หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1368 ค่ำคืนอันมืดมิด
หวังเป่าเล่อได้ข้อมูลมากมายจากการสนทนาครั้งนี้
นอกจากความเข้าใจต่อสามสำนักใหญ่แล้ว เขายังรู้วิธีเข้าสำนักทั้งสาม และยังเห็นภาพรวมของผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงด้วย
ในเมื่อต่างเป็นโลกกาชั้นที่สองและเป็นหกปรารถนาแล้ว การฝึกฝนจึงคล้ายคลึงกัน เช่น ผู้ฝึกตนจำนวนมากในเมืองปรารถนาเสียงนี้ต่างถูกเรียกว่านักพึมพำ ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับผีหิวโหยของเมืองปรารถนารส
ผู้พึมพำดังกล่าวคือผู้ฝึกตนระดับต่ำสุดและมีจำนวนมาก พวกเขาไม่มีอักขระเสียงหลัก แต่มีเสียงพึมพำที่ไม่นับว่าเป็นเสียงด้วยซ้ำ อย่างเช่นเด็กหนุ่มที่แนะนำทุกสิ่งให้หวังเป่าเล่อก็เป็นหนึ่งในนักพึมพำที่ฝันจะได้เข้าร่วมสำนักสักวัน แต่ผู้ที่ทำได้ก็มีน้อยมาก
ระดับที่อยู่เหนือกว่าผู้พึมพำเรียกว่านักอักขระเสียง ผู้ฝึกตนประเภทนี้สร้างอักขระเสียงของตนขึ้นมาได้ซึ่งนับว่ามีคุณสมบัติในการฝึกฝนต่อและสมบูรณ์แบบ แม้จะไม่สามารถเข้าร่วมสามสำนักใหญ่ได้ก็ยังมีที่ที่เหมาะสมในวงดนตรีทุกขนาดในเมืองปรารถนาเสียง
อย่างหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็นับว่าอยู่ในระดับนี้ เพียงแต่เป็นเพราะเขาสังหารอยู่นอกเมืองจึงมีอักขระเสียงถึงแปดตัวแล้ว เช่นนั้นในบรรดานักอักขระเสียงก็นับว่าเป็นยอดฝีมือ
และระดับที่สูงขึ้นไปอีก เด็กหนุ่มผู้นั้นบอกแก่หวังเป่าเล่อว่าคือนักทำนอง
ที่เรียกว่าทำนองก็หมายความตามตัวอักษร มีบทเพลงที่ยังไม่สมบูรณ์ท่อนหนึ่งเป็นของตัวเอง ผู้ฝึกตนประเภทนี้มักจะมีคุณสมบัติในการตั้งวงดนตรีขนาดเล็กในเมืองปรารถนาเสียงและนับว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง
ในวงดนตรีขนาดกลางพวกเขาก็สามารถเป็นตัวหลักได้แล้ว แต่ในสามสำนักใหญ่นี่เป็นขั้นพื้นฐานเท่านั้น
ส่วนระดับที่สูงยิ่งกว่านั้น ในวงดนตรีขนาดกลางและขนาดเล็กหาผู้ฝึกตนเช่นนั้นได้น้อยมาก มีเพียงในสามสำนักใหญ่เท่านั้นที่จะมีบุคคลประเภทนี้ พวกเขาถูกเรียกว่า…
นักบทเพลง
จากทำนองหนึ่งท่อนเติมเต็มจนเป็นบทเพลงที่สมบูรณ์ เข้าร่วมสำนักต่างๆ ตามวิธีที่ไม่เหมือนกัน เดินออกจากเส้นทางพิเศษของสำนัก นี่…ก็คือนักบทเพลง
โดยทั่วไปแล้วการไปถึงระดับนี้นับว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งสำหรับเมืองปรารถนาเสียง แม้แต่ในสามสำนักใหญ่ก็ยังนับว่ามีอำนาจในระดับหนึ่ง
ส่วนที่สูงขึ้นไปอีกยังมีอีกสองระดับ ทั้งสองระดับนี้ถูกมองว่าเป็นการแสดงกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงขั้นสูง หนึ่งเรียกว่าบทประพันธ์แห่งท่วงทำนอง อีกหนึ่งเรียกว่าคณะดนตรี
อย่างแรกคือมีบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองที่สมบูรณ์ซึ่งบทประพันธ์นั้น…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่บทเพลงเพลงเดียว แต่มักจะเป็นลำดับที่ประกอบขึ้นจากหลายๆ บทเพลง ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้แม้แต่ในสามสำนักใหญ่ก็ยังมีไม่มากนัก
อย่างการแสดงดนตรีที่หวังเป่าเล่อเห็นก่อนหน้า สตรีชุดม่วงที่รู้จักกันในชื่อบุตรตรีแห่งสวรรค์ผู้นั้นก็อยู่ในระดับนี้ด้วย เช่นเดียวกับนักแสดงหญิงชุดขาวที่ร่างต้นแบบของเขาเคยพบ รวมถึงร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏตัวในเมืองปรารถนาเสียงพวกนั้น แม้แต่ชายหนุ่มที่ถูกหวังเป่าเล่อสังหารที่นอกเมืองปรารถนาเสียงผู้นั้นก็อยู่ระดับนี้เช่นกัน
ตัวบ่งชี้หลักๆ ของพวกเขาคือมีวงดนตรีเป็นของตัวเอง
อย่างหลังก็เช่นกัน แต่ยากกว่ามากเพราะไม่เพียงต้องมีวงดนตรีที่สมบูรณ์และหรูหราก่อตั้งเป็นคณะดนตรีของตัวเอง ทว่ายังต้องมีความสามารถในการปลดปล่อยทุกบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองด้วย
