หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1323 ผูกมิตร
“หวังเป่าเล่อคนใหม่หรือ” ที่ส่วนลึกใต้พื้นดินของจื่อหมัว หวังเป่าเล่อผู้นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นหัวเราะออกมา ไม่ได้ไปสนใจ
ร่างแยกเป็นอิสระอย่างแท้จริง ไม่มีเหตุต้นผลกรรมใดๆ กับอดีตของหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าบอกว่ามีอยู่จริง ก็คงเป็นเพราะกฎเกณฑ์แห่งสุขและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงที่แพร่กระจายอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้ ที่อาจจะยังมีอยู่ในตัวร่างแยกไม่มากก็น้อย
แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา เดิมทีกฎของเต๋าทั้งสองชนิดนี้ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกชั้นที่สองแห่งนี้อยู่แล้ว ไม่นับว่าเป็นเหตุต้นผลกรรมของตัวเขา
มีเพียงความสัมพันธ์แค่อย่างเดียวจริงๆ ซึ่งก็คือ…ตั้งใจจะกำจัดเหตุต้นผลกรรมกับมหาเทพเหมือนกัน
แค่เรื่องนี้ก็เพียงพอแล้ว
“บางทีการใช้ท่าทีที่เยือกเย็นขึ้นและเด็ดเดี่ยวขึ้นก็อาจจะคลี่คลายสถานการณ์ได้ดีขึ้นก็ได้” หวังเป่าเล่อจ้องมองร่างแยกที่เดินไปไกลแล้ว จากนั้นจึงหลับตาลงช้าๆ สำหรับเขาแล้ว สำเร็จคือดีที่สุด ถ้าร่างแยกล้มเหลวก็ไม่เป็นไร คิดว่าตอนนั้นตนคงจัดการภัยแฝงเรื่องกฎเกณฑ์ของโลกภายนอกในตัวเขาได้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อถึงตอนที่เขาผสานกฎเกณฑ์แห่งสุขและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็สามารถเดินออกไปได้อีกครั้งโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตรึงตำแหน่งหรือถูกตามหาตัวเลย
เป็นเช่นนี้ หลังจากร่างจริงของหวังเป่าเล่อหลับตาลง ทั้งร่างก็จมลงไป ส่วนร่างแยกของเขาตอนนี้อยู่นอกทะเลทราย เดินทางไปไกลอยู่บนผืนโลก
เขาไม่มีความคิดจะทำตัวไม่เป็นจุดสนใจแบบหวังเป่าเล่อร่างจริง ตอนนี้ร่างแยกไม่มีความผันผวนทางอารมณ์แม้แต่น้อย เขาแผ่พลังฝึกตนระดับวิญญาณจุติออกมาทั่วร่าง พร้อมเร่งความเร็วพุ่งฉิวไปข้างหน้า
ไร้จุดหมายปลายทาง
ร่างแยกของหวังเป่าเล่อก็ไม่รู้ว่าตนต้องไปที่ใด โลกใบนี้กว้างใหญ่ และตัวเขาก็ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่อย่างยิ่ง ดังนั้นตามความคิดของเขาแล้ว ตอนนี้ตนจำเป็นต้องสอบถามผู้ฝึกตนประจำถิ่นสักคน
เวลาเคลื่อนผ่าน ขณะที่หวังเป่าเล่อเร่งเดินทางรวดเร็วไปพร้อมกับความคิดเช่นนี้ ไม่นานก็ผ่านมาแล้วสี่วัน
ในช่วงสี่วันนี้ ไม่ว่าเขาผ่านไปที่ใดก็ไม่เห็นแม้แต่เงาผู้ฝึกตนสักคนเดียว ผืนดินค่อยๆ เปลี่ยนจากสีม่วงเข้ม จนกระทั่งเข้าวันที่ห้า สีของพื้นดินก็เริ่มเป็นสีเหลืองอ่อน มีต้นไม้ใบหญ้ามากขึ้น
หวังเป่าเล่อที่กำลังเร่งเดินทางกวาดมองผืนแผ่นดิน ขณะที่กำลังจะเดินทางต่อ ไม่ช้าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหันไปมองด้านขวา ที่ป่าในบริเวณห่างไกลตรงนั้นคล้ายจะมีร่องรอยผันผวนของกฎเกณฑ์อยู่
หลังจากปราดมอง หวังเป่าเล่อก็หันหน้าเปลี่ยนทิศทาง พุ่งตรงไปยังพื้นที่แห่งนั้น แต่เมื่อเข้ามาใกล้ป่าผืนนี้ กลับมีเสียงทะลวงอากาศดังขึ้นมาในพริบตา
หวังเป่าเล่อไม่ขยับขา ร่างกายส่วนบนเอนหลบไปด้านหลัง หางตามองเห็นเงาดำถลันบินผ่านหน้าตนไปตรงๆ บนยอดของต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งที่ไกลๆ มีร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
เขาคือชายชราร่างกายผอมแห้งราวกับลิงคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าสีดำ พลังฝึกตนอยู่ระดับวิญญาณจุติชั้นกลาง ตอนนี้กำลังนั่งยองๆ อยู่บนยอดไม้ ดวงตาสาดประกายสีมรกต หลังจากจ้องหวังเป่าเล่อเขม็ง เขาก็เอ่ยเสียงแหบแห้งว่า
“ผู้มาเป็นใคร!”
