคล้ายรู้สึกเหมือนถูกดวงจิตเทพกวาดผ่านไปลางๆ แต่ดวงจิตเทพดวงนี้ขาดจิตวิญญาณ ลักษณะเหมือนเครื่องจักรอย่างยิ่ง ราวกับแค่มุ่งตรวจหากฎเกณฑ์จากโลกภายนอกเท่านั้น
ส่วนทางด้านหวังเป่าเล่อ ตอนนี้ทั่วกายไม่ว่านอกในล้วนเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์แห่งเต๋าสุข เวลาไม่กี่เดือนทำให้กฎเกณฑ์จากโลกภายนอกในตัวของเขาถูกเก็บซ่อนเอาไว้โดยสมบูรณ์นานแล้ว
จุดนี้สัมพันธ์กับการฝึกตนขั้นห้าของเขาอย่างยิ่ง เพราะเขามีหมื่นเต๋าเพียบพร้อม ดังนั้นเมื่อควบคุมได้อย่างรอบคอบ เขาจึงทำได้ถึงขั้นสูงสุด เก็บซ่อนเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
ถ้าหากเป็นขั้นที่สี่ เนื่องจากมีแหล่งกำเนิดแค่เต๋าเดียว พัวพันล้ำลึกเกินไป จึงไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้โดยสมบูรณ์เหมือนอย่างหวังเป่าเล่อ
“ภายในมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้ เบื้องหลังล้ำลึกอย่างยิ่ง…” หวังเป่าเล่อถอนสายตาที่มองไปยังท้องนภากลับมา หลับตาลง นั่งสมาธิต่อ ทำให้เมล็ดเต๋าแห่งสุขภายในร่างแผ่กิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนออกมาและเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ในตัว
วันเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ เช่นนี้ ไม่นานก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว ตอนนี้กฎเกณฑ์เต๋าสุขของหวังเป่าเล่อบรรลุถึงระดับที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความดีงามของชาวบ้านในหมู่บ้านเชิงเขาเช่นกัน ราวกับผู้ที่ฝึกฝนเต๋าแห่งสุขส่วนใหญ่จะเป็นคนจิตใจดี ซึ่งสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับสารัตถะของกฎเกณฑ์ชนิดนี้ด้วย
ความดีงามเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ยอมรับเช่นกัน
แต่…เห็นได้ชัดว่าแบบของความดีงามนั้นไม่ใช่สิ่งหลักในมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้เลย ก็เหมือนกับคบเพลิงที่จุดขึ้นในยามค่ำคืนมืดมิด หากข่มความมืดไว้ไม่ได้ ผลสุดท้ายก็มีแต่ต้องถูกมองเป็นตัวประหลาด และดับลงในความมืดอยู่ดี
หมู่บ้านสาขาของสายเลือดแห่งเต๋าสุขก็เช่นเดียวกัน ในยามค่ำคืนหลังผ่านไปไม่กี่วัน หวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิอยู่บนยอดเขาพลันลืมตาโพลง จ้องมองไปยังเทือกเขาห่างไกล
ดูแล้วที่แห่งนั้นมีความมืดปกคลุมไว้ทั้งผืน ราวกับไม่มีสิ่งผิดปกติ ได้แต่อาศัยแสงจันทร์อ่อนจางมองดูเงาดำที่เกิดจากต้นไม้ใบหญ้า ทว่า…มันเงียบงันเกินไป
บางทีอาจเป็นเพราะความเงียบนี้จึงทำให้หูของหวังเป่าเล่อคล้ายได้ยินเสียงร้องละครแปลกพิกลดังขึ้นได้ลางๆ
“ความตายไม่มาเยือน…”
“เงาแผ่นหลังมักอยู่เสมอ…”
นั่นเป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง เต็มไปด้วยความคับแค้นใจและความพิศวง ยิ่งกว่านั้นคือมีความอัดอั้นตันใจ เหมือนเก็บซ่อนความไม่ยินยอมอันแรงกล้าและเสียงคำรามร้องเอาไว้ แต่กลับไม่อาจปลดปล่อยออกมาได้
เมื่อดังเข้าสู่หูของหวังเป่าเล่อ เขาก็สั่นไปทั้งกาย ราวกับเวลานี้หัวใจถูกฝ่ามือที่มองไม่เห็นกุมเอาไว้และกำลังบีบช้าๆ คล้ายจะบดขยี้ให้แหลกและฉีกทึ้งเส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับมันออก ก่อนจะกระชากออกมาจากในร่างทั้งยังเป็นๆ
