หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1373 อักขระเสียงประหลาด
คนในโซ่ตรวนนั่นเดินไปช้าๆ ท่ามกลางการสั่นสะเทือนของถ้ำที่พักหลายแห่งและเงาร่างที่ทยอยปรากฏขึ้นทีละร่าง จนกระทั่งขึ้นไปถึงยอดเขาก็กระโดดลงไปข้างหลัง เสียงโศกเศร้าจากกฎก็ค่อยๆ จางหายไป
“พลังแห่งกฎของศิษย์พี่สือหลิงจื่อ…แข็งแกร่งกว่า” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากข้างกายหวังเป่าเล่อ
มันมาจากถ้ำอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลจากถ้ำของเขา ผู้ฝึกตนวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินออกมา ขณะถอนหายใจ นัยน์ตาเขาแฝงไปด้วยความซับซ้อนและปรารถนาแรงกล้า
ทั่วร่างของผู้ฝึกตนนี้รายล้อมไปด้วยหมอกบางๆ และดูเหมือนจะมาพร้อมกับเสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆ แต่ก็คมชัด และยังทำให้ผู้คนจิตใจผันผวนไปพร้อมกับเสียงนั้น
เห็นได้ชัดว่าเขาก็สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อแล้วจึงถอนสายตากลับมาจากยอดเขา ก่อนจะหันมามองร่างหวังเป่าเล่อ คนผู้นั้นไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่พยักหน้าและหมุนตัวกลับไปยังถ้ำที่พักของตน
หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินต่อไป เป็นเช่นนี้จนหนึ่งคืนผ่านพ้น หวังเป่าเล่อก็ได้สำรวจพื้นที่ของสำนักเหอเสียนเกือบหมดแล้ว ในที่สุดเมื่อเขากลับมา ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
เมื่อราตรีกาลลาจาก ทั้งโลกก็เปลี่ยนไป ภูเขาไฟค่อยๆ เลือนราง ขณะเดียวกันเมืองอันไร้ที่สิ้นสุดที่ถูกดึงออกมายามค่ำคืนก็หดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ
จนท้ายที่สุดเมื่อดวงอาทิตย์แรกของวันปรากฏบนขอบฟ้าอย่างเป็นทางการ เมืองปรารถนาเสียงก็เปลี่ยนไป ภูเขาไฟหายลับ สภาพแวดล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่หน้าถ้ำก็กลายเป็นถนนในเมือง
จุดที่อยู่คือย่านใจกลางเมืองปรารถนาเสียง
เมื่อเห็นอาคารรอบด้านปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อก็มึนงงเล็กน้อย วิธีการดำรงอยู่ของสามสำนักใหญ่และลักษณะพิเศษของพวกเขาทำให้เขาตื่นเต้นเล็กน้อย
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็หยิบตราผลึกออกมาแล้วกวาดดวงจิตเทพผ่านเพื่อเปิดใช้งาน เขาสัมผัสได้ว่ามันเปิดแล้ว พลังส่งก็เริ่มแผ่ขยาย แต่ก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเป็นเวลานานราวกับกำหนดตำแหน่งที่จะส่งตัวไปไม่ได้
“ดูท่าตราผลึกนี่จะใช้ตอนกลางวันไม่ได้…”
“แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรหากข้าอยู่ในถ้ำตอนกลางวัน” หวังเป่าเล่อกระหายใคร่รู้และเดินตามถนนไปยังร้านอาหารที่เขาเคยพักมาก่อน
