หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1357 ความหวัง
“เมื่อเทียบกับอิสระที่จะได้รับ ข้าอยากได้ความหวังที่ไร้ขอบเขตมากกว่า” หวังเป่าเล่อเงียบไปชั่วครู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางเจ้าปรารถนาที่อยู่บนหม้อยักษ์ซึ่งกำลังมองมาทางตนด้วยความสงสัย
เขาย่อมเข้าใจนัยยะของอีกฝ่าย ที่บอกตนก่อนถึงข้อต่อรองที่โลกด้านบนมอบให้ จากนั้นก็บอกว่าตนรู้ถึงท่าทีของเขา และสุดท้ายก็ยื่นข้อเสนอ
พื้นฐานของทั้งหมดนี้ก็คือ…ทั้งสองฝ่ายอาจจะสามารถร่วมมือกันได้
บางทีคนผู้นี้อาจยังไม่รู้แน่ชัดถึงสถานะของตน แต่ก็น่าจะคาดเดาได้ถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว และการร่วมมือนี้ สำหรับเจ้าปรารถนานั้น แม้จะมีความเสี่ยง แต่เมื่อคาดการณ์แล้วก็คุ้มค่าแก่การลอง
อย่างมากที่สุดก็ถูกกำราบก็เท่านั้น แต่หากสำเร็จ…เช่นนั้นสิ่งที่เขาได้รับก็คืออิสระอย่างแท้จริง
และตัวหวังเป่าเล่อ เวลานี้ก็ได้ตัดสินใจแล้วเช่นกัน สถานะของเจ้าปรารถนาเหล่านี้ของโลกาชั้นที่สอง น่าจะเป็นหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ 108 คน ในตอนแรก
เพียงแต่เมื่อเทียบกับผู้ที่ถูกผนึกไว้เป็นตัวจ่ายพลังในโลกาชั้นแรก คนเหล่านั้น…เลือกที่จะยอมทำตาม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ถูกผนึกเป็นตัวจ่ายพลัง แต่สูญเสียอิสรภาพไปเกือบนิรันดร์
ในหมู่พวกเขา บางคนหมดหวัง บางคนกำลังแสวงบุญ และบางคนยังคงมีไฟเผาผลาญอยู่ในใจ รอคอยโอกาสที่จะมาถึง
หวังเป่าเล่าเข้าใจเรื่องทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถให้สัญญาใดๆ ได้ ทั้งหมดที่เขาสามารถให้ได้คือความหวัง แต่เขาเชื่อว่า… ในเวลาอันยาวนานนี้ การปรากฏตัวของตน เป็นเพียงความหวังเดียวและยิ่งใหญ่ที่สุด
ดังนั้นหลังจากกล่าวออกมาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รีบร้อน รอคอยคำตอบของเจ้าปรารถนาที่อยู่ตรงหน้า
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงหายใจหนักหน่วง
“การสวาปามกำลังจะเริ่มแล้ว ปิงหลิงจื่อ เทศกาลสวาปามครั้งนี้เตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ ตามข้าไปเถอะ” เจ้าปรารถนาไม่ได้รีบร้อนกล่าวคำตอบของเขาออกมา แต่กลับเปลี่ยนเรื่อง ยิ่งกว่านั้นก็ยืนขึ้นบนหม้อยักษ์ช้าๆ ขณะที่โบกมือ รอบด้านก็พร่าเลือนทันที
ราวกับว่าดวงดาวกำลังเคลื่อนคล้อย และในเวลาต่อมา หวังเป่าเล่อและเจ้าแห่งปรารถนาก็ออกจากตำหนักเจ้าเมือง แล้วปรากฏขึ้นเหนือแท่นบูชากลางเมืองปรารถนารสในเทศกาลสวาปาม
หลังจากปรากฏตัวแล้ว ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีมาจากด้านล่าง หวังเป่าเล่อก้มลงมอง เขาก็เห็นประชาชนเมืองปรารถนารสเนืองแน่น
