หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1372 สำนักประหลาด
ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็หันไปมองด้านหลังอย่างเย็นชา ร่างลวงตาร่างหนึ่งค่อยๆ ควบแน่นเป็นรูปร่างอยู่ตรงปากถ้ำปรากฏขึ้นในสายตา
ร่างนี้คือสตรีผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าหรูหรา ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แสงในดวงตาก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกตื่นตัวนัก ด้วยความสำเร็จในด้านการหลอมอาวุธของหวังเป่าเล่อ เขาจึงสรุปตัวตนของอีกฝ่ายได้ในแวบแรกที่เห็น
วิญญาณวุธ!
สตรีผู้นี้ไม่ใช่คนจริงๆ นางเป็นวิญญาณวุธของค่ายกลสำนักเหอเสียน เมื่อคำพูดนั้นดังขึ้น วิญญาณวุธนี้ก็สะบัดมือ กระเป๋าคลังเก็บใบหนึ่งลอยมาตกลงตรงหน้าหวังเป่าเล่อ
“นี่คือสิ่งที่ศิษย์ขั้นพื้นฐานของสำนักเหอเสียนควรมี ประทับตราลงบนตราประจำตัวจะช่วยให้เข้าออกที่นี่ได้ทุกเวลา” หลังจากเสียงสงบนิ่งนั้นเอ่ยจบ ร่างของวิญญาณวุธก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ตั้งแต่ต้นจนจบหวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยอะไรเลยสักคำ ตอนนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าสำนักเหอเสียนนี่ช่างแปลกประหลาดมาก การมาถึงของเขาไม่ถูกตรวจสอบเลยสักนิด
จากที่หวังเป่าเล่อรู้จักสำนักอื่นๆ มา เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เขาจึงหยิบกระเป๋าคลังเก็บขึ้นมาสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากยืนยันแล้วว่าของสิ่งนี้ปกติดีจึงเปิดมันออก ก็พบว่าข้างในมีของอยู่สามชิ้น
ชุดคลุมสีขาวดำ แผ่นหยก และตราผลึกประจำตัว
หวังเป่าเล่อกวาดมองของสามชิ้นแล้วตัดสินใจหยิบแผ่นหยกขึ้นมาก่อน พลิกไปมาบนฝ่ามือ ก่อนจะหรี่ตาและส่งดวงจิตเทพเข้าไปทันที พริบตาต่อมาข้อมูลมหาศาลก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองหวังเป่าเล่อเหมือนกับกระแสน้ำหลาก
เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากมีข้อมูลมากเกินไป ต่อให้เป็นหวังเป่าเล่อก็ยังใช้เวลากว่าครึ่งก้านธูปทำความเข้าใจกับทุกอย่าง เมื่อถอนดวงจิตเทพและวางแผ่นหยกลง นัยน์ตาหวังเป่าเล่อก็ปรากฏแสงเลือนราง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ข้อมูลในแผ่นหยกนี้ได้ไขข้อสงสัยให้หวังเป่าเล่อแล้ว ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่ตั้งของสำนักเหอเสียนจริงๆ แต่จำนวนศิษย์ของสำนักมีไม่มากนัก ไม่ถึง 10,000 คน อีกอย่างผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คบค้าสมาคมกัน หากไม่ออกไปท่องเที่ยวหาแรงบันดาลใจในบทเพลงก็เก็บตัวรังสรรค์บทเพลงของตนเองอยู่ในเขาตลอดทั้งปี
