หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1319 เมล็ดพันธุ์เต๋า
เสียงนี้เคียดแค้นไร้ใดเทียบทียม แสดงถึงความเกลียดชังยากจะบรรยาย
ความเกลียดชังเช่นนี้แม้ว่าจะเป็นเพียงความรู้สึกที่เผยออกมาผ่านบทเพลง แต่ก็คล้ายส่งผลต่อความเป็นจริง ทำให้ทั้งแปดทิศในขณะนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจแรงกล้า ราวกับอากาศเหนียวหนืดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจลำบาก ถึงขั้นที่มีภาพน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิตภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างหยุดไม่อยู่
แม้แต่เทือกเขาโดยรอบ ก็เปลี่ยนเป็นกึ่งโปร่งใสอีกครั้ง ถึงขนาดเกิดความบิดเบี้ยวขึ้นมา เหมือนกับพื้นที่ส่วนนี้ถูกปรับเปลี่ยน คล้ายก่อเกิดเป็นรูปทรงเวทีการแสดงอย่างเลือนราง
และตัวเอกของเวทีละครแห่งนี้ก็คือหญิงชุดเขียวที่กำลังเดินช้าๆ ทวารทั้งเจ็ดมีเลือดไหล แววตามาพร้อมกับความเคียดแค้น และมีน้ำเสียงเปี่ยมความเกลียดชังผู้นั้น ส่วนผู้ฝึกตนของเมืองปรารถนาเสียงคนอื่นๆ ข้างกายนาง ตอนนี้ล้วนเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาจากเงาร่างที่เข้ามาเปลี่ยนในชั่วพริบตาเช่นกัน พวกมันพยายามทุ่มเต็มกำลังแผ่กระจายเสียงดนตรีออกมาเพื่อทำให้มีฤทธิ์อาบย้อมมากกว่าเดิม
ขณะเดียวกันนั้น วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของหมู่บ้านเชิงเขาสาขาเต๋าสุขที่กำลังจะเคลื่อนย้ายจากไปก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเงาร่างของผู้ฝึกตนที่อยู่ในนั้นพร่าเลือน แต่เสียงเพลงกลับเหมือนกลายเป็นมือที่มองไม่เห็น ยื่นไปคว้าพวกเขาไว้ ราวกับจะฉุดลากให้กลับมาจากการเคลื่อนย้าย
ถึงขั้นมองเห็นได้ว่ามีผู้ฝึกตนสายเลือดเต๋าสุขจำนวนไม่น้อย เงาร่างค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมาจากความพร่าเลือน ราวกับอีกไม่นานก็จะถูกเคลื่อนย้ายย้อนกลับมาจริงๆ
พร้อมกันนั้น ในเวทีละครที่แปลงมาจากทุกอย่างรอบตัวทั้งแปดทิศแห่งนี้ ตอนนี้พืชพรรณทุกชนิดล้วนเหี่ยวเฉาในพริบตา ความตายปกคลุมไปทั่ว
เหมือนกับว่านี่คือเวทีละครที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกคนเป็น บทละครที่เล่นอยู่นั้นก็ไม่ควรจะให้คนเป็นได้ยินได้เห็นเช่นกัน
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ในแววตามีประกายแสงส่องวาบ แต่ใบหน้ากลับแย้มยิ้ม
รอยยิ้มนี้เปี่ยมด้วยแสงอาทิตย์ แฝงไว้ซึ่งพลังชีวิตต่อสรรพสิ่ง ยิ่งกว่านั้นยังมีความมองโลกในแง่ดีต่อชีวิตมนุษย์ด้วย มันก่อเกิดเป็นพลังแพร่เชื้ออย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อทั้งรอบด้านเช่นเดียวกัน ทำให้พืชพรรณบนภูเขาที่เขาฟื้นกลับมาจากสภาพเหี่ยวเฉาก่อนหน้านี้ในชั่วอึดใจ แล้วแผ่ขยายไปด้านนนอก ปะทะกับเวทีละครที่หญิงผู้นั้นสร้างขึ้น
ความปีติ สร้างรอยยิ้ม ส่งมาจากใจ แพร่กระจายไปทั้งแปดทิศ
นี่คือกฎเกณฑ์ของเต๋าสายสุข ความยินดี ปีติ ไร้ห่วงไร้กังวล ทั้งเรียบง่ายและไม่ไร้เดียงสา
ความเรียบง่ายเช่นนี้เป็นเพราะมีอยู่ในทุกคน ความไม่ไร้เดียงสาเช่นนี้เป็นเพราะถึงทุกคนจะมีอยู่ แต่ก็มักจะหายไปตามกาลเวลา เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ความสุขก็เหมือนจะลดลงไปช้าๆ เช่นกัน
