หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1386 เจ้าแห่งสุข
ซ่งเสี่ยวผู้อาศัยอยู่ในเมืองปรารถนาเสียงมาตั้งแต่เด็ก เขาเกิดที่นั่น เติบโตที่นั่น และกราบเข้าสำนักเหิงฉินได้สำเร็จเพราะพรสวรรค์อันไม่ธรรมดาของตน
บางทีอาจเป็นเพราะเติบโตมาอย่างราบรื่น จึงหล่อหลอมให้เขามีนิสัยเย่อหยิ่ง แต่ถึงแม้การฝึกตนในสำนักเหิงฉินของเขาจะไม่ได้เชื่องช้า แต่คนที่ฝึกได้รวดเร็วกว่าเขากลับมีไม่น้อยเลย
ดังนั้นเขาที่รู้สึกกดดันจึงต้องเร่งฝึกฝนตนเอง แต่ต่อให้เขาพยายามอย่างหนักก็ยังมีช่องว่างอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ก็คือไม่มีใครช่วยปรับปรุงท่วงทำนองของเขาให้สมบูรณ์แบบเลย
ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องประกาศจับจากสำนักเหอเสียน เขาจึงตัดสินใจออกจากการกักตันไปลองเสี่ยงโชคข้างนอก ถ้าหากสามารถตามหาคนที่ถูกตามจับพบ สำหรับเขาแล้วมันก็คือโชควาสนายิ่งใหญ่ทีเดียว
แม้ว่าคนที่คิดเช่นนี้จะมีมากมาย แต่การเคลื่อนไหวของซ่งเสี่ยวก็คือความดื้อรั้นที่สุด เพราะช่วงนี้เขาจะออกไปตระเวนอยู่ข้างนอกยามค่ำมืดเกือบทุกคืน สังเกตดูผู้ฝึกตนทุกคนที่เขาได้พบอย่างใกล้ชิด
อย่างเช่นในตอนนี้ ฟ้าเพิ่งจะมืดแล้วเขาก็พุ่งออกจากที่พักของตน จุดทำนองเพลงของตนขึ้นมาในคืนมืดมิด ทำให้สัตว์ประหลาดในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงไม่ลงมือโจมตีตัวเขา จากนั้นก็เร่งความเร็วเดินทาง
เขาที่ฝึกฝนถึงระดับท่วงทำนองสามารถเมินเฉยต่อสัตว์ประหลาดมากมายได้แล้ว ถึงอย่างไรทำนองเพลงของเขาก็มีมากพอ ความสว่างจากแสงสามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ถูกทำร้าย
“สัตว์ประหลาดพวกนี้น่ารำคาญจริงๆ ถึงพวกมันจะพุ่งเข้ามาไม่ได้ แต่ก็ตามติดอยู่รอบตัวข้าอย่างเห็นได้ชัด ช่างทำให้คนรังเกียจนัก” ซ่งเสี่ยวสีหน้าไร้อารมณ์และพึมพำอยู่ในใจ ความจริงแล้วตอนแรกเขาก็ใช่เวลาอยู่นานกว่าจะชินกับการสัมผัสรู้เช่นนี้
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ขณะที่เขากำลังพุ่งทะยานไป ท่ามกลางสัตว์ประหลาดที่อยู่รอบๆ กลับมีตัวตนพิเศษอยู่ตนหนึ่งกำลังสังเกตดูเขาอยู่ท่ามกลางสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ
ตัวตนผู้นี้ย่อมเป็นหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนสัตว์ประหลาดที่ทั้งตัวมีแค่ก้างปลา พินิจดูผู้ฝึกตนตรงหน้าผู้นี้อย่างใคร่รู้ ตอนนี้เขาแน่ใจอย่างยิ่งแล้วว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นตน
“ดูท่าว่าข้าจะฝึกจนตัวเองกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดแล้วจริงๆ สินะ” หวังเป่าเล่อกะพริบตา สะกดกลั้นความตื่นเต้นภายในใจแล้วตบก้างปลาที่อยู่ใต้ตัวเขา ปลาตัวนั้นขยับไหว มันกลับเชื่อฟังจิตเทพของหวังเป่าเล่ออย่างชาญฉลาด แล้วกระโจนพุ่งไปข้างหน้าตรงๆ วาบผ่านข้างตัวซ่งเสี่ยวไป
บางทีอาจเป็นเพราะลมที่พัดมาหรืออาจเป็นเพราะชายเสื้อผ้าของหวังเป่าเล่อ จึงทำให้ซ่งเสี่ยวชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด เขายกมือลูบคลำใบหน้าของตนโดยไม่รู้ตัว
“เหมือนกับว่า…มีอะไรมาโดนหน้าข้า ความรู้สึกนั้นมัน…คล้ายจะเป็นเสื้อผ้านะ” สีหน้าซ่งเสี่ยวดูไม่อยากเชื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เขาคิดว่าการสัมผัสรู้ของตนอาจผิดพลาดไป ดังนั้นจึงปล่อยมือลง แต่พริบตาต่อมาเขาก็ก้มหน้าลงทันที สองตาหดเกร็ง เผยสีหน้าตกตะลึงเหมือนเจอผีออกมาอย่างตื่นตระหนก
“กระเป๋า…กระเป๋าคลังเก็บของข้า?!!”
