หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1377 เสียงฉิน
แทบจะในทันทีที่หวังเป่าเล่อหันไปมอง กลุ่มแสงขนาดมหึมานั่นก็พุ่งเข้ามาใกล้ เมื่อมาถึงพลังงานลุกโชติช่วงพลันแผ่ออกมาจากในกลุ่มแสงนั่น ทำให้ความมืดในราตรีหายไปไม่น้อย แม้จะไม่ถึงขั้นทำลายความว่างเปล่าให้ตามนุษย์หรือจิตใต้สำนึกมองเห็นโลกปรารถนาเสียงได้ แต่ก็ทรงพลังจนน่าตกใจ
แม้แต่ปลาดนตรีครามในมือหวังเป่าเล่อก็ยังกระตุกไปสองสามทีราวกับไม่สามารถทนต่อความร้อนแผดเผานี้ ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะเก็บมันเข้ากระเป๋า ปลาดนตรีครามก็กระตุกตัวแรง ก่อนจะแห้งเหี่ยวลมปราณหายไป
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วโยนซากปลาในมือทิ้ง แล้วตวัดสายตามองร่างเลือนรางในลูกไฟอย่างเย็นชา
ร่างนั้นดูเหมือนจะเป็นบุรุษคนหนึ่ง เส้นผมยาวคล้ายกำลังแผดเผาอยู่ในลูกไฟ ทุกที่ที่เขาผ่านไปล้วนทำให้พื้นดินแตกระแหง สัตว์ประหลาดทุกตัวก็ดูเหมือนจะรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวคนผู้นี้มาก
และด้วยแสงแห่งอักขระเสียงที่ทำให้ปลาดนตรีครามระเหยไปได้ ก็สามารถยืนยันความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ได้แล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น ขณะที่เขาเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงอักขระระเบิดประมาณหลายสิบตัว เรียงร้อยเข้าด้วยกันเป็นบทเพลงที่เต็มไปด้วยความเก่าแก่
“รูปแบบโบราณ…สำนักเหิงฉิน!” หวังเป่าเล่อเข้าสำนักเหอเสียนมาระยะหนึ่งแล้ว และเขาก็รู้จักอีกสองสำนักจากการพูดคุยกับเพื่อนบ้านอยู่บ้าง
เสียงที่ได้ยินอยู่ตอนนี้จึงทำให้เขาคาดเดาสำนักของอีกฝ่ายได้ประมาณหนึ่ง
ทำนองเดียวกัน ในไม่ช้าภูมิหลังของเขาก็ถูกผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินที่กำลังเข้ามาใกล้มองออก
“สำนักเหอเสียน?” ขณะที่กล่าว ร่างในลูกไฟนั่นก็เหมือนมีแสงเย็นวาบอยู่ในดวงตา ฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย อุณหภูมิสูงที่แผ่ออกมาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น แม้แต่เสียงที่ดังออกมาจากร่างกายเขาก็มีจังหวะเร็วขึ้น
“ยอดฝีมือแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง” หวังเป่าเล่อเปรียบเทียบอยู่ในใจ คนผู้นี้ด้อยกว่าสือหลิงจื่อที่ตนเคยเจอมาก แต่โดยรวมแล้วก็ยังแข็งแกร่งกว่าเพื่อนบ้านเฉินหลิงหลายเท่า เขามีทำนองเป็นของตัวเองท่อนหนึ่งแล้ว
อีกทั้งในทำนองนี้ยังแฝงด้วยคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง ความรู้สึกร้อนแผดเผาคงจะมาจากสิ่งนี้
ส่วนคนผู้นี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาคิดว่าตนคือคนมีหลักการ หากคนอื่นไม่ยั่วยุเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นฝ่ายรังแกคนอื่นก่อน
ดังนั้นเขาจึงกระแอมครั้งหนึ่ง แล้วเลือกที่จะถอยหลังหลีกทางให้
“คิดหนีหรือ” แทบจะในพริบตาที่เขาก้าวถอย แสงไฟนั่นก็เข้ามาประชิดตัวทันทีและขวางทางที่หวังเป่าเล่อกำลังจะถอยไปไว้ ใบหน้ามายาปรากฏลอยเด่นอยู่นอกลูกไฟ ดูแล้วน่าจะเป็นเด็กหนุ่ม ตอนนี้เขากำลังจ้องเขม็งใส่หวังเป่าเล่อ
