หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1405 การแก้แค้นของสือหลิงจื่อ
“ขาดอีกแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะได้ผลเหมือนเดิมหรือเปล่า…” หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ ในเวลานี้ความขุ่นมัวในฟองอากาศกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพกึ่งโปร่งแสงดังเดิม
ดังนั้นเขาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่ง บีบอัดท่วงทำนองอิสระของตนลงด้วยความจำใจ ก่อนปะเสริมลงในส่วนที่หายไปของอักขระเสียงบทเพลงนี้ราวกับปะผ้า
พริบตาต่อมาก็ผสานเข้าด้วยกัน มองไม่เห็นความแตกต่าง
“เท่านี้แล้วกัน ถึงยังไงก็ไม่ได้สำคัญมากเท่าไร” หวังเป่าเล่อตรวจดูอีกครั้งก็เลิกใส่ใจ ถึงอย่างไรผลที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าสิ่งนี้ก็เหมือนกับหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ทำให้ร่างอวตารของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงมีคุณสมบัติที่จะยึดครองตนเองได้อย่างเต็มที่ หรือพูดได้อีกอย่างว่านี่ก็คือม้าโทรจันในหลายปีก่อนของโลกสหพันธรัฐ ที่สามารถทำให้ประตูใหญ่ของร่างตนเปิดกว้างต่อเจ้าแห่งปรารถนาเสียง
ตอนนี้ มันกัดไปหนึ่งคำแล้ว และหากดูจากอีกมุม บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เก็บสัมผัสสวรรค์กลับ ขณะมองไปยังฟองอากาศบริเวณรอบๆ ที่เขาอยู่ก็ค่อยๆ ชัดขึ้น และในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนสามสำนักด้านนอก ภายใต้สายตาที่จับจ้องมา ในที่สุดก็รอจนถึงภายในของฟองอากาศแจ่มชัดจนหมดเสียที
เมื่อเห็นว่าเหลือเพียงหวังเป่าเล่อที่อยู่ด้านใน ทุกคนล้วนตกตะลึง และเกิดเสียงฮือฮาเกรียวกราวดังขึ้นตามมา
“ชนะแล้ว?!!”
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ข้าเห็นแค่เกราะขาวหมุนตลบกระอักเลือด แล้วก็เลือนรางไปหมด มองไม่ชัดเลย”
“เกราะขาว…แพ้แล้ว!”
“นี่เป็นม้ามืดจริงๆ หรือว่า…หรือว่า เขามีคุณสมบัติที่จะชิงที่หนึ่ง?”
พลันเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักกว่าก่อนหน้าหลายเท่าดังออกมาจากในภูเขาไฟสามสำนัก เรียกได้ว่า ศึกนี้…ทำให้หวังเป่าเล่อถูกทั้งสามสำนักจดจำได้ขึ้นใจแล้ว
และที่ตื่นเต้นที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือ กลุ่มที่สนับสนุนหวังเป่าเล่อมากที่สุด ก็คือเหล่าผู้ฝึกตนที่ถูกหวังเป่าเล่อโจมตีจนพ่ายแพ้เหล่านั้น พวกเขาอยากจะเห็นหวังเป่าเล่อใช้อักขระเสียงที่ทำให้ผู้คนบ้าคลั่งแบบนั้นอย่างสุดๆ ไปตลอด
ท่ามกลางเสียงฮือฮาด้านนอก เมื่อการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อสิ้นสุดลงที่นี่ การต่อสู้ของฟองอากาศอีกสามฟองก็จบลงในเวลาไล่เลี่ยกัน ในบรรดาฟองอากาศทั้งสาม การต่อสู้ที่จบลงก่อนคือการต่อสู้ของยิ่นสี่กับจงเหิงจื่อ
ทั้งสองต่างเป็นศิษย์เต๋าแห่งจังหวะดนตรี แม้จะไม่คุ้นเคยกันมากนัก แต่พื้นฐานฝีมือล้วนมาจากแหล่งเดียวกัน แม้จงเหิงจื่อจะมีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ทั้งยังหลงใหลในเสียงดนตรี ทว่าสุดท้ายแล้ว…ก็อยู่คนละระดับกับยิ่นสี่