“หายไปแล้ว!”
ทั้งตัวซ่งเสี่ยวเหมือนโดนสายฟ้าฟาด เขายืนทื่ออยู่ตรงนั้นพักใหญ่ จนกระทั่งผ่านไปนานก็พลันเงยหน้าขึ้น หน้าตาบิดเบี้ยว ความโกรธเกรี้ยวยิ่งแผดเผา
“เป็นพวกสัตว์ประหลาดไปไม่ได้ อย่างแรกคือพวกมันไม่กล้าเข้าใกล้ อย่างที่สองต่อให้เข้าใกล้ได้ก็ไม่เคยได้ยินว่ามันจะเอากระเป๋าคลังเก็บของคนอื่นไป จะต้องเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นที่เมื่อครู่พุ่งเข้ามาเร็วมากแล้วฉกกระเป๋าคลังเก็บของข้าไป!”
“ใช่แล้ว ความรู้สึกแบบชายเสื้อผ้านั่นคือหลักฐาน!!”
โทสะของซ่งเสี่ยวแผดเผา แต่พริบตาต่อมาเขาก็หลั่งเหงื่อเย็นๆ เพราะตระหนักได้ว่า ในเมื่ออีกฝ่ายใช้ความเร็วเช่นนี้ฉกกระเป๋าคลังเก็บของตนไปโดยที่ตัวเขายังสัมผัสไม่ได้ เช่นนั้นแค่คิดก็รู้แล้วว่าถ้าหากเขาฟันคอตนขึ้นมา ตนก็คงไม่รู้ตัวเช่นกัน
ความคิดนี้ทำให้ซ่งเสี่ยวสั่นไปทั้งกาย ยามมองไปรอบๆ แววตาก็แฝงความหวาดกลัวเอาไว้ เขารู้สึกว่าข้างนอกอันตรายเกินไปแล้ว ตอนนี้จึงหันกายพุ่งทะยานไปยังสำนักโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด เขาไม่คิดจะไปตามหาคนที่ถูกประกาศจับผู้นั้นแล้ว ตอนนี้เขาคิดแต่จะกลับไปกักตันอยู่ในสำนักต่อเร็วๆ เท่านั้น…
และในคืนวันนี้ ภาพแบบเดียวกันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงที่เดียวในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ความจริงเมื่อหวังเป่าเล่อปรากฏตัวออกมาข้างนอก รวมถึงการที่เขาถูกประกาศจับ จึงชักนำให้ผู้ฝึกตนจากสามสำนักออกจากการกักตนจำนวนมาก ดังนั้นโอกาสที่จะได้เจอกันก็มีมากไปด้วย
นับประสาอะไรกับหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว ในสายตาของเขา ผู้ฝึกตนคนไหนๆ ในสามสำนักล้วนเหมือนกับคบเพลิงในยามค่ำคืน เจิดจ้าแสบตาอย่างยิ่ง เขาที่อยู่ไกลๆ ก็ยังสัมผัสถึงได้ ถึงขนาดยังพบว่าหลายครั้งเขาไม่จำเป็นต้องมองเห็นก็คล้ายจะรับรู้ได้ผ่านสัมผัสเชื่อมต่อแล้ว
ดังนั้นหากเป็นคนที่มีเจตนาสังหาร หวังเป่าเล่อก็สามารถทำให้เลือดนองเป็นแม่น้ำได้ภายในหนึ่งคืน แต่เพราะไม่มีความแค้นระหว่างกัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ทำอย่างนั้น ทว่าในเมื่อคนพวกนี้มาตามหาเขาพร้อมเจตนาร้าย เขาก็จะฉกกระเป๋าคลังเก็บของพวกเขาไปโดยไม่ถือสาอะไร
สือหลิงจื่อต่างหากคือเป้าหมายหลักที่หวังเป่าเล่อจะตามหา คืนนี้เขาใช้เวลาไปกับการตามหาร่องรอยของอีกฝ่าย
ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อยังค้นพบเรื่องที่ชวนดีใจและประหลาด นั่นก็คือสัตว์ประหลาดในโลกแห่งนี้ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีสติปัญญาอะไร รู้จักแต่แหวกว่ายอย่างงุนงงสับสนเท่านั้น พอเจอผู้ฝึกตนก็อยากจะเข้าไปกลืนกินตามสัญชาตญาณ