เมื่อเทียบกันแล้ว มักจะเป็นวัยเด็กที่รอยยิ้มจริงใจมากที่สุด และสอดคล้องกับสารัตถะแห่งเต๋าสายสุขมากที่สุด แต่หวังเป่าเล่อในตอนนี้ คนทั้งคนดูแล้วคล้ายกับเด็กที่กำลังฟังละครอยู่ รอยยิ้มจริงใจอย่างยิ่ง ความสุขไม่มีการปกปิดไว้แม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หญิงชุดเขียวที่เดินเข้ามาผู้นั้นก็ชะงักฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายนางยืนอยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อไปหลายร้อยจั้ง เงาร่างที่สูงพอๆ กับภูเขาคล้ายไม่อาจก้าวไปข้างหน้าต่อได้อีกแล้ว สีหน้าใต้ผมดำบิดเบี้ยว ราวกับกำลังดิ้นรน
ส่วนผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียงคนอื่นๆ ข้างกายนางนั้น ขณะนี้แม้ว่าจะพยายามถ่ายทอดบทเพลงเต็มกำลัง ทว่าภายใต้ความปีติและรอยยิ้มของหวังเป่าเล่อ แต่ละคนก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือหยุดยั้งไม่ให้ถูกแพร่เชื้อสุขได้ เงาร่างค่อยๆ เปลี่ยนกลับจากสภาวะทำนองเพลงแล้วแย้มยิ้มออกมา ยิ้มไปยิ้มมา ร่างกายของแต่ละคนก็สูญเสียแรงกำลัง ก่อนร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ
หลังหล่นลงมาที่พื้นก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก มีเพียงใบหน้าที่ยังประดับรอยยิ้มและความพึงพอใจไว้เท่านั้น
เมื่อเห็นภาพนี้ หวังเป่าเล่อก็ครุ่นคิด
มองไปยังที่ไกลๆ ภาพที่ปรากฏอยู่ระหว่างฟ้าดินในตอนนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เวทีละครมายาที่ก่อเกิดจากเทือกเขาและป่าไม้ราวกับถูกตัดเป็นสองส่วน ร่างของหญิงชุดเขียวและหวังเป่าเล่อยืนอยู่ที่ใจกลางของทั้งสองส่วนนี้พอดี
การเผชิญหน้าของพวกเขาทำให้ทั้งสี่ทิศบิดเบี้ยวตลอดเวลา แต่เห็นได้ชัดว่าถึงแม้เสียงเพลงของหญิงชุดเขียวผู้นั้นจะแปลกพิสดาร แต่เมื่อเทียบเรื่องระดับขั้นกับหวังเป่าเล่อแล้ว นางยังห่างชั้นอยู่มาก
ถ้าไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อไม่อยากใช้วิชาจากโลกภายนอกออกมาล่ะก็ หรือพูดให้ถูกคือ ไม่ได้ใช้พลังของตัวเองเลยสักนิด แค่อาศัยความสุขที่ตระหนักรู้มาได้ในช่วงหลายปีนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นการสังหารหญิงชุดเขียวผู้นี้ก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
ดังนั้นจึงเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน เป็นเพราะตอนนี้ผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียงรอบตัวหญิงชุดเขียวผู้นี้ตกตายด้วยรอยยิ้มไปตามๆ กัน หมู่บ้านด้านหลังหวังเป่าเล่อจึงเริ่มโคจรวิชาเคลื่อนย้ายอีกครั้ง เงาร่างที่ก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบก็เริ่มกลับมาพร่าเลือนใหม่แล้ว
เมื่อเห็นว่าการเคลื่อนย้ายใกล้จะเสร็จสิ้น หญิงชุดเขียวที่ถูกวิชาเต๋าสายสุขของหวังเป่าเล่อหยุดไว้ก็พลันถอนหายใจแผ่วเบา และเมื่อเสียงถอนหายใจดังขึ้น ไม่ใช่แค่เนื้อเพลงเท่านั้น แต่บทเพลงก็ยังระเบิดออกมาในชั่วอึดใจนี้เช่นกัน
ความอัดอั้นที่มีอยู่ก่อนหน้านี้และความอาฆาตแค้นทั้งหมดราวกับพุ่งขึ้นมาฉับพลันท่ามกลางเสียงถอนหายใจแผ่วเบาและเสียงเพลงที่เพิ่มระดับขึ้นมาทันที ราวกับว่าส่วนหนึ่งของท่อนสำคัญในบทเพลงปะทุออกมาในชั่วพริบตา
“ที่ควรมา ล้วนไม่มา…”
“ที่ควรอยู่ ล้วนไม่อยู่…”
“ที่ควรรัก ล้วนไม่รัก…”
