หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1322 ร่างแยกอิสระ
เหมือนกับจักรพรรดิในพระราชวังในเต๋าแห่งฝันของหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เสวียนเฉินที่โผล่ใบหน้าไร้อารมณ์ขึ้นมาบนฟ้าสีหน้าเคร่งขรึม มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่แตกต่างไป สิ่งที่เปล่งออกมาไม่ใช่ความน่าเกรงขาม แต่เป็นลมพายุที่แฝงอยู่ใต้ประกายแสงสีแดงก่ำ
ราวกับเบื่อหน่ายโลกและสะกดกลั้นความบ้าคลั่งเอาไว้ แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทั้งที่ควรจะมีอารมณ์ความรู้สึกมาก แต่กลับกลายเป็นความเย็นชาแบบที่ไม่อาจปกปิด บางทีอาจเป็นเพราะความไม่เข้ากันนี้จึงทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในโลกาชั้นที่สองพากันเงยหน้าขึ้น พร้อมจิตใจที่สั่นสะท้าน
แม้ว่าผู้แข็งแกร่งในโลกาชั้นที่สองแห่งนี้จะมีมากมาย เจ็ดอารมณ์ก็ดี หกปรารถนาก็ช่าง และยังมีเมืองโบราณลึกลับแห่งนั้นอีก แต่ต้องพูดเลยว่า…ทั้งหมดนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิเสวียนเฉินผู้มีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นที่หกเป็นอย่างต่ำนั้น พวกเขาล้วนสามารถถูกบดขยี้ได้
เพราะว่าเขาอยู่เหนือกว่าศิษย์แห่งเทพเจ้า เป็นผู้พิทักษ์จิตแห่งเทพเจ้า และในแง่หนึ่ง เขาก็เป็นตัวแทนของกฎเกณฑ์ข้อสุดท้ายของโลกใบนี้
ตอนนี้ใบหน้านี้มองลงมายังสรรพชีวิตบนผืนพิภพจากบนฟ้า ราวกับกำลังเสาะหา จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้านี้ได้คลาดกับร่องรอยของหวังเป่าเล่อไปแล้ว มันจึงค่อยๆ เลือนหายไป
ในโลกชั้นที่หนึ่ง ชายชุดคลุมดำผู้ยืนอยู่บนรูปสลักนกแก้วนั่งลงอีกครั้ง ก้มหน้าแล้วหลับตา
เมื่อใบหน้านั้นหายไป วิญญาณจักรพรรดิที่หวังเป่าเล่อดึงดูดมาพวกนั้นก็พากันสลายตัวเช่นกัน โลกทั้งใบค่อยๆ ฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันต่อมาสาดส่องไปทั่วโลกา ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติอย่างสมบูรณ์
โลกยังคงหมุนไป สรรพชีวิตยังคงฝึกบำเพ็ญ แต่บรรยากาศแปลกประหลาดกลับเริ่มแพร่กระจายอยู่ในโลกาชั้นที่สอง เป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนนี้ แม้ว่าคนนอกจะไม่รู้รายละเอียด แต่อาศัยการคาดเดาก็ยังเดาออกได้ประมาณหนึ่ง
ผู้ที่สามารถดึงดูดวิญญาณจักรพรรดิและทำให้ผู้พิทักษ์ปรากฏตัวได้นั้น มีเพียง…คนที่มาจากภายนอก
แม้ว่าเรื่องนี้จะพบได้ยากในโลกชั้นที่สอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นผู้ฝึกตนประจำถิ่นจำนวนมากขึ้นจึงเริ่มแลกเปลี่ยนการคาดเดา ขณะเดียวกัน ยามรุ่งอรุณภายในเมืองปรารถนาเสียงก็มีเสียงฉินดังแว่วมาจากที่ใดสักแห่ง
เสียงดีดฉินนี้มาพร้อมกับความโกรธเกรี้ยว ยิ่งกว่านั้นคือไม่ยินยอม หลังจากมันดังขึ้นมาก็แผ่คลุมไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองปรารถนาเสียงมีเมฆครึ้มปกคลุมในพริบตา ก่อนที่ฝนห่าใหญ่จะตกลงมา
ไม่นานมีก็มีคำสั่งถูกถ่ายทอดออกมา ผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียงจำนวนมากจะได้รับเงินรางวัลนำจับที่เรียกได้ว่าสูงมากทีละคน
และเป้าหมายของรางวัลนำจับนี้ก็คือตามหาชิงหลิง!
