หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1375 ปลาดนตรีคราม
ตอนนี้ดวงตาหวังเป่าเล่อเปล่งประกายแรงกล้าราวกับมีสายฟ้าฟาด จ้องมองมือขวาของตน สายตาเขาเห็นร่องรอยเลือดสีน้ำเงินกระจายอยู่รอบมือขวา
นอกจากนี้ในมือยังมีเศษชิ้นเนื้ออยู่ด้วย
เพียงแต่ทุกอย่างมีอยู่เพียงแวบเดียวก็หายไปหมด มือขวาของเขายังคงว่างเปล่า รอบตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงความรู้สึกเท่านั้นที่ดูเหมือนจะมีลมพัดผ่าน
หวังเป่าเล่อก้มมองมือขวาตัวเอง หลังจากครุ่นคิดอยู่นานเขาก็หัวเราะออกมา
“น่าสนใจนี่ เสียงเหมือนกัน 66 ตัวซ้อนทับกันมีพลังได้ถึงระดับนี้ แม้กระทั่งในตอนนั้นปราการบางอย่างก็พังทลายลงทำให้ข้ามองเห็นโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง”
หวังเป่าเล่อไม่คิดว่าเสียงซ้อนทับกันของตนจะมีพลังถึงขั้นทำลายปราการได้เมื่ออิงจากระดับของเขา หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยในใจก็ได้คำตอบ
เสียงแห่งการซ้อนทับนั้นหากมองในด้านอานุภาพแล้ว แม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งถึงขั้นทำลายปราการได้ สาเหตุที่เมื่อครู่นี้ทำได้เป็นเพราะเสียงแห่งการซ้อนทับมีคุณสมบัติบางอย่างในตัวมันเอง
ก็เหมือนกับพรสวรรค์ของมนุษย์ คุณสมบัติของเสียงแห่งการซ้อนทับคงจะเป็นการทำลายขอบเขต
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เส้นทางกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงของข้าก็คงอยู่บนพื้นฐานนี้แล้ว…” หวังเป่าเล่อตัดสินบางอย่างอยู่ในใจ แม้เสียงนี้จะไม่เสนาะหูและต่างจากผู้ฝึกตนสำนักเหอเสียนคนอื่นอย่างสิ้นเชิง และจากการคาดเดาก็น่าจะต่างกับอีกสองสำนักด้วย
แต่ไม่เป็นไร แค่มีอานุภาพก็พอแล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเหมือนกัน แม้วิธีแสดงออกจะแตกต่าง แต่ตราบใดที่สามารถฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้ และยังใช้งานมันได้มากพอจนเพิ่มพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของตัวเองได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว
“ช่างมันแล้ว!” หวังเป่าเล่อคิดแบบนั้น เขาขยับเสียงที่ซ้อนทับกันในร่างกายโดยไม่รู้ตัวจนเกิดเสียงคุ้นเคย เดิมทีมันทำให้เขารู้สึกเสนียดหูอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ดูจะชอบมันขึ้นมาไม่น้อย
คิดได้ดังนี้ร่างหวังเป่าเล่อก็กะพริบวาบออกสำรวจในราตรีกาลต่อไป และรู้แจ้งอักขระเสียงใหม่อย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงซ้อนทับมันลงไปอีก
“ไม่รู้ว่าตอนที่เสียงนี้ถูกซ้อนทับหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นตัวแล้วอานุภาพของมัน…จะไปถึงระดับไหน” ในใจหวังเป่าเล่อยังคาดหวัง เขาค้นพบมานานแล้วว่ากฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนี้ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับตนมาก คนอื่นจะรู้แจ้งสักเสียงหนึ่งจำเป็นต้องใช้วาสนาและเวลา
แต่ตัวเขาดูจะทำอะไรนิดหน่อยก็รู้แจ้งออกมาแล้ว บางครั้งถึงกับสังหารสิ่งแปลกประหลาดแล้วในร่างกายก็สร้างอักขระเสียงขึ้นมาอีกหนึ่งตัว
เป็นเช่นนี้จนผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
หากนับเวลา หวังเป่าเล่อก็อยู่ที่เมืองปรารถนาเสียงมาเกือบครึ่งปีแล้ว หวังเป่าเล่อจะอยู่ในสำนักเหอเสียนเป็นส่วนใหญ่รวมถึงเวลากลางวันด้วย
เขาทดสอบมานานแล้วว่าในยามรุ่งสางนั้น เพียงแค่ตนอยู่ในถ้ำที่พักก็จะไม่ถูกอิทธิพลพลังส่งออกไป แม้ด้านนอกจะไม่ใช่ตอนกลางคืน แต่สภาพแวดล้อมการฝึกฝนในถ้ำที่พักนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลากลับไปที่ร้านอาหารที่ตนพักอยู่ในเมืองปรารถนาเสียงมากนัก และติดต่อกับพ่อบ้านน้อยลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพื่อนข้างห้องทั้งสอง
เรื่องนี้พ่อบ้านของร้านอาหารก็ไม่ได้แปลกใจอะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ติดต่อกับศิษย์ของสามสำนักใหญ่ เขารู้ว่าคนเหล่านี้เก็บตัวมากและไม่ชอบให้ใครมารบกวน