เมื่อถึงขอบเขตกฎเกณฑ์ปรารถนารสของเขาในตอนนี้ ยามที่เขากวาดตามองไป นอกจากจะเห็นผู้ฝึกตนที่ไม่สิ้นสุดแล้ว ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความตะกละของพวกเขาอย่างชัดเจน
กลิ่นอายนี้ สำหรับกฎเกณฑ์ปรารถนารสแล้ว นับได้ว่าเป็นอาหารบำรุงอันโอชะ โดยเฉพาะหลังจากเจ้าแห่งปรารถนานำหนวดสีทองนับไม่ถ้วนนั้นออกมา กลิ่นอายตะกละรอบด้านก็ปะทุขึ้น
“ปิงหลิงจื่อ ยังไม่ดูดรับอีก!” เสียงของเจ้าปรารถนาส่งมาข้างหูหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาเป็นประกาย ไม่ได้เกรงใจและก็ไม่ลังเล แต่กฎเกณฑ์ปรารถนารสในกายกลับปะทุออกมาทันที ขณะนี้ร่างกายได้กลายขนาดเป็น 500 กว่าจั้ง ก่อเป็นวังวนมหึมาสูดกลิ่นอายที่อยู่รอบด้านทันที
ภายใต้การดูดรับนี้ กลิ่นอายตะกละก็เป็นราวกระแสน้ำ รวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งรวดเร็วไปทางหวังเป่าเล่อ หลอมรวมเข้าสู่ภายในวังวน ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้กินเวลาต่อเนื่องไปหนึ่งก้านธูป
เพราะเทศกาลสวาปามในคราวนี้ได้เตรียมไว้เพื่อหวังเป่าเล่อ ดังนั้นในเวลาหนึ่งก้านธูป เจ้าแห่งปรารถนาไม่ได้ดูดรับกลิ่นอายตะกละเลยแม้แต่น้อย เจ้าแห่งสวาปามทั้งแปดก็เป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเทียบกับเจ้าปรารถนาแล้ว เวลานี้ฝ่ายหลังทั้งแปดคนต่างประหลาดใจอย่างที่สุด
โจวฮั่วปากอ้าตาค้าง ถัวหลิงจื่อเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เจ้าสวาปามอื่นก็ล้วนใจเต้นระทึก มีเพียงสองคนที่มีร่างแห่งปรารถนาถึง 500 กว่าจั้งที่ยังสงบอยู่ได้บ้าง แต่ดวงตาฉายแววความหวาดกลัวและระแวดระวัง
แท้จริงแล้วนั้น…วังวน 500 กว่าจั้งของหวังเป่าเล่อ ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์แบบ
ต้องรู้ว่า วังวนร้อยจั้งก็เป็นเจ้าสวาปามได้แล้ว และถึงขนาด 500 กว่าจั้ง ก็หมายความกฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อ สามารถกำราบเจ้าสวาปามได้หลายคน ระหว่างการก้าวกระโดดนี้ จากสาวกเนื้อมาถึงขั้นสูงเช่นนี้ ความเร็วเช่นหวังเป่าเล่อย่อมทำให้ทุกคนประหลาดใจ
ขณะที่จิตใจของเจ้าสวาปามพากันตื่นตระหนก ความคิดต่างๆ ก็ผุดขึ้น ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปหวังเป่าเล่อก็เสร็จสิ้นการดูดรับ เขาดูดรับกลิ่นอายตะกละไปแล้วประมาณสามส่วน ไม่ใช่คิดจะหยุด แต่ประโยชน์ของกลิ่นอายตะกละสำหรับเขาครั้งเมื่อยังเป็นสาวกเนื้อนั้นมากนัก แต่หลังจากเป็นเจ้าสวาปามแล้ว แม้จะยังมี แต่ก็ไม่อาจรับมากเกินไปภายในครั้งเดียว
นี่ก็คือเหตุผลที่เทศกาลสวาปามมีเดือนละหนึ่งครั้ง อย่างไรกลิ่นอายตะกละยังต้องการย่อยสลาย ไม่เหมือนการกลืนกินผู้ฝึกตนอื่นเป็นอาหาร ที่สามารถดูดรับได้โดยตรง