ชิงหลิงก็คือหญิงชุดเขียวที่ถูกหวังเป่าเล่อสังหารและได้เมล็ดเต๋ามาคนนั้นเอง
เมื่อเกิดเรื่องสั่นสะเทือนขึ้นในเมืองปรารถนาเสียงและมีผู้ร่ำร้องจากปรารถนาเสียงจำนวนมากออกมา โลกาชั้นที่สองซึ่งเดิมอยู่ในความสมดุลก็เริ่มส่อแววเสียสมดุลขึ้นมาช้าๆ
ขณะที่ฝนห่าใหญ่ของโลกภายนอกกำลังจะบังเกิด ณ พื้นที่เปล่าเปลี่ยวห่างไกลแห่งหนึ่งในโลกชั้นที่สอง ที่แห่งนี้ไม่ใช่เทือกเขา แต่เป็นทะเลทรายไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง ทว่ามันแตกต่างจากทรายเหลืองดั้งเดิม เพราะทะเลทรายที่นี่เป็นสีม่วง
กรวดทรายสีม่วงก่อเกิดเป็นมหาสมุทรทรายสีม่วงผืนหนึ่ง ทำให้ที่นี่ทั้งดูแห้งแล้ง ขณะเดียวกันก็มีความอัศจรรย์น่าพิศวงอยู่บ้าง
เพราะทุกคนที่เข้าใกล้หรือเดินเข้ามาที่นี่ ล้วนต้องได้กลิ่นคาวเลือด และรั้งอยู่ที่นี่ไม่อาจกลับไปได้
ที่แห่งนี้ ในโลกชั้นที่สองเรียกว่า จื่อหมัว
ตามตำนานเล่าว่าเมื่อหลายปีก่อน มีจอมพลังผู้หนึ่งถูกฆ่าตายในที่แห่งนี้ เลือดของนางชุ่มโชกไปทั่วทั้งทะเลทราย ทำให้ทะเลทรายแห่งนี้กลายเป็นสีม่วง ขณะเดียวกัน เนื่องจากที่แห่งนี้มีการยับยั้งอันแรงกล้าอยู่ จึงส่งผลกระทบต่อพลังฝึกตนของผู้ฝึกตนที่ก้าวเข้ามาที่นี่ นอกจากนี้ในความเปล่าเปลี่ยวก็ยังมีความแห้งแล้ง และมีจอมพลังมาตรวจสอบดูเพื่อให้แน่ใจว่าที่นี่ไม่มีโอกาสวาสนาใดๆ ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น พื้นที่แห่งนี้จึงยากจะมีเงาคนปรากฏ
แต่ในส่วนลึกใต้ผืนดินของทะเลทรายสีม่วงแห่งนี้ หวังเป่าเล่อกลับนั่งสมาธิอยู่ที่นี่ไม่ขยับเขยื้อน ทั้งจิตและกายล้วนจมอยู่กับการผสานระหว่างกฎเกณฑ์เต๋าแห่งสุขและปรารถนาเสียงภายในร่าง
การผสมผสานเช่นนี้ ตามหลักการแล้วสามารถเร่งให้เร็วขึ้นได้ แต่การเร่งความเร็วจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดบางอย่างต่อการปกปิดกฎเกณฑ์ในตัวหวังเป่าเล่อ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่รีบร้อน แต่ปล่อยให้กฎเกณฑ์ทั้งสองอย่างต่อต้านกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายในร่าง
เขารู้ดีอย่างยิ่งว่า ครั้งแรกที่ใช้พลังจากโลกภายนอก เขาดึงดูดแค่วิญญาณจักรพรรดิเท่านั้น แต่ตอนใช้ครั้งที่สองกลับทำให้ผู้พิทักษ์ผู้นั้นปรากฏตัวได้ เมื่ออนุมานได้เช่นนี้ เขาก็เชื่อว่าหากตนใช้กฎเกณฑ์ของโลกภายนอกออกมาเป็นครั้งที่สาม หรือกลิ่นอายของเขาถูกตรึงเป้าหมายไว้ได้อีกครั้ง เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางถอยแล้ว
แต่พลังฝึกตนของเขาตอนนี้ยังไม่พอจะไปต่อกรกับผู้พิทักษ์คนนั้น และเป้าหมายที่เขามายังมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้ก็ไม่ใช่การกวาดล้างครั้งใหญ่ในทันที
“จำเป็นต้องแก้ปัญหาสองอย่าง…”
“หนึ่งคือต้องหาวิธีไปอยู่หน้ามหาเทพให้ได้”
“ส่วนอย่างที่สองคือผู้พิทักษ์คนนั้น…” หวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิอยู่ใต้พื้นดินค่อยๆ ลืมตาขึ้น มันส่องประกายวาบอยู่ใต้พื้นดินอันมืดมิด
