หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1378 เสียงมวลมหาธรรมชาติดนตรีคราม
“เสียงฉิน!” หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย เขาถืออักขระเสียงไว้ตรงหน้า ก่อนจะกวาดดวงจิตเทพผ่านอีกครั้ง หลังจากเสียงฉินอันเสนาะหูดังก้องไปทั่วจิตใจ เขาก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมา
“นี่สิถึงจะเป็นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง!” หวังเป่าเล่อคิดมาตลอดว่าเสียงฟู่ของตนเหมือนกับเสียงผายลมซึ่งน่าเกลียดมาก แม้อานุภาพตอนซ้อนทับกันจะดี แต่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงคนอื่นแล้ว ทั้งความสง่างาม ความเศร้าโศก หรือบทเพลงที่มีท่วงทำนองอื่นๆ มันก็ยังแสลงหูอยู่ดี
แต่เขาไม่มีทางอื่นเลย ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา อักขระเสียงทั้งหมดที่เขารู้แจ้งล้วนเป็นเสียงฟู่ เขาที่เดิมทีได้ล้มเลิกความคิดเรื่องแต่งบทเพลงของตนเองไปแล้วกำลังมองอักขระเสียงในมือ เปลวไฟในใจพลันลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“หรือว่าสำนักเหิงฉินคือสำนักที่เหมาะกับข้าที่สุด!” หวังเป่าเล่อรีบหลอมรวมอักขระเสียงในมือเข้ากับร่างกายทันที จากนั้นก็เปิดค้นกระเป๋าคลังเก็บของเด็กหนุ่ม ข้างในนั้นนอกจากของกระจุกกระจิกแล้วก็ยังมีบันทึกอักขระดนตรีสองแผ่นรวมถึงแผ่นหยกและตราผลึก
หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจตราผลึก ที่เขาสนใจคือแผ่นหยกต่างหาก หลังจากใส่ดวงจิตเทพเข้าไป หวังเป่าเล่อก็ยืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาพลันเปล่งประกาย
“สำนักเหิงฉินนั้นทุกอย่างล้วนมีบทเพลงโบราณเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับจิตใจที่เก่าแก่ เต๋ามีร่องรอยโบราณ จินตนาการว่าร่างกายตนคือเครื่องสาย…” เคล็ดวิชาไม่ยาก ถึงอย่างไรกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็ใช้การรู้แจ้งเป็นหลัก สามสำนักใหญ่ก็แค่มีทิศทางการฝึกฝนต่างกันเท่านั้น
ดังนั้นไม่นานหวังเป่าเล่อก็ชำนาญวิธีฝึกตนขั้นพื้นฐานของสำนักเหิงฉิน จากนั้นจึงหยิบบันทึกอักขระดนตรีสองแผ่นนั้นออกมาดูอย่างละเอียด บันทึกอักขระดนตรีนี้ก็คือบทเพลงแบบโบราณ ไม่มีเนื้อ มีแต่ทำนอง
นี่คือจุดเด่นของสำนักเหิงฉิน
และสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นยิ่งกว่าคือในบันทึกอักขระดนตรีสองแผ่นนี้ อักขระเสียงตัวแรกที่รู้แจ้งออกมาก็คือเสียงฉิน อีกทั้งยังต่างจากก่อนหน้านี้ด้วย แม้ต่อไปหวังเป่าเล่อจะตัดสินใจกลับมาเดินเส้นทางเดิม รู้แจ้งเสียงฟู่ออกมาห้าตัว แต่สิ่งนี้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อพอใจมากแล้ว
หลังจากนำเสียงฟู่ที่รู้แจ้งออกมาใหม่ซ้อนทับกับของเดิมอย่างลวกๆ แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก แต่กลับขยับเสียงฉินสองตัวของตนแทน เสียงทำนองลื่นหูดังขึ้นจนหวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปยังใจกลางพื้นที่ที่ปลาดนตรีครามอาศัยอยู่ หรือก็คือจุดที่เด็กหนุ่มคนนั้นเดินมา