ดังนั้นทั่วทั้งเขาจึงดูว่างเปล่า ถึงอย่างไร…ที่แห่งนี้ก็ดำรงอยู่ในยามราตรี แม้ว่าแสงของภูเขาไฟจะป้องกันอันตรายจากโลกภายนอก แต่หากออกไปจากอาณาเขตของแสงไฟนี้ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะกลืนกินสิ่งแปลกประหลาดเหล่านั้นได้อย่างหวังเป่าเล่อ
ขณะเดียวกันแม้ที่นี่จะมีคนธรรมดาอย่างข้ารับใช้เสียง แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็กำหนดให้พวกเขาสามารถอยู่รอดได้แค่ในถ้ำเท่านั้น หากเดินออกไป แม้แสงภูเขาไฟจะป้องกันอันตรายจากภายนอกได้ แต่สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่ามักจะมาจากด้านในภูเขา
ผู้ฝึกตนที่นี่ล้วนมีความแข็งแกร่งระดับหนึ่ง และตอนรังสรรค์บทเพลงของตัวเอง เสียงส่วนใหญ่จะมีอันตรายถึงชีวิต
ดังนั้นสำหรับข้ารับใช้เสียงเหล่านั้น ถ้ำที่พักคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
นอกจากนี้สำนักเหอเสียนก็ไม่ได้มีกฎอะไรมากมาย โดยรวมแล้วยังดูอิสระมาก ข้อสงสัยเรื่องการเข้าร่วมสำนักของหวังเป่าเล่อได้รับคำตอบแล้ว สำหรับสำนักเหอเสียนไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไร
เพราะว่า…อักขระเสียงที่เป็นของสำนักเหอเสียนนั้น นับเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ และการมาถึงสำนักเหอเสียนในยามราตรีโดยไม่ตายระหว่างทางก็เป็นการทดสอบเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มาถึงเขาสำนักเหอเสียนได้ก็คือศิษย์สำนักเหอเสียนแล้ว
“สำนักประหลาด…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา นอกจากจะไขข้อสงสัยของหวังเป่าเล่อได้แล้ว บนแผ่นหยกยังมีวิธีการฝึกฝนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสำนักเหอเสียนด้วย
ซึ่งต่างจากเคล็ดวิชาทีละระดับของสำนักอื่น เคล็ดวิชาของสำนักเหอเสียนมีประเภทเดียว
นั่นเรียกว่าการหล่อเลี้ยงเสียง
ความหมายตามชื่อของมันคือสะสมและหล่อเลี้ยงเสียงที่มีอยู่ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตลอดเวลา และสามารถผลิตเสียงระดับสูงสุดได้ ส่วนวิธีฝึกฝนแบบอื่นนั้นไม่มี
ทุกอย่างต้องรู้แจ้งและรับจากทุกสรรพสิ่งจนกระทั่งสร้างเป็นบทเพลงของตัวเอง สุดท้ายบทเพลงจะเป็นเช่นไร แม้ผู้ฝึกตนจะมีแนวทางของตน แต่ทุกอย่างก็ยังต้องดูวาสนา ดังนั้นการรู้แจ้งจึงสำคัญเป็นพิเศษสำหรับที่นี่
“ตามคำอธิบายของสหพันธรัฐ ที่นี่…คือกลุ่มนักแต่งเพลงที่สามารถแสดงเองได้ด้วยใช่ไหมนะ” หลังจากหวังเป่าเล่อนึกถึงคำเรียกนี้ เขาก็รู้สึกว่าสามารถเข้ากับผู้ฝึกตนสำนักเหอเสียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับนักแต่งเพลงของสหพันธรัฐคือนักแต่งเพลงจะเชี่ยวชาญทุกจังหวะอักขระเสียง สิ่งที่จำเป็นคือแรงบันดาลใจและอักขระเสียงของพวกเขาจะออกมาจากเครื่องดนตรี