“จักรพรรดิเสวียนเฉิน…ฝันของเขา การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายและคำถาม…” หวังเป่าเล่อเงียบงัน เขานึกถึงคำพูดเรื่องความดีความชั่ว รู้สึกแปลกๆ กับคำถามในคราวนั้นของอีกฝ่าย ตอนนี้เมื่อลองไตร่ตรองดูแล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ยิ่งแรงกล้ามากขึ้น จนเกิดความรู้สึกรุนแรงอย่างเลือนราง
ความดีและความชั่วเช่นนี้ดูแล้วคล้ายจะเป็นคำถามเรียบง่าย แต่แฝงความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองดูร่างกายของตน สัมผัสได้ถึงการต่อต้านระหว่างกฎเกณฑ์สองชนิดในร่างกาย ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็มีตัวเลือกในใจแล้ว
ในเมื่อไม่อาจเผยร่างจริงได้ง่ายๆ เช่นนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คืออยู่ที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงการค้นหาของอีกฝ่าย จากนั้นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในตอนนี้ก็คือกลายเป็นร่างแยกออกไปข้างนอก
แต่ร่างแยกธรรมดานั้นมีเหตุต้นผลกรรมอยู่กับร่างจริง ทันทีที่ถูกพบเห็น ร่างจริงก็ยังคงถูกตรึงตำแหน่งอยู่ดี ดังนั้นร่างแยกนี้จะต้องไม่มีเหตุต้นผลกรรมเกี่ยวพันกับร่างจริง
ในแง่หนึ่งนั้น…มันจึงเท่ากับการสร้างร่างแยกอิสระออกมา
และอิสระก็มักจะเสี่ยงต่อการกบฏ แต่ความเสี่ยงเช่นนี้ สำหรับหวังเป่าเล่อที่อยู่ขั้นห้าแล้ว ใช่จะแก้ไขไม่ได้
ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็หลับตาลง พริบตาต่อมา ร่างกายของเขาก็เกิดเงาซ้อนทับขึ้น จากนั้นร่างแยกร่างหนึ่งก็ค่อยๆ รวมตัวขึ้น หายวับไปจากใต้พื้นดินในพริบตา
ไม่นานนัก ที่ชายขอบทะเลทรายสีม่วงแห่งนี้ก็มีเงาร่างร่างหนึ่งเดินออกมา
ร่างนี้ดูผอมบางอย่างยิ่ง มองไม่เห็นถึงความคล้ายคลึงกับหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือกลิ่นอาย พลังฝึกตนก็คล้ายอยู่ระดับวิญญาณจุติเท่านั้น แต่แววตากลับแฝงความเยียบเย็นเอาไว้ หากมองดีๆ แล้วจะเห็นว่าในความเยียบเย็นนี้มีไอสังหารและความโหดเหี้ยมอยู่ คล้ายกับว่าภายในร่างของเขาได้ผนึกพลังทำลายล้างโลกเอาไว้
นี่ก็คือร่างแยกพิเศษที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้น
ร่างแยกนี้คือสภาพที่หวังเป่าเล่ออ้างอิงมาจากวิญญาณจักรพรรดิ จนแล้วก่อเกิดขึ้นเป็น…ร่างแยกอิสระไร้คลื่นอารมณ์ผันผวนจนเกินไป
ในแง่หนึ่ง ตัวเขากับวิญญาณจักรพรรดิคล้ายคลึงกันมาก แต่ส่วนที่แตกต่างกันก็คือ…ไม่รู้ว่าใครมีอำนาจการควบคุมวิญญาณจักรพรรดิ เพราะมหาเทพยังหลับใหลอยู่ แต่วิญญาณเต๋าของหวังเป่าเล่อนี้ อำนาจการควบคุมอยู่ที่ตัวเขาเอง
“เช่นนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้า ก็คือหวังเป่าเล่อคนใหม่” ขณะนี้ ร่างแยกที่เดินออกจากทะเลทรายสีม่วงหันไปปราดมองทะเลทรายแวบหนึ่ง ก่อนหัวเราะเสียงเย็นออกมาหนึ่งคราแล้วก้าวเดินไปยังที่ห่างไกล
…………………