“ผู้ฝึกตนจากเมืองโบราณ” หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้บอกชื่อแซ่ของตนออกไป ประกายแสงในดวงตารวมตัวกันแล้วจ้องมองชายชรา
“เมืองโบราณหรือ ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า ออกไปเดี๋ยวนี้” ชายชราหรี่ตาลง เลียริมฝีปาก เสียงแหลมคมเล็กน้อย
หวังเป่าเล่อกวาดมองอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง ก่อนมองไปยังป่าผืนนั้นที่อีกฝ่ายขวางไม่ให้ตนเข้าไป เขาสัมผัสได้ลางๆ ว่าในป่ายังมีสายตาอีกสามคู่กำลังจ้องมาที่ตนเอง ทั้งยังแฝงเจตนาร้ายเอาไว้ และจมูกของเขาก็ได้กลิ่นหอมแปลกประหลาดเช่นกัน
กลิ่นหอมนี้ไม่รู้ว่าปรุงมาจากเนื้อสัตว์อะไร แม้จะจางมาก แต่ทันทีที่จมูกของหวังเป่าเล่อได้กลิ่น ร่างกายของเขาก็รู้สึกอยากกินขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ คล้ายกับว่าตัวเขากำลังหิวกระหาย
คิดไปคิดมาคนพวกนี้น่าจะกำลังปกป้องของแปลกประหลาดนั่นอยู่ที่นี่ หากเปลี่ยนเป็นร่างจริงของเขา บางทีอาจจะรู้สึกสนใจอยู่บ้าง แต่หวังเป่าเล่อในขณะนี้ไม่สนใจ
“ขอแผนที่ของแถวนี้ให้ข้า แล้วข้าจะไป” หวังเป่าเล่อถอนสายตากลับแล้วเอ่ยบอกตรงๆ
ชายชราชุดดำขมวดคิ้วมุ่น คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นความแปลกใจ ดังนั้นหลังจากประเมินหวังเป่าเล่ออยู่สองสามที เขาก็สะบัดมือขวา โยนแผ่นหยกไปให้ หลังจากหวังเป่าเล่อคว้ามาได้ก็ใช้ดวงจิตเทพกวาดมอง ก่อนหันกายจากไป
แต่ในชั่วขณะที่หวังเป่าเล่อเดินห่างจากที่นี่ไปไม่กี่สิบจั้ง ภายในป่าไม้แห่งนั้นพลันมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
“สหายเต๋าจากเมืองโบราณ ได้พบถือว่ามีวาสนา อยากจะเข้ามาเสวยสุขด้วยกันสักหน่อยหรือไม่”
แทบจะทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ชายชราชุดดำผู้นั้นก็หรี่ตาและหายตัววาบคล้ายทำไปเพราะเสียงนี้ จากนั้นจึงกลายเป็นเงาติดตาที่รวดเร็วจนน่าตะลึง แล้วมาปรากฏตัวอยู่หน้าหวังเป่าเล่อ ขวางทางเขาเอาไว้ทันที
“หมายความว่าอย่างไร?” หวังเป่าเล่อหยุดชะงักฝีเท้า ใบหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ
“ไม่ได้หมายความว่าอะไร แค่อยากจะผูกมิตรเท่านั้น” ผู้ที่ตอบหวังเป่าเล่อไม่ใช่ชายชราชุดดำตรงหน้า แต่เป็นชายที่อยู่ตรงกลางในหมู่ผู้ฝึกตนสามคนที่บินออกมาจากในป่าขณะนี้
ผู้ฝึกตนสามคนนี้คล้ายอยู่ในวัยกลางคน สองคนในนั้นมีพลังฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นต้น มีเพียงคนที่พูดอยู่เท่านั้น เมื่อพลังฝึกตนของเขาผันผวนก็เปิดเผยกลิ่นอายของระดับวิญญาณจุติชั้นปลายออกมา
ตอนนี้เมื่อเขามองหวังเป่าเล่อ สายตาก็ส่องประกายความโลภ ถึงขั้นเลียริมฝีปากด้วยซ้ำ เจตนาร้ายเต็มไปหมด