ส่วนผู้ฝึกตนสำนักเหอเสียนนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาคือเจอโชคใหญ่เพื่อให้ได้เสียงของทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเสียงของทุกสรรพสิ่งนี้ไม่ใช่แค่อักขระเสียงทั่วไปอย่างเสียงฟ้าร้องหรือเสียงฝนตก แต่เป็นเสียงของทุกสิ่งจริงๆ สิ่งที่ผู้ฝึกตนสำนักเหอเสียนต้องทำก็คือเปลี่ยนเสียงที่ตนรู้แจ้งนี้ให้กลายเป็นกฎของตัวเอง
อย่างแรกคือรังสรรค์จากอักขระเสียงที่ตนเชี่ยวชาญ อย่างหลังส่วนใหญ่คือใช้เสียงของสรรพสิ่งไม่กี่ตัวที่ตนรู้แจ้งมาจัดเรียงให้เหมาะสม
อย่างแรกยืมวิธีคนอื่นมาแสดง อย่างหลังใช้ตัวเองแปลงออกมาเป็นจังหวะดนตรีอย่างลึกลับ
ขณะเดียวกันในโลกใบนี้ ดนตรีคือสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งจนอาจกล่าวได้ว่าดนตรีก็คือการดำรงแห่งเต๋าของผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียง
เพียงแต่ดนตรีของที่นี่ไม่ใช่แค่จังหวะธรรมดาอย่างที่นักแต่งเพลงของสหพันธรัฐรังสรรค์ขึ้น เสียงแห่งสรรพสิ่งคือตัวกำหนดเนื้อหาของดนตรีซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
และลักษณะเด่นของสำนักเหอเสียนคือมีพลังแห่งเนื้อเพลง
จุดนี้ค่อนข้างแตกต่างจากอีกสองสำนัก
จากแผ่นหยก หวังเป่าเล่อยังเข้าใจแก่นแท้ของสำนักเหิงฉินอย่างง่ายดาย ผู้ฝึกตนสำนักนี้สังหารเป็นหลัก เสียงส่วนใหญ่สูงปรี๊ดและยาวนาน ขึ้นชื่อเรื่องเพลงโบราณและแทบไม่มีเนื้อร้องเลย
ส่วนเต๋าแห่งจังหวะดนตรี…คือสำนักที่ลึกลับที่สุดในสามสำนักนี้ ผู้ฝึกตนสำนักนี้มีน้อยมาก ส่วนรายละเอียดในแผ่นหยกไม่ได้บอกอะไรมากนัก
หลังจากเรียบเรียงสิ่งที่ได้รู้มาในหัวแล้ว หวังเป่าเล่อก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบตราผลึกขึ้นมาและประทับดวงจิตเทพของตนลงไปโดยไม่ลังเล
เมื่อดวงจิตเทพประทับลงไป ผลึกนี้ก็ส่องแสงวิบวับสองสามครั้งก่อนจะกลับมาเป็นปกติ แต่หวังเป่าเล่อที่ถือตราอยู่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อถือสิ่งนี้ไว้ในมือตนก็จะเข้าออกจากภูเขานี้ได้เพียงแค่คิดเท่านั้น ใช้เพียงความคิดแวบเดียวก็เดินทางไปมาที่นี่ได้
“ตราส่งตัวแบบคงที่หรือ” หวังเป่าเล่อพลิกดูแล้วจึงเก็บมัน จากนั้นก็สวมชุดคลุมสำนักเหอเสียนสีขาวดำแล้วเดินออกจากถ้ำที่พัก
เขาอยากสำรวจภายในสำนักเหอเสียนสักหน่อย แต่แทบจะทันทีที่เขาเดินออกมา หูก็ได้ยินเสียงเศร้าระทมดังขึ้น เสียงนี้แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณเทพส่งผลให้หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้าทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ไม่ไกล ร่างนั้นยังมีโซ่เหล็กจำนวนมากพันธนาการเอาไว้ขณะที่กำลังเดินขึ้นไปทางยอดเขาทีละก้าว
ทุกที่ที่ร่างนั้นเดินไปล้วนเกิดเสียงเศร้าสร้อยดังขึ้น ส่งผลให้ถ้ำที่พักหลายแห่งบนภูเขาไฟลูกนี้สั่นสะเทือน
……