เขาอยากจะดูสักหน่อยว่าที่นี่มีความลับอะไรกันแน่ถึงทำให้ผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินไม่ลังเลที่จะสังหารใครเลย ต้องทราบก่อนว่าทั้งสามสำนักอยู่ห่างกันมาก อีกทั้งยังมีต้นกำเนิดเดียวกัน ดังนั้นแม้จะเกิดความขัดแย้งกันในวันปกติทั่วไปก็น้อยมากที่จะเกิดการฆ่าแกง
อีกฝ่ายทำเช่นนี้ หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าที่นี่จะไม่มีความลับอะไร แต่หลังจากเขาเดินไปถึงใจกลางพื้นที่กลับไม่พบเบาะแสหรืออะไรประหลาดเลยสักนิด หากจะให้พูดว่าต่างกันที่ตรงไหนก็มีแต่ที่นี่มีปลาดนตรีครามมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังว่ายเข้ามาใกล้ ไม่หนีไปไหน
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อประหลาดใจมาก เขาค้นหาอย่างระมัดระวังอีกครั้งก็ยังไม่พบเงื่อนงำอะไร เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนั่งลงตรงใจกลางพื้นที่และสังเกตอย่างเงียบเชียบ
เวลาไหลผ่านไปอีกครั้ง ไม่นานก็ใกล้จะรุ่งสางแล้ว หวังเป่าเล่อที่ไม่ได้อะไรเลยตลอดทั้งคืนเริ่มขมวดคิ้วมุ่นและกำลังจะลุกจากไป ทว่าในยามรุ่งสางที่ราตรีกาลกำลังจะสลายไปนั้นเอง จู่ๆ…เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง
เสียงนี้ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่แคบลงทันที
นั่นคือเสียงบทเพลง อันได้แก่ เสียงประสาน เสียงฉิน หากสัมผัสมันอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ดูเหมือนจะเป็นเสียงแห่งสรรพสิ่ง นั่นทำให้หวังเป่าเล่อใจกระตุกวูบ เขายังสัมผัสได้ถึงปลาดนตรีครามจำนวนมหาศาลกำลังแหวกว่ายด้วยความเร็วสูงราวกับกำลังล้อมรอบพื้นที่นี้ไว้
และเสียงนี้ก็ค่อยๆ ทำให้หวังเป่าเล่อเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น!
นั่นก็คือปลาดนตรีครามเหล่านี้กำลังว่ายวนเป็นฝูงในช่วงเวลาสั้นๆ ของการสับเปลี่ยนระหว่างกลางคืนกับกลางวัน ด้วยการเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดทำให้พวกมันชนกันเองจนเกิดเสียงดัง
เวลากลางคืนพวกมันจะไม่ชนกัน แต่ตอนนี้ด้วยอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดนี้ การชนกันของพวกมันจึงทำให้เกิดเป็นเสียงมวลมหาธรรมชาติ
เสียงนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน การรู้แจ้งของเขาก็ยิ่งเฉียบขาดกว่าเดิม อักขระเสียงในร่างกายพลันถือกำเนิดขึ้นทีละตัว
ไม่ทันที่จะตรวจดูว่าอักขระเสียงที่รู้แจ้งออกมาคืออะไร หวังเป่าเล่อขณะนี้กำลังจมดิ่งลงไปในการรู้แจ้ง หากมีคนที่สามารถมองทะลุโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้ สิ่งที่เขามองเห็นอยู่ในตอนนี้จะต้องเป็นภาพที่สวยมากเป็นแน่