ยิ่งกว่านั้นในชั่วพริบตานี้เอง ที่เทือกเขามืดมิดไกลๆ ตรงหน้าของหวังเป่าเล่อ คาดไม่ถึงว่าตอนนี้มันจะกลายเป็นกึ่งโปร่งใสขึ้นมา แสงจันทร์ที่เดิมอ่อนจางก็คล้ายส่องทะลุผ่านความกึ่งโปร่งใสนี้ไปได้ ทำให้โลกใบนี้เหมือนจะแจ่มชัดกว่าแต่ก่อนมาก
เมื่ออาศัยจากความแจ่มชัดนี้ก็จะมองเห็นว่า…มีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวผมดำคลุมบ่า กำลังก้มหน้าเดินจากกลางเทือกเขา รูปร่างของนางสูงใหญ่มาก คาดไม่ถึงว่าจะสูงเท่าๆ กับภูเขา ทั้งยังมองเห็นหยดเลือดไหลลงมาจากใบหน้าที่ถูกผมดำปกคลุมของนางช้าๆ
รอบตัวของนางก็ยิ่งมีเงาร่างเลือนลางหลายร่างลอยอยู่ เงาร่างเหล่านี้บางครั้งก็จะกลายเป็นท่วงทำนองเพลง บางครั้งก็กลับมาเป็นมนุษย์ พวกมันค่อยๆ เดินเข้ามายังหมู่บ้านเชิงเขาที่หวังเป่าเล่ออยู่พร้อมกับหญิงสาวผู้นี้
เสียงเพลงยิ่งชัดเจนมากขึ้น
“ทำลายความคะนึงหา จนสลายกลายเป็นฝุ่นผง…”
“ใครหนอรอผู้ใดกลับมา…”
ไม่ว่าเดินผ่านไปที่ใด ภูเขากึ่งโปร่งใสรอบๆ ก็จะถูกหยดเลือดอาบย้อมเป็นสีแดง พืชพรรณทุกอย่างเหี่ยวเฉา ความอาฆาตแค้นในน้ำเสียงแรงกล้ามากยิ่งขึ้น ในตอนนี้ความคิดเศร้าโศกที่อัดอั้นอยู่คล้ายจะมาถึงจุดสูงสุด และใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว
จิตใจของหวังเป่าเล่อกู่ร้องขึ้นอีกครั้ง กฎเต๋าแห่งสุขภายในร่างแพร่กระจายในพริบตา เขาหรี่ตาลง จ้องมองไปยังสตรีชุดเขียวที่เดินมาจากที่ไกลๆ จากความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ที่มาของอีกฝ่ายแล้ว
นั่นก็คือผู้ฝึกตนของเมืองปรารถนาเสียง แต่เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับสิ่งที่เขาเจอในหมอกแดงเลยสักนิด อย่างหลังเป็นแค่ท่วงทำนองเพลงหนึ่งท่อนเล็กๆ เท่านั้น ไม่ใช่บทเพลงสมบูรณ์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่แค่บทเพลงที่สมบูรณ์ยิ่งกว่า แต่ยังมีเนื้อเพลงปรากฏมาด้วย
ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาได้ เห็นได้ชัดว่าสถานะของหญิงชุดเขียวผู้นี้จะต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ภายในเมืองปรารถนาเสียงอย่างแน่นอน
“มาหาข้าหรือ หรือว่ามาทำลายสาขาเต๋าสายสุขที่เชิงเขากันล่ะ” ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเยือกเย็น ภายในหุบเขาด้านล่างภูเขาที่เขาอยู่ ผู้ฝึกตนของสายเลือดเต๋าแห่งสุขก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน เสียงแห่งความปีติมากมายพร้อมกับความยินดีปรีดาพลันล้นทะลักไปทั่วทั้งสี่ทิศทันที ราวกับดวงไฟที่ถูกข่มเอาไว้ในความมืด แต่กลับไม่ยอมดับแสง และฝืนยืนหยัดต่อไป
ยิ่งกว่านั้น เมื่อความปีติยินดีนี้แผ่กระจายกลายเป็นวิชาเคลื่อนย้ายชนิดหนึ่งและกำลังจะถูกใช้ออกมาต่อจากนั้น จะเห็นม่านแสงนุ่มนวลหนึ่งชั้นผุดขึ้นมาจากเส้นขอบของหุบเขา ราวกับกลายเป็นม่านกำบัง
ในฐานะที่เป็นสาขาสายตรงของสายเลือดแห่งสุข แม้ว่าปัจจุบันจะอ่อนแอ แต่เป็นเพราะถูกไล่ฆ่ามาหลายปี ก็ย่อมมีวิธีป้องกันตัวเองอยู่บ้าง และการเคลื่อนย้ายผ่านพลังความสุขก็คือหนึ่งในนั้น
เมื่อม่านแสงเชื่อมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นม่านกำบังโดยสมบูรณ์แล้ว ก็เป็นเวลาที่การเคลื่อนย้ายจะเริ่มต้นขึ้น