หลังจากนั้นเจ้าปรารถนาก็ดูดกลิ่นอายตะกละจากทั่วสารทิศทันที การดูดดำเนินไปครึ่งเดียว ต่อไปจึงเป็นเจ้าสวาปาม เมื่อถึงเวลานี้เทศกาลสวาปามครั้งนี้สำหรับหวังเป่าเล่อนับว่าได้สิ้นสุดแล้ว
หลังจากเจ้าปรารถนาไปแล้ว คำเชื้อเชิญของเจ้าสวาปามก็มาอย่างต่อเนื่อง หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์ เขาไปเยี่ยมเยีอนโจวฮั่วก่อน หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนเจ้าสวาปามอื่นทีละคนตามคำชี้แนะของโจวฮั่ว
ด้านถัวหลิงจื่อ เขาก็ไปแล้ว ท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมาก ยังแสดงถึงความขอบคุณที่ดูแลเฉิงหลิงจื่อด้วยความสุภาพ
แม้ก่อนหน้านั้นทั้งสองจะมีปัญหาขัดแย้งกันตอนยังเป็นสาวกเนื้อ แต่มีเฉิงหลิงจื่อประสานอยู่ตรงกลาง และพลังของหวังเป่าเล่อก็ยังทำให้ถัวหลิงจื่อหวาดหวั่น ดังนั้นการเยี่ยมเยียนในคราวนี้ ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็ยินดีปรีดา
ขณะเดียวกัน น้ำเย็นหล่อวิญญาณอาหารชนิดนี้ ภายในเมืองปรารถนารสแล้ว ก็นับว่ายืนหยัดได้อย่างมั่นคงและร้านอาหารปิงหลิงก็ขายดีเทน้ำเทท่า ขยายไปในเมืองปรารถนารสได้อย่างราบรื่น ไม่พบอุปสรรคใด
ถึงอย่างไรในฐานะที่หวังเป่าเล่อเป็นเจ้าสวาปาม การเลื่อนขั้นของเขาจึงจำเป็นต้องมีการแบ่งเมืองสวาปามใหม่ อีกทั้งความแข็งแกร่งและคุณความดีของเขา ก็ทำให้เจ้าสวาปามคนอื่น แม้จะไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่ก็ไม่อาจไม่นำผลประโยชน์ส่วนของตนออกมา ทำให้ปรากฏกองกำลังที่เก้าของหวังเป่าเล่อ
หลังจากกระบวนการทั้งหมดผ่านไปประมาณครึ่งเดือน ชื่อของปิงหลิงจื่อได้กลายเป็นพลังเทพภายในเมืองปรารถนารสไปแล้ว ประตูทั้งแปดแต่เดิมที ก็ถูกสร้างขึ้นอีกแห่ง และหวังเป่าเล่อได้มอบให้เฉิงหลิงจื่อเป็นผู้ควบคุม
ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการร้านหญิงก็ดี คนแคระก็ช่าง หรือที่มาติดตามเป็นคนในร้านของเขา ต่างก็กระจายตัวกันไป ทำการค้าให้เขาด้วยความจงรักภักดี
ส่วนที่ดีก็ย่อมมากมายเป็นธรรมดา ที่โดดเด่นที่สุดก็คือในด้านการฝึกตน คนเหล่านี้ก็ได้ดูดรับกลิ่นอายตะกละอย่างเต็มอิ่ม พลังเพิ่มสูงขึ้นมาก กระทั่งว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเขาจะสามารถเลื่อนขึ้นเป็นสาวกเนื้อได้ในเวลาไม่นาน
ทั้งหมดนี้ล้วนดีงาม หวังเป่าเล่อก็สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงภายในเมืองปรารถนารสนี้
แต่เขาเข้าใจว่านี่เป็นแค่เปลือกนอก
เพราะว่า…เขาสัมผัสได้อยู่ลึกๆ หวังเป่าเล่อแน่ใจว่า…เจตนาร้ายบางอย่างกำลังคืบคลานเข้าใกล้เมืองปรารถนารสไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เจ็ดวันต่อมา ความรู้สึกนี้ก็กลายเป็นจริง
สิ่งแรกที่มาถึง คือท่วงทำนองเศร้าสร้อยซึ่งก้องกังวานอยู่ภายในเมืองปรารถนารสในตอนค่ำคืน
..