ชั่วขณะหนึ่ง ความอาฆาตแค้นที่ระเบิดออกมานี้ก็ทำให้เวทีละครที่เกิดขึ้นจากเทือกเขารอบๆ เปลี่ยนจากภาพมายาเป็นของจริง เหมือนกับมีเวทีละครมาตั้งไว้จริงๆ ร่างลวงตาหลายร่างผุดขึ้นมารอบตัวหญิงชุดเขียว ขณะที่พวกมันเริ่มร่ายรำ ฝีเท้าของหญิงชุดเขียวก็ก้าวมาหาหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
ความพิศวงพุ่งถึงจุดสูงสุด น่าสะพรึงเขย่าขวัญ
ผ่านไปที่ใด ท้องฟ้าล้วนสิ้นสีสัน ฟ้าดินเหี่ยวเฉา
ได้ยินที่ใด จิตใจกลิ้งเกลือก ชีวิตสูญหาย
หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา ความสุขรอบตัวเขาเบาบางลงไปมาก แม้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่การถอนหายใจก็ยังอยู่ในใจเขาเนิ่นนานไม่สลายหายไป สุดท้ายภาพชุดแต่งงานก็ผุดขึ้นในหัวของเขา
“ดนตรีมีจิตใจ…ชื่อของบทเพลงนี้อาจจะเป็นชุดแต่งงาน” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นยืน เขาไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ การเคลื่อนย้ายที่ด้านหลัง ตอนนี้สำเร็จไปมากกว่าครึ่งและบรรลุถึงสภาวะที่ไม่อาจย้อนกลับได้แล้ว
และเขาก็ต้องยอมรับว่าในสถานการณ์ที่ไม่อาจใช้พลังของตัวเองเช่นนี้ แค่อาศัยวิชาแห่งสุขที่ตนตระหนักรู้ในช่วงไม่กี่เดือน เขาก็ยากจะจัดการหญิงชุดเขียวที่เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตคนนี้ได้
ความแค้นและความเกลียดชังของอีกฝ่ายหลอมรวมเข้าไปในบทเพลงโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้บทเพลงนี้พิสดารจนถึงขีดสุด การที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ทั้งยังเกิดเป็นบทเพลงที่สมบูรณ์แบบ คิดไปคิดมา…สถานะของหญิงผู้นี้ในเมืองปรารถนาเสียงก็คงเป็นรองแค่เจ้าปรารถนาแห่งเสียงผู้นั้นแน่
ผู้ฝึกตนแบบนี้ เวลานี้หวังเป่าเล่อไม่อยากข้องเกี่ยวมากนัก ดังนั้นหลังจากลุกขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่ได้มองไปยังหญิงชุดเขียวที่เดินมาหาคนนั้นอีก ตัวเขาก้าวสู่ท้องฟ้าห่างไกล กำลังจะจากไป
แต่ในชั่วขณะที่กำลังจะจากไปนั้นเอง ความเคียดแค้นในแววตาของหญิงชุดเขียวก็รุนแรงขึ้นอีกครั้ง ชั่วอึดใจเสียงเพลงก็เปลี่ยนไปอีกรอบ มันไม่ได้เป็นทำนองขึ้นๆ ลงๆ อีกต่อไป แต่กลายเป็นท่วงทำนองโสตแห่งเต๋า
ราวกับเสียงคำรามและเสียงกรีดร้องกลายมาเป็นบทเพลงนี้ ช่างแหลมคมนัก!
เวทีละครก็ยังทนรับไม่ไหว เมื่อเสียงอันแหลมคมนี้ระเบิดออกมา มันก็พังทลายในพริบตา เงาร่างที่ร่ายรำรอบๆ ทั้งหมดแตกกระจายในชั่วอึดใจ แม้แต่ผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียงเหล่านั้นที่เหลืออยู่ข้างกายหญิงชุดเขียวก็ยังทนรับไม่ไหว พากันกรีดร้องครวญคราง ก่อนที่ร่างกายจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ทันที
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ราวกับกลายเป็นของบำรุงให้หญิงชุดเขียว ทำให้เสียงแหลมคมที่นางร้องออกมาตอนนี้ราวกับทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางบางอย่าง ทำให้ฟ้าดินสิ้นสีสันและหม่นแสงไปในชั่วขณะนี้เอง
เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของหวังเป่าเล่อผู้เตรียมจะเดินไปไกลเปลี่ยนไป ฝีเท้าหยุดลงและหันหน้ามา ดวงตาฉายแววแปลกประหลาด
“นี่คือ…กลิ่นอายของเมล็ดพันธุ์เต๋าอย่างนั้นหรือ”
…………………