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทางยิ่นสี่ยังไม่ลงมือแสดงบทเพลงเลยด้วยซ้ำ และขณะที่สีหน้าท่าทางวาดลวดลายก็มีเสียงลอยล่องขึ้น ทำให้ทางด้านจงเหิงจื่อยิ่งลงมือมากเท่าไรก็ยิ่งขมขื่นมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งในครั้งสุดท้าย เมื่อยิ่นสี่ถอนหายใจ แล้วโบกมือขึ้นกลับ แสดงบทเพลงของจงเหิงจื่อที่แสดงไว้ก่อนหน้าขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ความตระหนกในใจของอีกฝ่ายก็พุ่งถึงขีดสุด
“เป็นไปไม่ได้!!” จงเหิงจื่อสีหน้ารวดร้าว เขาคิดไม่ตกว่าแค่ในเวลาสั้นๆ ทำไมอีกฝ่ายถึงเรียนบทเพลงของตนไปได้ เขาไม่คิดว่าจะมีใครมีต้นทุนธรรมชาติแบบนี้ ตอนนี้เขาเลือกยอมแพ้ท่ามกลางความสงสัยไม่เข้าใจ
จากทั้งสี่อันดับ ต่อจากหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนที่ถูกเลือกเป็นคนที่สองในเวลานี้ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ก็คือยิ่นสี่
คนผู้นั้นยืนอยู่ในฟองอากาศ ยิ่นสี่เงยหน้ามองหวังเป่าเล่อผ่านฟองอากาศ ในเวลานี้นัยน์ตาเป็นประกายวาววับกว่าตอนที่ต้องสู้กับจงเหิงจื่ออย่างมาก
ไม่นานหลังจากนั้น ทางด้านเยว่หลิงจื่อก็ได้ผลแพ้ชนะแล้วเช่นกัน แม้คู่ต่อสู้ของนางจะเป็นศิษย์เก่าที่ฝึกปรือมานานปี ซึ่งกะจะสร้างความตระหนกให้ผู้คนได้เห็น ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยว่หลิงจื่อ เพราะเขายืนหยัดได้แค่เพียงสี่บทเพลงเท่านั้น
คู่ต่อสู้ที่นางกำหนดไว้สำหรับตนเองตั้งแต่ต้นมีเพียงผู้เดียว นั่นก็คือยิ่นสี่ ตอนนี้เมื่อการต่อสู้จบลง นัยน์ตาฉายแววต่อสู้ขณะมองไปทางยิ่นสี่จากในฟองอากาศ
เพียงแต่ขณะที่มองไป เมื่อนางพบว่าเป้าหมายของยิ่นสี่ไม่ใช่ตัวเองแต่เป็นหวังเป่าเล่อที่ไม่โด่งดัง เยว่หลิงจื่อก็มุ่นคิ้วน้อยๆ ก่อนทอดสายตามองตาม
ในขณะที่ทั้งสองมองมายังหวังเป่าเล่อและเขาก็มอบรอยยิ้มจริงใจกลับไป การต่อสู้ในภายในฟองอากาศที่สือหลิงจื่ออยู่นั้นก็จบลงในที่สุด
พลังของสือหลิงจื่อสู้เยว่หลิงจื่อไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ศิษย์เต๋าที่อ่อนแอที่สุด ยิ่งเมื่อเขามีความยึดติดอยู่ในใจ แรงพลังก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย ก่อนเอาชนะคู่ต่อสู้และเข้าสู่สี่อันดับจนสำเร็จ
และยิ่งหลังจากที่เลื่อนอันดับสำเร็จแล้ว เขาก็เป็นเหมือนกับยิ่นสี่และเยว่หลิงจื่อ รีบหันหน้าในทันที จ้องหวังเป่าเล่อไม่วางตา ขณะที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นัยน์ตาก็เผยไอสังหารรุนแรง
เขาตามหาอีกฝ่ายมาเป็นเวลานาน ถึงขั้นออกหมายจับอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ไม่พบแม้แต่เบาะแสใดๆ เวลานี้ฟ้ามีตามอบโอกาสให้ตนเองแล้ว ในที่สุดก็เจออีกฝ่ายจนได้
แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งเกราะขาวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่สำหรับสือหลิงจื่อ นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ…เขาได้เตรียมพร้อมมาอย่างดีแล้วสำหรับวันนี้
