หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1380 ร่องรอยแห่งสุข
“ไม่ใช่เกี้ยวหลังเดียวกัน?” หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับจ้องมองเกี้ยวสีเลือดที่กำลังเข้ามาใกล้ เขามองเข้าไปข้างในม่าน มือซ้ายเหยียดออกมาจากม่านอย่างไร้ทิศทาง ในใจพลันครุ่นคิด
ขณะที่เขากำลังไตร่ตรองอยู่นั้นเอง เกี้ยวสีเลือดก็เข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อคล้ายกำลังจะเคลื่อนผ่านไป
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น มองมันอย่างเย็นชา จากนั้นก็กะพริบร่างและเป็นฝ่ายหลีกทางให้ก่อน
สำหรับเขา ร่างที่อยู่ข้างในเกี้ยวสีเลือดนี้แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายปั่นป่วนจิตใจเขาไม่หยุด หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ว่าเกี้ยวนี้อันตรายมาก
แม้ตัวเขาจะไม่ธรรมดา แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับอันตรายที่ไม่จำเป็นเช่นนี้ เขาจึงเลือกที่จะหลีกทาง แต่ว่าครั้งนี้…การหลีกทางให้กลับไร้ผล
แม้จะถอยไปหลายสิบจั้งแล้ว แต่เกี้ยวสีเลือดนั่นก็ดูเหมือนจะกำหนดเป้าหมายไว้ที่เขาเรียบร้อย มันเปลี่ยนทิศเข้ามาหาเขาเช่นเดิม
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว เมื่อถอยออกไปอีกก็พบว่าไร้ประโยชน์ หลังจากรู้ว่าถูกกำหนดเป้าหมายชัดเจน เขาจึงยืนอยู่ที่เดิมไม่ถอยหนีอีกต่อไป ดวงตาฉายแววเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ
เกี้ยวนั่นเหมือนกับเกี้ยวที่เขาเคยพบทุกประการ เมื่อหวังเป่าเล่อหยุดชะงัก มันก็พร่าเลือนและมาปรากฏตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่อและไม่หยุดเคลื่อนที่ หากแต่พริบตาที่กำลังจะตัดผ่านหวังเป่าเล่อไปมันจึงหยุดลงทันที
คราวนี้มันหยุดอยู่ด้านขวาของหวังเป่าเล่อและยังเป็นตำแหน่งที่มือซ้ายข้างนั้นยื่นออกมาพอดี เมื่อมันหยุดลง มือซ้ายกับหวังเป่าเล่อก็ห่างกันราวหนึ่งช่วงตัวคน
ระยะห่างนี้ทำให้หวังเป่าเล่อได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาเล็กน้อย ซึ่งจุดนี้ต่างจากเกี้ยวหลังแรกที่เขาเคยพบ
หากมองดูใกล้ๆ ยังเห็นเลือดไหลซึมไปตามรอยร้าวของไม้ตรงขอบเกี้ยว เมื่อมองเลยเกี้ยวไปจะเห็นว่าตลอดทางที่มันเคลื่อนเข้ามามีเลือดหยดลงพื้นเป็นระยะๆ กลายเป็นเส้นต่อเนื่อง
บางทีอาจจะเป็นเลือดของสิ่งที่อยู่ข้างในเกี้ยว หรือบางที…อาจเป็นเลือดของผู้ฝึกตนที่เห็นการดำรงอยู่ของมันจึงถูกกลืนกินมาตลอดทาง
เมื่อเกี้ยวหยุดชะงัก แสงเย็นวาบในดวงตาหวังเป่าเล่อก็รุนแรงขึ้น เขาถอยหลังไปอีกครั้งเพื่อรักษาระยะห่าง แต่บริเวณที่เขาอยู่ดูเหมือนจะบิดเบี้ยวและได้รับอิทธิพลบางอย่าง ไม่ว่าเขาจะถอยหนีอย่างไร ระยะห่างของเขากับเกี้ยวนั่นก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“กวนประสาทข้าหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะเลิกถอยหลัง และแผ่จิตใต้สำนึกปกคลุมบริเวณนี้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีใครอีก เขาก็จ้องเขม็งไปยังเกี้ยวข้างตัว แสงอันตรายในดวงตายิ่งรุนแรงขึ้น
ขณะเดียวกันมือซ้ายที่ยื่นออกมาจากม่านก็ค่อยๆ หยุดแกว่งไกว และชี้ไปข้างหน้าแทน มันเข้าใกล้หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อช้าๆ ราวกับต้องการสัมผัส
ระหว่างนี้ดูเหมือนว่านิ้วมือนั่นจะแผ่พลังประหลาดออกมาเช่นกัน หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ทันทีว่าอักขระเสียงในร่างกายตนเหมือนถูกสะกดจนสูญเสียความคล่องแคล่วและอยากหลับใหล
เรื่องนี้ตอนที่เขาพบเกี้ยวหลังแรก พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างกายเขายังอ่อนแอและไม่แข็งแกร่งเท่าตอนนี้ ในด้านความรู้สึกจึงไม่ได้ชัดเจน แต่ตอนนี้ความรู้สึกนี้ชัดเจนมากทีเดียว
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถในการยับยั้งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้