แต่…สัตว์ประหลาดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่โจมตีใส่หวังเป่าเล่อ ทว่ายังเคารพเชื่อฟังจิตเทพของเขาอย่างยิ่ง ท่าทางฉลาดน่าเอ็นดูมากนัก
สิ่งนี้ทำให้การค้นหาของหวังเป่าเล่อราบรื่นยิ่งขึ้น แต่อาจเป็นเพราะคืนนี้สือหลิงจื่อไม่ได้โผล่ออกมาข้างนอก ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงหาไม่เจอ แม้ว่าเขาจะตามหาเกี้ยวสีเลือดเจอแล้ว แต่ก็ยังหาสือหลิงจื่อไม่พบ
ส่วนเกี้ยวสีเลือดนั้น ลักษณะของมันในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนี้ กลับแตกต่างจากที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาก่อน
นั่นมันเป็นเกี้ยวที่ไหนกัน นั่นมัน…กรงเหล็กโลหิตชัดๆ
มีรอยประทับมากมายอยู่บนแขนขาที่ถูกสยบในนั้น รอยประทับแต่รอยล้วนเปล่งประกาย และยามที่มันเปล่งประกายก็จะมีท่วงทำนองดังออกมาด้วย รอยประทับเหล่านี้สอดประสานเปล่งประกายเข้าด้วยกันกลายเป็นบทเพลง
เมื่อมองไปที่กรงขังสีโลหิต หวังเป่าเล่อก็เงียบงัน ผ่านไปนานก็ส่ายหน้า กำลังจะจากไปแล้ว แต่ขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงแผ่วเบาดังสะท้อนอยู่ข้างหูของเขา
“บนร่างของเจ้า มีกลิ่นอายของข้า…”
หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้าแล้วพลันหันกลับไปมองกรงขัง ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เก็บสายตากลับมามองไปรอบๆ
เพราะประโยคเมื่อครู่นี้เหมือนจะดังมาจากข้างในกรงขังสีโลหิตกรงนี้ และเหมือนจะดังมาจากทิศทางอื่นๆ ด้วย เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็คล้ายมีอยู่หกเสียงดังก้องสอดประสานกัน
“เจ้าแห่งสุขหรือ” หวังเป่าเล่อลังเลครู่หนึ่งแล้วพูดช้าๆ
“ข้าคือสุขจากเจ็ดอารมณ์ เจ้าพิเศษยิ่ง ในช่วงชีวิตของข้ากลับได้พบกับหนึ่งคนที่สามารถใช้ร่างจริงก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงได้…” เสียงแผ่วเบาดังก้องอีกครั้ง
“เจ้าแห่งปรารถนาเสียงก็ทำไม่ได้หรือ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว
“เพราะความรักตัวกลัวตาย มันที่กลายเป็นพาหะของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงจึงไม่อาจใช้คำว่า ‘คน’ มาอธิบายตัวตนได้อีก”
“แล้วเจ้าล่ะ? ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ด้วยหรือ” หวังเป่าเล่อคิดดูแล้วเอ่ยถาม
“ข้าเพียงแต่มีความรู้สึกนึกคิดอยู่ที่นี่ ส่วนกายเนื้ออยู่ข้างนอก ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยเห็นมาแล้วหรอกหรือ” เสียงแผ่วเบายังคงดังต่อไป