เขาเชื่อว่า ด้วยการเตรียมพร้อมของตนจะต้องทำลายเสียงพื้นๆ นั่นลงได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น เวลานี้ขณะที่ถมึงตาจ้องมอง เบื้องลึกในใจของสือหลิงจื่อก็เต็มไปด้วยการรอคอย
และสายตาของเขา รวมทั้งการจับจ้องของศิษย์เต๋าทั้งสอง ทำให้ผู้ฝึกตนสามสำนักเบิกตาโตไปตามๆ กัน รู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นที่ราวกับเปลวเพลิงคุโชนระหว่างพวกเขา
“ต่อไปเป็นการต่อสู้รอบรองชนะเลิศแล้ว ไม่รู้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสี่นี้จะถูกจับแบ่งอย่างไร…”
“จากท่าทางของสือหลิงจื่อ เห็นได้ชัดว่าอยากจะสู้กับม้ามืดสักตั้ง หรือว่าเขาจะแก้แค้นแทนเกราะขาวกับปีศาจแดง? น่าแปลก ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“ไม่ถูก พวกเจ้าจำได้ไหมว่า ก่อนหน้านี้เหมือนสือหลิงจื่อจะเคยออกหมายนำจับหาคนคนหนึ่งราวกับคนบ้า…หรือว่า…”
สามสำนักวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสียงของพวกเขาลอยออกมาจากปากภูเขาไฟของกันและกัน ในตอนนั้นเอง ฟองอากาศสี่อันที่พวกหวังเป่าเล่อแต่ละคนอยู่ ก็ลอยขึ้นสู่ฟ้าจากภาพโลกข้างใน ก่อน…ผสานเข้าด้วยกัน!
ผู้ที่ผสานรวมกับยิ่นสี่ไม่ใช่เยว่หลิงจื่อ แต่เป็นสือหลิงจื่อ!
ส่วนผู้ที่ผสานรวมกับหวังเป่าเล่อกลับกลายเป็นเยว่หลิงจื่อ
นั่นส่งผลให้หวังเป่าเล่อนัยน์ตาวาววับ ในเมื่อแปดอันดับก่อนหน้านั้น ลำแสงที่เขาเลือกไว้ก็คือเยว่หลิงจื่อ ถึงขนาดที่แสงของทั้งสองคนก็ใกล้ผสานเข้าด้วยกันจนเเกือบสมบูรณ์แล้ว
แม้จะโดนเกราะขาวเข้ามาแทรก แต่ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าแห่งปรารถนาเสียงหวังว่าตนจะสามารถดำเนินเรื่องก่อนหน้าต่อไปได้ รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้าหวังเป่าเล่อ มองแล้วจะเห็นว่า…ฟองอากาศของเขากับเยว่หลิงจื่อที่มุ่นคิ้วเรียวก็ได้ผสานรวมเข้าด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทว่า ในเวลานี้เอง…สือหลิงจื่อก็ไม่เอาด้วยแล้ว
ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขารู้อยู่เต็มอกถึงความห่างชั้นของตนเองกับยิ่นสี่ การต่อสู้ครั้งนี้ต้องแพ้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย หากเป็นตอนอื่นเขาไม่สนใจหรอก จะแพ้ก็แพ้ไป แต่ตอนนี้เขาไม่เต็มใจ ยิ่งไม่ยินยอมรอจนจบทดสอบพลังฝึกปรือแล้วค่อยไปแก้แค้น
เขาอยากจะระเบิดให้เต็มที่ ไปล้างแค้นให้ตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย
ดังนั้นเมื่อเห็นตัวอย่างจากเกราะขาวก่อนหน้า มันก็ได้กลายเป็นตัวเลือกของสือหลิงจื่อไปโดยปริยาย เมื่อเห็นว่าใกล้ผสานเข้ากันจนสมบูรณ์แล้ว สือหลิงจื่อก็ตะโกนออกมา
“เจ้าแห่งปรารถนาเสียง ข้าก็ยอมละทิ้งการชิงที่หนึ่งแลกกับโอกาสการต่อสู้อันไร้ยางอายนี้เหมือนกัน!”
เมื่อคำพูดลอยออกมา สามสำนักด้านนอกก็เกิดเสียงฮือฮาในทันที ตามด้วยเสียงเฮฮาที่ดังขึ้นมาตามๆ กัน
…………………………