“อ้อ” สีหน้าของหวังเป่าเล่อไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ขณะที่เขาพยักหน้า ร่างกายของเขาก็ระเบิดพลังทันที มันเหนือกว่าก่อนหน้านี้ยิ่งนัก แทบจะในชั่วพริบตา ขณะที่ทั้งสี่คนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไร เขาก็มาอยู่ข้างกายชายชราชุดดำ ก่อนยกมือขวาจับคอของชายชราเอาไว้แล้วกระชากอย่างแรง ขณะเดียวกันก็ยกเข่าซ้ายเตะไปที่เป้าของชายชราหนักๆ
เสียงแควกดังขึ้น เมื่อชายชรากรีดร้องลั่น เลือดเนื้อทั่วร่างของเขาตั้งแต่บนลงล่างก็พร่าเลือน แม้แต่ขั้นวิญญาณจุติก็ถูกทำลายทันที เหลือเพียงหัวที่ถูกหวังเป่าเล่อถืออยู่ในมือเท่านั้น เมื่อเขาหันไปมองผู้ฝึกตนทั้งสามที่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ก็โยนมันไปให้
“จะผูกมิตร ก็ต้องมีมารยาทยามพบปะ ข้าแซ่หวังรีบร้อนเดินทางจึงไม่ทันได้เตรียมตัว เช่นนั้นก็ใช้หัวนี้เป็นของขวัญแล้วกัน”
ในบรรดาผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณจุติสามคนนั้น นอกจากวิญญาณจุติชั้นปลายที่พูดจาก่อนหน้านี้แล้ว สองคนที่เหลือก็พากันถอยหลังหลายก้าวตามสัญชาตญาณ สายตาที่มองหวังเป่ามีความหวาดกลัวแรงกล้า
สามารถสังหารวิญญาณจุติคนหนึ่งได้ในชั่วอึดใจ ในความคิดของพวกเขา นี่เป็นศัตรูแกร่งที่ไม่อาจล่วงเกินได้เลย
แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายในตำนานผู้นั้นก็สะอึกอยู่ในใจ หลังจากสูดหายใจลึกแล้วทำให้รอยยิ้มของตนดูเป็นคนดีขึ้นมาหน่อย เขาก็โค้งคำนับพลางกล่าวว่า
“สหายเต๋าเกรงใจแล้ว ข้าชอบมารยาทเช่นนี้มาก ในป่าเตรียมหุงหม้อเนื้อสัตว์เอาไว้ แล้วยังมีเหล้าชั้นดีอีก เชิญ!”
หวังเป่าเล่อไม่ขยับเขยื้อน ปราดมองผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วเอ่ยราบเรียบ
“ผูกมิตรจำเป็นต้องมีมารยาทการพบปะ ของขวัญข้าล่ะ” กล่าวจบหวังเป่าเล่อก็ปรายตามองลำคอของผู้ฝึกตนที่ถอยร่นไปพวกนั้น
เมื่อเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อ ทั้งสองคนก็หน้าเปลี่ยนสี ร่างกายถอยหลังอีกครั้ง โคจรพลังฝึกตนเต็มที่
ผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายผู้นั้นก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน หลังจากเห็นผู้ฝึกตนทั้งสองคนถอยร่น ความคิดที่อยู่ในใจก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าหากเป็นตัวเองคงไม่อาจสังหารอย่างคล่องแคล่วฉับพลันเช่นนี้ได้ขณะที่มีระดับวิญญาณจุติชั้นกลางเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่แน่ ดังนั้นในเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าสามารถทำได้ เขาก็รู้แล้วว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้
ทั้งตัวเขายังเป็นฝ่ายยั่วยุก่อน ดังนั้นหากไม่จัดการให้ดี วันนี้จะต้องเกิดวิกฤตถึงชีวิตแน่ เขาหรี่ตาลง สะบัดมือขวา ป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
“ป้ายเข้าเมืองปรารถนารส ในนั้นยังมีจำนวนเข้าเมืองอยู่สองครั้ง ให้เป็นของขวัญ ดีหรือไม่”
…………………