“นอกจากเจ้าแล้วสำนักเหอเสียนส่งใครมาอีกหรือไม่” น้ำเสียงเด็กหนุ่มผู้นี้ดุดันและยังแฝงเจตนาร้าย ทั้งยังมีท่าทีเหยียดหยาม เอ่ยออกมาก็แผ่ดวงจิตเทพของตนสำรวจบริเวณโดยรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่านอกจากคนตรงหน้าก็ไม่มีผู้ฝึกตนคนอื่นๆ อีก เขาจึงถอนหายใจโล่งอก
“หืม?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว เมื่อเห็นความกังวลของอีกฝ่ายจึงหันไปมองยังทิศทางที่อีกฝ่ายมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าที่นี่มีฝูงปลาดนตรีครามมารวมตัวกันเยอะมาก ในใจจึงได้คำตอบบางอย่าง
เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้คงจะมีสมบัติล้ำค่าหรือไม่ก็คนตรงหน้ากำลังคงวางแผนจะทำอะไรบางอย่างที่นี่ แต่คราวก่อนตนอยู่บริเวณรอบนอก อีกฝ่ายจึงไม่ปรากฏตัว หากแต่คราวนี้ตนเข้ามาลึกเกินไปจึงทำให้คนผู้นี้ต้องแสดงตน คิดได้แล้วหวังเป่าเล่อก็กะพริบตาแล้วเอ่ยขึ้น
“มีข้าคนเดียว ข้าก็อยากถามเจ้าเหมือนกัน สำนักเหิงฉินส่งใครมาอีกหรือไม่”
เด็กหนุ่มเมินเฉยต่อคำถามของหวังเป่าเล่อ ในความเห็นของเขาอีกฝ่ายเพิ่งจะฝึกฝนอักขระเสียง ผู้ฝึกตนเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลื้อยคลานเลย แม้จะดูสงบนิ่งแต่เขาก็มั่นใจว่าจะสังหารได้ในพริบตา ที่เขาสนใจก็คือความลับของสถานที่แห่งนี้ถูกคนนอกค้นพบแล้วใช่หรือไม่ ตอนนี้ดวงจิตเทพกวาดไปทั่วแปดทิศ หลังจากยืนยันได้อีกครั้งว่ามีเพียงคนตรงหน้าจริงๆ จิตสังหารในดวงตาเขาก็พลันปะทุรุนแรงขึ้น
“เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น นี่คือสาเหตุการตายของเจ้า” กล่าวจบเขาก็ยกมือขวาขึ้นสะบัดไปทางหวังเป่าเล่อ ทันใดนั้นแสงไฟรอบร่างเขาก็พุ่งทะยานไปกลืนกินหวังเป่าเล่อ เสียงโบราณเก่าแก่ดังก้องออกมาพร้อมพลังบดขยี้แผ่ขยายมายังหวังเป่าเล่อ
ทุกที่ที่มันผ่านไปล้วนทำให้พื้นดินแตกละเอียด ราตรีรอบด้านพลันบิดเบี้ยว ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อก็ถูกล้อมไว้ข้างใน ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นสีหน้าเฉยเมยและกำลังจะวาบร่างจากไปราวกับไม่จำเป็นต้องอยู่ดูตอนจบก็รู้ผลแล้ว
“เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลย ที่นี่ สำนักเหิงฉินมีแค่เจ้าคนเดียวใช่หรือไม่” ตอนที่เด็กหนุ่มกำลังจะจากไปนั้นเอง เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้นด้านหลัง เสียงนี้ทำให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีและหันขวับไปมองจุดที่แสงไฟพุ่งทะยาน
ที่ตรงนั้นเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ เสียงโบราณดังก้องพร้องพลังบดขยี้ เพียงแต่…ร่างที่อยู่ข้างในกลับเดินออกมาช้าๆ จะเปลวเพลิงหรือเสียงโบราณก็ทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
เพราะว่าตรงหน้าหวังเป่าเล่อมีอักขระเสียงอยู่หนึ่งตัวกำลังส่องแสงเจิดจ้า แม้จะไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แต่การมีอยู่ของมันก็ดูเหมือนจะสามารถเขย่าขวัญทุกสิ่ง ทำให้แสงไฟและเสียงโบราณไม่สามารถเข้าใกล้ได้
ภาพนี้ทำให้เด็กหนุ่มดวงตาหดแคบลงทันควัน โดยไม่ลังเล ร่างของเขาพลันพร่าเลือนกลายเป็นท่วงทำนองโบราณทันที มันมาพร้อมกับพลังปราณที่ทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนรุ่ม แฝงไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า ก่อนจะพุ่งเข้าใส่อักขระเสียงของหวังเป่าเล่อ
ฟู่!