เขาเดินไปข้างหน้าพร้อมฟ้าที่สว่างขึ้น ความคึกคักในเมืองค่อยๆ ฟื้นคืน คนเดินถนนก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อนั้น แทบจะทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสีทันทีแล้วทยอยก้มหน้าก้มตาด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อม
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วก่อนจะก้มมองเสื้อผ้าของตนจึงได้คำตอบ
เมื่อเขากลับมาถึงร้านอาหาร เสื้อผ้าบนตัวของเขาก็ทำให้บริกรของร้านดวงตาหดแคบ และยิ่งเคารพมากกว่าก่อนหน้านี้ หลังจากกลับถึงห้องไม่นาน พ่อบ้านของร้านอาหารก็รีบมาทำความเคารพ
เมื่อเห็นชุดคลุมสีขาวดำบนร่างหวังเป่าเล่อ พ่อบ้านก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าเมื่อวาน ไม่ใช่แค่ลดค่าห้องให้หวังเป่าเล่อ เขายังถามหวังเป่าเล่อว่าจะเลือกพักอยู่ที่นี่นานๆ ได้ไหม และหลังจากได้รับความยินยอมจากหวังเป่าเล่อแล้ว จึงรีบพาหวังเป่าเล่อไปพักหนึ่งในสามห้องชั้นบนสุด
“อีกสองห้องนั้น ห้องหนึ่งคือของเจ้าสำนักเหอเสียน อีกห้องหนึ่งคือของเจ้าสำนักเหิงฉิน”
“แล้วก็…ของสิ่งนี้คือของที่เจ้านายของเราเตรียมไว้สำหรับผู้นำที่เลือกพักอยู่ที่นี่ในระยะยาวขอรับ”
“จากนี้หากจำเป็นท่านผู้นำเรียกข้าได้ตลอดเวลาขอรับ” หลังจากแนะนำอย่างกระตือรือร้นและนอบน้อมเสร็จสรรพแล้ว พ่อบ้านก็มอบกระเป๋าคลังเก็บอีกใบให้ก่อนจะจากไป
เมื่อเห็นห้องพักใหม่ หวังเป่าเล่อก็พออกพอใจมากกว่าเดิม ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องเดิมมากและมีอุปกรณ์ครบครัน แม้แต่ห้องลับสำหรับใช้ฝึกตนก็มี
ส่วนในกระเป๋าคลังเก็บมีของอยู่สองชิ้น หนึ่งในนั้นคือแผ่นหยก
แผ่นหยกนี้มีประโยชน์ต่อการบริโภค มันสามารถใช้ซื้อสินค้าในเมืองปรารถนาเสียงได้โดยที่หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องจ่ายเองสักเหรียญ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ร้านอาหารจะเป็นคนรับผิดชอบ
แต่นั่นยังไม่เท่าไร สิ่งสำคัญที่สุดคือของอีกอย่าง มันคือบันทึกอักขระดนตรีแผ่นหนึ่ง!
ต้องทราบก่อนว่าบันทึกอักขระดนตรีเป็นของล้ำค่ามากในเมืองปรารถนาเสียง จึงแสดงให้เห็นว่าเจ้าของร้านอาหารแสดงความจริงใจมากพอเพื่อเอาชนะใจศิษย์สามสำนักใหญ่
ความจริงใจเช่นนี้หวังเป่าเล่อย่อมไม่เลือกไปพักที่อื่นอีก โดยเฉพาะสิ่งสำคัญของเขาในตอนนี้ไม่ใช่ที่พัก แต่เป็นสำนักเหอเสียน
“ต่อไปก็ต้องคิดเรื่องเส้นทางแห่งกฎปรารถนาเสียงหลังจากนี้…” หวังเป่าเล่อนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องลับ ขณะครุ่นคิดก็สะบัดมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นอักขระเสียงเก้าตัวก็ปรากฏขึ้น
เมื่อมองอักขระเสียงทั้งเก้าตัวแล้ว หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขากวาดดวงจิตเทพใส่ ในใจพลันเกิดเสียงแปลกๆ ดังก้อง
ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่…ตุ้บ