“หืม?” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด แต่นัยน์ตายังคงเย็นยะเยือก จู่ๆ ผนึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างกายก็คลายออก มุมปากค่อยๆ ฉีกออกกว้างจนน่ากลัว
หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าบนเล็บสีเลือดที่กำลังเข้ามาใกล้ก็แผ่แสงประหลาดออกมาเช่นกัน และปากหวังเป่าเล่อก็ฉีกกว้างขึ้น ในพริบตาที่ทั้งคู่เข้าใกล้กันมากที่สุด หวังเป่าเล่อก็อ้าปากกว้างจนถึงขนาดที่สามารถกลืนกินเกี้ยวเข้าไปได้ทั้งหลัง เขางับลงไปบนมือข้างนั้น
แทบจะในพริบตาที่เขากลืนมันลงไป เล็บสีแดงเลือดก็ปะทะกับร่างกายเขาอย่างเงียบเชียบ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มรุนแรง สัมผัสได้ถึงคำสาปร้ายแรง นิ้วมือของอีกฝ่ายพุ่งเข้าไปในร่างกายเขาโดยไร้สิ่งกีดขวางและกำลังจะทำลายดวงวิญญาณเทพและทุกสิ่งจนหมดสิ้น
แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนารสนั้น หวังเป่าเล่อก็ฝึกฝนจนถึงระดับเจ้าสวาปามแล้วและยังฝึกฝนมันมานานขนาดนี้ แม้จะยังเทียบกับเจ้าปรารถนารสไม่ได้ แต่ก็เหนือกว่าเจ้าสวาปามทั้งหมดแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีคุณสมบัติของร่างต้นแบบอยู่ด้วย แม้การสังหารเช่นนี้จะน่าทึ่ง แต่การจะสังหารหวังเป่าเล่อในพริบตานั้นเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นแม้คำสาปจะพุ่งเข้าไประเบิดในร่างกายหวังเป่าเล่อ แต่นั่นก็ทำให้หวังเป่าเล่อแค่เซถอยหลังพร้อมกระอักเลือดสีดำออกมาเต็มปากเท่านั้น
เลือดสีดำนั่นก็คือคำสาป
ขณะเซถอยหลัง หวังเป่าเล่อเงยหน้าจ้องมองเกี้ยวนั่นด้วยดวงตาที่เส้นเลือดปูดโปน
ตอนนี้เกี้ยวก็สั่นไหวเช่นกัน ไม้บางส่วนเกิดรอยปริแตกและทรุดลง หากมองดีๆ จะเห็นว่าส่วนที่ทรุดลงนั้นเชื่อมต่อกันเป็นรอยฟัน
ราวกับรับรู้ได้ถึงอันตรายจากหวังเป่าเล่อ นิ้วมือที่ยื่นออกมานอกม่านจึงค่อยๆ หดกลับไป เกี้ยวที่หยุดอยู่ตรงนั้นก็ถูกยกขึ้นแบกออกไปอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองเกี้ยวที่กำลังไกลออกไป หลังจากเงียบไปไม่กี่อึดใจ เขาก็ตัดสินใจได้ ไม่ใช่วาบร่างหนี แต่พุ่งตามเกี้ยวนั้นไป
เพียงแต่ระหว่างการไล่ตามนี้รูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าตัวเขาและแม้แต่ลมปราณก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพื่อไม่ให้ถูกผู้ฝึกตนสามสำนักใหญ่เห็นเข้า
ส่วนเหตุผลที่เขาเลือกตามไปนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความประหลาดของเกี้ยวสีเลือด แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ…ตอนที่คำสาปร้ายแรงนั่นระเบิดในร่างหวังเป่าเล่อ เขาสัมผัสได้ว่ากฎแห่งสุขของตนเอง…กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาในพริบตา
“สามารถยับยั้งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้…”
“สามารถกระตุ้นพลังปราณของกฎแห่งสุขในร่างข้าได้”
“ไม่ใช่เกี้ยว แต่เป็นแขนขาที่ต่างกันข้างในนั้น”
“ทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกัน คำตอบก็มีไม่กี่อย่าง…แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรมันต้องเกี่ยวข้องกับ…เจ้าแห่งสุขแน่!” หวังเป่าเล่อจำได้แม่นว่าตอนที่ร่างต้นแบบเพิ่งมาถึงโลกาชั้นสอง ผู้อาวุโสของเผ่าสุขได้เล่าเรื่องเจ้าแห่งสุขให้เขาฟัง
เนื่องจากเจ้าแห่งสุขมีอิทธิพลต่อการดำรงอยู่ของกฎปรารถนาเสียงจึงตกเป็นเป้าหมายของเจ้าปรารถนาเสียง ในหมู่พวกเขา พลังหลักที่ทำลายเผ่าแห่งสุขก็คือผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง
ส่วนเจ้าแห่งสุขของทั้งเจ็ดอารมณ์ผู้นั้นก็ถูกเจ้าปรารถนาเสียงสะกดไว้…ในเมืองปรารถนาเสียง!
ถูกสะกดไว้ที่ไหนหรือสะกดด้วยวิธีใด ไม่มีใครล่วงรู้ แต่ที่แน่ชัดคือเมื่อเจ้าแห่งสุขถูกสะกด กฎแห่งสุขในโลกใบนี้ก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉาไป
……………………………………………