ในภาพนั้น หวังเป่าเล่อกำลังนั่งสมาธิ เส้นผมปลิวไสว ดูเหมือนมีน้ำทะเลสีน้ำเงินอยู่รอบตัว ในน้ำทะเลนั้นมีปลาดนตรีครามกำลังรวมกลุ่มเวียนว่ายรายล้อมอยู่รอบกาย ร่างกายสะท้อนแสงท้องฟ้าสีขาวที่ค่อยๆ สว่างขึ้น ส่งผลให้ทุกอย่างในน้ำทะเลสีน้ำเงินดูสวยงามมาก
แต่การรู้แจ้งเช่นนี้ไม่อาจคงอยู่ได้นาน รุ่งอรุณนั้นแสนสั้น เมื่อมันมาถึง กลางคืนถูกแทนที่ด้วยกลางวัน ร่างของหวังเป่าเล่อและฝูงปลารอบด้านก็หายไปพร้อมกัน
เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตา เขาก็มาอยู่ทางทิศตะวันออกใกล้กับกำแพงเมืองปรารถนาเสียงแล้ว ในดวงตายังเหลือร่องรอยการรู้แจ้ง ใช้เวลานานทีเดียวกว่าเขาจะฟื้นคืนสติ ทันทีที่ได้สติและเห็นจำนวนอักขระเสียงที่ตนรู้แจ้งออกมา หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึง
“109 ตัว!!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจถี่รัว มองอักขระเสียงในร่างกายตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ นอกจากเสียงฟู่ซ้อนทับกัน 71 ตัวแล้ว ยังมีเสียงตุ้บหนึ่งเสียงและเสียงฉินอีกสองเสียง
และรอบๆ อักขระเสียงเหล่านี้ก็ยังมีอักขระเสียงใหม่อีก 109 ตัวส่องประกายวิบวับ
ความเร็วเช่นนี้เหนือกว่าการรู้แจ้งตลอดครึ่งปีของหวังเป่าเล่อเสียอีก นั่นทำให้เขาตกตะลึง ขณะเดียวกันก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินถึงต้องการสังหารผู้อื่น หากเปลี่ยนเป็นหวังเป่าเล่อ เขาเองก็จะทำเช่นกัน
“คิดไม่ถึงว่าฝูงปลาดนตรีครามจะประหลาดแบบนี้…” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นตรงไปยังร้านอาหาร ระหว่างทางก็กวาดดวงจิตเทพผ่านอักขระเสียงเหล่านั้นเพื่อตรวจสอบเสียงของมัน
ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่…
เสียงที่คุ้นเคยทำให้ความตื่นเต้นของหวังเป่าเล่อลดน้อยลง สุดท้ายก็แทบจะชินชา จนกระทั่งเสียงฟู่ดังไปร้อยกว่าครั้ง จู่ๆ ก็มีเสียงฉินดังก้องอยู่ในใจเขา
เสียงอันไพเราะนี้ทำให้เขาที่เพิ่งเหยียบเข้ามาในร้านอาหารชะงักกึก ก่อนจะกลับถึงห้องด้วยความพึงใจ สัมผัสอักขระเสียงในร่างกายและครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน
“108 เสียงฟู่ หนึ่งเสียงฉิน”
“แบบนี้ก็ยังดี อย่าโลภเกินไป” หวังเป่าเล่อไม่สนใจเสียงฟู่เหล่านั้นและนำพวกมันซ้อนทับกับเสียงก่อนหน้านี้ลวกๆ แต่บรรจงวางเสียงฉินอันล้ำค่าไว้ข้างๆ เสียงฉินอีกสองตัวอย่างระมัดระวัง เมื่อมองพวกมัน เขาก็รู้สึกว่าความหวังในการสร้างบทเพลงของตัวเองใกล้เข้ามาแล้ว
“ยังมีสถานที่ที่ฝูงปลาดนตรีครามอาศัยอยู่นั่นห้ามให้ผู้ใดค้นพบเด็ดขาด ใครกล้ามาแย่งชิง ข้าจะฆ่าทิ้งให้หมด!” ดวงตาหวังเป่าเล่อวาววับ หลังจากตัดสินใจแล้วก็เริ่มสงสัยว่าหากปลาดนตรีครามเหล่านั้นถูกพรากไปที่อื่นยังจะสามารถเกิดฉากนั้นได้หรือไม่
“เกรงว่าคงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินคนนั้นคงทำไปนานแล้ว”
……………………………………………