แม้จะติดต่อกันน้อยลง แต่การรับใช้ของเขากลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย สิ่งของสำหรับฝึกฝนถูกส่งไปอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งบันทึกอักขระดนตรีก็ยังส่งไปพร้อมกับผู้ฝึกตนสองคนที่หวังเป่าเล่อไม่เคยพบหน้า
หวังเป่าเล่อพอใจมากกับการสนับสนุนทางการเงินจากพ่อบ้านและเจ้าของร้าน ดังนั้นไม่กี่วันต่อมาในเวลากลางวันเขาก็ออกจากถ้ำที่พักกลับมายังร้านอาหาร และไม่ปฏิเสธคำขอเข้าพบของพ่อบ้าน
ไม่นานพ่อบ้านของร้านอาหารก็เร่งรุดมาถึงด้านนอกห้องพักของหวังเป่าเล่อ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกใดบนร่างกายแล้วจึงเคาะประตูด้วยความนอบน้อม
หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ภายในห้อง ในมือถือเหยือกสุราและเอ่ยเบาๆ
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก พ่อบ้านค้อมตัวเดินเข้ามาด้วยความเคารพและคำนับหวังเป่าเล่อเมื่อมาถึงตรงหน้า
“คำนับท่านผู้สูงส่ง”
สำหรับผู้ฝึกตนของสามสำนักใหญ่ ผู้คนในเมืองปรารถนาเสียงมักจะเรียกพวกเขาแบบนี้ แน่นอนว่ายังมีคนที่ถูกเรียกว่าเซียนผู้สูงส่งด้วย แม้ผู้คนในเมืองปรารถนาเสียงส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกตน แต่สถานะของศิษย์ในสามสำนักใหญ่ก็ยังเหนือกว่า
กล่าวจบพ่อบ้านก็หยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาจากอกเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ
หวังเป่าเล่อเหลือบมองพ่อบ้าน ก่อนจะยิ้มแล้วส่งดวงจิตเทพไปยังกระเป๋าคลังเก็บ ข้างในมีบันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์ นี่คือเรื่องที่คราวก่อนเขาให้อีกฝ่ายจัดการไปรวบรวมบันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้มาให้
เพราะมันไม่สมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นของเลียนแบบจึงไม่ได้ราคาสูงมากนัก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับสำหรับผู้ฝึกตนคนอื่น มากสุดก็แค่ตรวจดูแล้วก็ไป
หากไม่ใช่ของเลียนแบบก็ยังคงสามารถทำให้ผู้คนมีโอกาสรู้แจ้งอักขระเสียงได้ แต่ของเลียนแบบนี้…ไม่ใช่ว่ารู้แจ้งไม่ได้ แต่มันยากเกินไป
ทว่าสำหรับหวังเป่าเล่อไม่ใช่แบบนั้น เขาเคยแลกเปลี่ยนสิ่งของคล้ายๆ กันกับเพื่อนบ้านเฉินหลิงและรู้แจ้งออกมาเป็นอักขระเสียงจึงได้ให้พ่อบ้านรวบรวมบันทึกอักขระดนตรีแบบคัดลอกที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้มา
พ่อบ้านานรวบรวมมาให้หวังเป่าเล่อไม่น้อย ตอนนี้เมื่อเห็นรอยยิ้มบนหน้าหวังเป่าเล่อ เขาก็กะพริบตาแล้วเอ่ยเบาๆ
“ท่านผู้สูงส่งที่รวบรวมมาได้มากขนาดนี้ เป็นเพราะเจ้านายของข้าออกแรงช่วยไม่น้อย…”
“เรื่องข้ารับใช้เสียง ข้าจะคิดดูให้ละเอียดอีกที” หวังเป่าเล่อพยักหน้าแล้วกล่าวช้าๆ
“เรื่องข้ารับใช้เสียงก็ดีขอรับ…” พ่อบ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“เจ้านายของเราอยากจะรบกวนท่านเรื่องหนึ่งขอรับ ในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงมีปลาประหลาดชนิดหนึ่งเรียกว่าดนตรีคราม…สำหรับผู้ฝึกตนพึมพำอย่างพวกข้า เลือดของปลาชนิดนี้เป็นของบำรุงหล่อเลี้ยงชั้นยอด แต่มันมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นไม่ทราบว่าวันหลังหากท่านผู้สูงส่งพบมันเข้าจะช่วยจับมันมาสักตัวได้หรือไม่ขอรับ…”
“ทางเจ้านายข้ายินดีจะหาบันทึกอักขระดนตรีมาให้มากกว่านี้เป็นค่าตอบแทนขอรับ”
“ดนตรีคราม?” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ
“ใช่ขอรับ ปลาจำพวกนี้พิเศษมาก มันให้ความรู้สึกว่ามีตาอยู่ทั่วตัว” พ่อบ้านรีบกล่าว
“ราคาสูง?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว
“ไม่ได้สูงมากขอรับ มันมีประโยชน์แค่กับนักพึมพำ เรื่องนี้ข้าไม่กล้าหลอกท่านแน่นอน เพียงแต่ปลาชนิดนี้มีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งยังเร็วมากจึงจับยาก มันจึงเป็นสิ่งล้ำค่า” พ่อบ้านอธิบาย
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เขานึกถึงตอนทดลองเสียงแห่งการซ้อนทับของตัวเองเป็นครั้งแรก ปลาตัวนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นชนิดเดียวกัน ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดถึงตำแหน่งที่ตนเคยเจอปลาตัวนั้นแล้วจึงพยักหน้า