“เสียงของคนอื่นไม่ว่าจะคมชัดหรือยาวนาน แค่ฟังอย่างเดียวก็เพราะมากแล้ว ทำไมของข้าถึงเป็นเช่นนี้” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าเขาควรจะใช้อักขระเสียงหลักรังสรรค์บทเพลงของตัวเองอย่างไร
แต่เสียงนี้ก็น่าเกลียดเกินไปจนหวังเป่าเล่อต้องคิดหนัก แต่คิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ออก
“หรือข้าควรเปลี่ยนอักขระเสียงหลัก” ขณะครุ่นคิด หวังเป่าเล่อก็หยิบบันทึกอักขระดนตรีที่พ่อบ้านมอบให้ออกมาแล้วกวาดดวงจิตเทพใส่ ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นในหัว
วิธีใช้บันทึกอักขระดนตรีก็คือแบบนี้ ผู้ฝึกตนที่มีพลังกฎปรารถนาเสียงแผ่ดวงจิตเทพก็จะได้ยินเสียงดนตรีจากบันทึกอักขระดนตรี บทบาทของมันด้านหนึ่งคือให้คำแนะนำและแนวทางการรังสรรค์บทเพลงแก่ผู้ฝึกตน ต่อให้จะมีความสามารถและมีอักขระเสียงหลายตัว มันก็สามารถเลียนแบบได้เหมือนกันทุกประการ
ในแง่หนึ่งมันก็เหมือนกับพลังเทพ
อีกบทบาทหนึ่งก็คือสามารถทำให้ผู้ฝึกตนรู้แจ้งจากอักขระเสียงของตนได้
และเพราะสองข้อนี้จึงทำให้บันทึกอักขระดนตรีมีค่ามาก
ส่วนหวังเป่าเล่อทันทีที่ได้ยินดนตรีจากบันทึกอักขระดนตรี เขาก็ต้องตกใจกับการรู้แจ้งของตน เพราะว่า…ในร่างกายพลันปรากฏอักขระเสียงตัวที่สิบขึ้น
ยังไม่จบแค่นั้น ในไม่ช้าตัวที่สิบเอ็ดก็ปรากฏตามมา หลังจากบันทึกอักขระดนตรีเล่นจบ หวังเป่าเล่อก็ต้องตกใจที่พบว่าอักขระเสียงของตนมีเพิ่มมาถึงห้าตัว
จากเก้าตัวเป็นสิบสี่ตัว
แต่หลังจากตกใจ สีหน้าเขาก็แปลกประหลาดขั้นสุดและถึงกับทำอะไรไม่ถูก เพราะว่า…อักขระเสียงทั้งห้านี้เป็นเสียงเดียวกัน
ฟู่
“เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” ในหัวหวังเป่าเล่ออดผุดภาพหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ ในภาพนั้นเขาฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้สำเร็จ และร่างกายกลายเป็นจังหวะดนตรีลอยผ่านไปทุกที่…
ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่…
ภาพนั้นน่ากลัวเกินไป หวังเป่าเล่อรีบสลัดมันทิ้งทันทีและนั่งคิดหนักอยู่ตรงนั้น แต่กระทั่งฟ้าเริ่มมืด ดวงจันทร์เริ่มปรากฏ ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา หวังเป่าเล่อก็ยังคิดอะไรไม่ออก
“ไม่เป็นไร ข้ารู้แจ้งอักขระเสียงมากขึ้นแล้ว ต้องมีอักขระเสียงอื่นปรากฏขึ้นอีกแน่ ถึงตอนนั้นค่อยรังสรรค์บทเพลงก็ยังไม่สาย”
“ขั้นตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องทำคือสะสมอักขระเสียง!” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองราตรีกาลด้านนอก ก่อนจะหยิบตราผลึกออกมาเปิดใช้งาน
เมื่อพลังส่งปรากฏขึ้น ครั้งนี้ง่ายดายมาก มันครอบคลุมร่างหวังเป่าเล่อไว้ และพริบตาต่อมา…เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในภูเขาไฟของสำนักเหอเสียนแล้ว
……