เมื่อปะทะกันอักขระเสียงของหวังเป่าเล่อจึงส่งเสียงออกมาในที่สุด พริบตาที่เสียงนั้นดังขึ้น ท่วงทำนองโบราณของเด็กหนุ่มก็พลันสั่นสะท้านรุนแรง ก่อนจะพังทลาย
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้อง ท่วงทำนองที่แตกสลายพลันพลิกม้วนถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรวมร่างกันกลายเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้ง นัยน์ตาเขาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าตกตะลึง
“นี่มันอักขระเสียงอะไรกัน!”
ร่างกายหวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยจากการปะทะกับท่วงทำนองโบราณซึ่งมันทำให้เขาค่อนข้างหดหู่ใจ ไม่ใช่หดหู่ที่เจ็บปวด แต่…เขารู้สึกว่าท่วงทำนองของอีกฝ่ายนี่ล่ะที่เป็นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง
“ทำไมอักขระเสียงของข้าถึงไม่เป็นแบบนี้บ้าง…” แค่คิดถึงอักขระเสียงของตน หวังเป่าเล่อก็เศร้าใจมาก ดังนั้นจึงกวาดดวงจิตเทพไปสัมผัสกับอักขระเสียงหลักของตนอีกครั้ง
ฟู่!
เสียงฟู่ดังออกมาเป็นครั้งที่สอง ฉับพลันรอบตัวก็เกิดคลื่นเสียง เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาแทบถลน ร่างกายถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรีบร้อน แต่ก็ยังช้าเกินไป ชั่วแวบเดียวก็ถูกคลื่นเสียงพุ่งเข้าใส่ ร่างของเขาในคลื่นเสียงฟู่กลายเป็นเหมือนปลาตัวนั้นไม่มีผิด…พังทลาย
เลือดเนื้อแหลกสลาย ร่างกายและวิญญาณถูกทำลายหมดสิ้น
ทุกอย่างค่อยๆ สงบลง
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เขารู้สึกว่าบนเส้นทางแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนี้ แค่เริ่มต้น ตนเองก็ไม่เหมือนคนอื่นแล้ว
ขณะส่ายหน้าหวังเป่าเล่อก็เดินไปถึงจุดที่ผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินคนนั้นแตกสลาย เขาก้มมองลงไปยังจุดนั้น ตอนนั้นเองที่หูพลันได้ยินเสียงเล็กๆ ลอดออกมา จึงยื่นมือคว้ามันไว้
นอกจากกระเป๋าคลังเก็บของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ก็ยังมีอักขระเสียงที่ลอยออกมาจากร่างที่แหลกสลายถูกหวังเป่าเล่อจับไว้ในมือ
เพียงแค่สัมผัสเบาๆ อักขระเสียงนั้นก็ส่งเสียงฉินดังยาว แม้จะแค่เสียงเดียวแต่กลับไพเราะมาก นั่นทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม
…………………………………