ผู้ที่สามารถมาถึงจุดนี้ได้ ในสามสำนักใหญ่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งสามคนนี้…ก็คือผู้ที่เป็นรองแค่เจ้าปรารถนาในเมืองปรารถนาเสียง
หลังจากเด็กหนุ่มเล่าทุกอย่างจบท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มหม่นแสงแล้ว แสงอาทิตย์ตกกระทบผืนดินท่ามกลางท้องฟ้าแดงฉาน
ภาพนี้ดูสวยงาม แต่หวังเป่าเล่อกลับสังเกตเห็นว่าผู้คนในร้านอาหารต่างรีบร้อน คนเดินถนนด้านนอกก็เร่งฝีเท้าอย่างเห็นได้ชัด ไกลออกไปก็ยังเห็นร่างผู้คนกำลังออกจากเมืองกันอย่างรวดเร็ว
ที่เหลืออยู่ที่นี่มีเพียงคนที่อาศัยอยู่ในร้านหรือชาวเมืองปรารถนาเสียงอย่างเด็กหนุ่ม ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่องุนงง ตอนนั้นเองเด็กหนุ่มข้างกายที่ยกสุราแก้วสุดท้ายขึ้นดื่มก็ยิ้มออกมา
“เสวียนหมิง ถึงเจ้าจะเพิ่งมาเมืองปรารถนาเสียง แต่ก็ต้องรู้ความแปลกของเมืองนี้ด้วย…”
“เมืองนี้ยามกลางวันทุกสิ่งสวยงาม แต่ตกกลางคืน…ห้ามออกมาจากที่พักของเจ้าเด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรข้างนอกต้องจำไว้ว่า…อย่าเปิดประตู อย่าออกไป” เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยิ้มให้หวังเป่าเล่อแล้วออกจากร้านไป
หวังเป่าเล่อลุกขึ้นมองตามหลังอีกฝ่าย สักพักก็นั่งลงอีกครั้ง ก่อนจะยกสุราขึ้นจิบ ตอนที่วางมันลงบนมือนั้นก็ปรากฏอักขระเสียงส่องประกายคล้ายกับอักขระโบราณขึ้น
เมื่อสัมผัสเบาๆ อักขระเสียงก็ส่งเสียงดังตุ้บเหมือนตกลงพื้น
ขณะมองอักขระเสียงในมือ หวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าแปลกไป นี่คืออักขระเสียงใหม่ที่รวมตัวอยู่ในร่างกายเขาโดยไม่รู้ตัวจากการฟังการแสดงดนตรีก่อนหน้านี้ สำหรับคนอื่นอาจจะดูเป็นเรื่องยาก แต่มันง่ายมากสำหรับเขา
เพียงแต่เสียงนี้จะพิเศษเล็กน้อย แต่ก็ยังดีที่ไม่ใช่ ‘’ฟู่’
ซึ่งช่วยปลอบใจหวังเป่าเล่อได้ขึ้นอีกนิด
“ต้องใช้อักขระเสียงนี้เพื่อเข้าร่วมสำนักเหอเสียนสินะ…” หวังเป่าเล่อสงสัย จากนั้นไม่นานก็เก็บอักขระเสียงในมือ
ร้านอาหารที่เขาเลือกก็คือที่ที่เขาพัก หลังจากกลับถึงห้องไม่นานแสงอาทิตย์ด้านนอกก็จากไป ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง นอกหน้าต่างมีคนเดินสัญจรน้อยมาก ส่วนใหญ่ต่างเร่งรีบสุดชีวิต จนกระทั่งท้องฟ้ามืดสนิท แสงสว่างเหมือนดั่งน้ำรด หลังจากมันหายไปอย่างรวดเร็วแล้ว หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็ไม่เห็นใครอยู่ข้างนอกอีกเลย
โลกทั้งใบในตอนนี้เงียบสงัด แม้แต่ร้านอาหารที่เขาอยู่ก็ยังเงียบเชียบ ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ไฟก็ดับลงในพริบตา
ทั้งเมือง…ตกอยู่ในความเงียบและมืดมิด
หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขานึกถึงคำเตือนที่เด็กหนุ่มพูด ในความเงียบและดำมืด เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตอนนั้นเองดวงตาหวังเป่าเล่อก็วาววับ หูแว่วเสียงบางอย่าง
ใครบางคนกำลังบ่นงึมงำ แต่เขาได้ยินไม่ชัดนัก เสียงงึมงำนั่นมาพร้อมกับเสียงถูพื้น สะท้อนมาจากด้านนอก
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงป่าที่ด้านนอก เมื่อราตรีกาลมาเยือนนั่นคือโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง เขาเข้าไปใกล้หน้าต่างและมองออกไปอย่างระแวดระวัง ในพริบตาที่ทอดมองออกไปนั้นเอง จู่ๆ ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านมาถึงตรงหน้า หวังเป่าเล่อได้ยิน…เสียงหายใจ
เสียงหายใจนี้ดังอยู่นอกหน้าต่างคล้ายกับมีใบหน้าหนึ่งแนบติดอยู่ที่ตรงนั้น และมันกำลังมองหวังเป่าเล่ออยู่
รอบด้านยังคงเป็นเช่นเดิม เงียบสงัดและมืดมิด
ทว่า เสียงหายใจ…กลับชัดเจนยิ่งขึ้นในความเงียบนี้
ฟืดฟืด ฟืดฟืด ฟืดฟืด
“ไสหัวไป!” เมื่อเสียงหายใจดังขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วมองนอกหน้าต่างที่ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ แล้วเอ่ยเบาๆ
…………………………………………….