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ร่ำร้องจากเมืองปรารถนาเสียงที่มาในครั้งนี้แข็งแกร่งเกินไป เสียงเพลงแฝงความพิศวงและความอาฆาตแค้น มันส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนทั้งหมดในหมู่บ้านโดยตรง ทำให้หัวใจของผู้ฝึกตนสายเลือดสาขาเต๋าแห่งสุขคล้ายถูกจับเอาไว้ ขณะที่พวกเขาสีหน้าซีดขาว พลังชีวิตก็ไหลหายไปอย่างรวดเร็วราวกับจะแห้งเหี่ยว
สิ่งนี้ทำให้วิชาเต๋าของพวกเขาถูกโจมตีและได้รับผลกระทบ การเปิดใช้วิชาเคลื่อนย้ายก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้ในชั่วอึดใจ ยิ่งกว่านั้นยังมีความบิดเบี้ยวในความผันผวนของเสียงเพลง ทำให้ม่านแสงที่ผุดขึ้นมาเหล่านั้นส่อแววพังทลาย
หวังเป่าเล่อถอนหายใจแผ่ว เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาครึ่งปี ทั้งเขาก็ยังยอมรับหมู่บ้านแห่งนี้แล้วด้วย และตอนนี้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาหาตนหรือมีเป้าหมายเดิมเป็นหมู่บ้านแห่งนี้ก็ตาม เขาก็ไม่มีเหตุผลจะยืนนิ่งดูดายอยู่ข้างๆ
ดังนั้นในชั่วพริบตาที่ม่านแสงเคลื่อนย้ายของหมู่บ้านเกิดความบิดเบี้ยว หวังเป่าเล่อก็มองไปยังหญิงสาวชุดเขียวที่เดินมาจากที่ห่างไกลช้าๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม แทบจะในชั่วขณะที่รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นนั้น กฎเกณฑ์แห่งสุขก็พลันระเบิดออกมาจากร่างของเขา ก่อนก่อตัวเป็นคลื่นอารมณ์ผันผวนไร้รูป แผ่กระจายไปรอบตัวฉับพลัน
ไม่ว่าผ่านไปที่ใด ต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉาเหล่านั้นก็คล้ายจะมีพลังชีวิตขึ้นมาใหม่ เทือกเขาที่ถูกเลือดอาบย้อมก็เหมือนถูกชะล้างให้กลายเป็นสีเดิม ถึงขั้นที่แม้แต่ฟ้าดินกึ่งโปร่งใสแห่งนี้ก็ถูกบังคับให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมในชั่วขณะนั้นเช่นกัน
ส่วนหญิงชุดเขียวที่เดินมาจากไกลๆ ผู้นั้นก็ชะงักฝีเท้า ผู้ฝึกตนร่ำร้องที่ลอยอยู่รอบตัวนางเจ็ดแปดคนแย้มยิ้มออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ทันที บทเพลงของพวกเขาถูกขัดจังหวะ พริบตาที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนร่าง…วิญญาณก็ถูกทำลาย
เพราะอาศัยโอกาสชั่วพริบตานี้ ม่านแสงของหมู่บ้านเชิงเขาก็เชื่อมต่อกันจนเสร็จสมบูรณ์ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทำงานออกมาทันใด และขณะที่ผู้ฝึกตนสาขาเต๋าแห่งสุขในหมู่บ้านเคลื่อนย้ายหนีไปนั้น หญิงชุดเขียวที่ชะงักฝีเท้าผู้นั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ภายใต้แสงจันทร์ มองเห็นใบหน้าของหญิงผู้นั้นผ่านช่องว่างระหว่างกลุ่มผมสีดำ ใบหน้านั้น…มีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ยิ่งกว่านั้นที่ลำคอก็ยังมีรอยช้ำสีดำลึกหนึ่งรอย
ดวงตาของนางลึกและพร่ามัว ราวกับว่าในแววตามีเงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่อย่างเลือนราง ราวกับมีนักร้องละครกำลังร่ายรำและร้องเพลงอัดอั้นคับแค้นใจยิ่งกว่าเดิมออกมา
“ฝนยามค่ำหวาดโคมสารทส่องแสง…”
“ส่องเวทีว่างเปล่าจนสว่างไสว…”
“ที่ควรมา ล้วนไม่มา…”
“ที่ควรอยู่ ล้วนไม่อยู่…”
………………