หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1406 ไม่โง
ในขณะที่โลกภายนอกกำลังฮึกเหิม ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังจากเกราะขาวพ่ายแพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อและถูกส่งออกจากสถานที่ทดสอบพลังฝึกปรือกลับไปยังสำนักเหิงฉินแล้ว ในเวลานี้ได้เดินเข้าไปในถ้ำพำนักของปีศาจแดง
ปีศาจแดงกำลังนั่งขัดสมาธิ ใบหน้างามฉายความสงบ สีหน้าเช่นนี้ตรงข้ามกับที่ผู้คนภายนอกคิดโดยสิ้นเชิง แม้ตรงหน้าจะมีภาพเวทีทดสอบพลังฝึกปรือฉายอยู่ ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก จนกระทั่งเกราะขาวเดินมาถึงข้างกาย ปีศาจแดงถึงหันไปมอง
ทางด้านเกราะขาวก็มีสีหน้าเรียบนิ่งเช่นกัน เทียบกับความบ้าคลั่งขณะที่ประลองกับหวังเป่าเล่อก่อนหน้าราวกับเป็นคนละคน เขาในเวลานี้ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ราวกับไม่สนใจเรื่องความพ่ายแพ้เลย
มีเพียงความอ่อนโยนในเบื้องลึกของนัยน์ตายามประสานสายตากับปีศาจแดงเท่านั้นที่เผยออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้าจงใจหรือ? ”ปีศาจแดงเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เดิมทีข้ายังกังวลเกี่ยวกับเจ้า กังวลว่าพวกยิ่นสี่จะไม่ยอมแล้วผลักเจ้าออกไป…เลยวางแผนไว้ว่าข้าจะทำให้เจ้าเป็นคนตกรอบไปเอง” เกราะขาวยิ้มบางๆ นั่งลงข้างๆ ปีศาจแดงและลูบศีรษะเขาเบาๆ
“ดังนั้นข้าจึงรู้สึกขอบคุณผู้มาใหม่นี้เป็นอย่างมาก และในเมื่อเจ้าก็ปลอดภัยแล้ว ข้าก็ไม่สนใจจะเลื่อนระดับ แค่อยากจะ…อยู่กับเจ้า” เกราะขาวพูดอย่างอ่อนโยน
“พอเห็นเจ้าสละสิทธิ์จะสู้กับคนผู้นี้ ก็เข้าใจที่เจ้าจะเลือกแล้ว เพียงแต่…ทางอาจารย์…” ปีศาจแดงยิ้มน้อยๆ ซบไหล่เกราะขาวพลางเอ่ยเบาๆ
“นางไม่ใช่อาจารย์อีกแล้ว เป็นเจ้าแห่งปรารถนาเสียง” เกราะขาวเงียบงัน ครู่ใหญ่ถึงตอบกลับอย่างซับซ้อน เงยหน้ามองภาพเวทีทดสอบพลังฝึกปรือ ดูการคัดเลือกสี่อันดับที่ฉายอยู่ข้างใน
“สือหลิงจื่อ ดูเหมือนวู่วามโง่เขลา แต่รอบนี้…เขาน่าจะเลือกเหมือนเจ้า” ปีศาจแดงเงยหน้ามองการคัดเลือกสี่อันดับที่ฉายอยู่ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
“หลายปีมานี้ ในฐานะผู้เป็นศิษย์เต๋าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจความจริง หากเขาไม่เต็มใจ นอกเสียจากว่าทุกๆ คนล้วนไม่เต็มใจ ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเจ้าแห่งปรารถนา ก็จะไม่บีบบังคับข้า”
ในการสนทนาระหว่างเกราะขาวกับปีศาจแดง ขณะนี้ในการประลองของสี่อันดับ ฟองอากาศของหวังเป่าเล่อกับสือ หลิงจื่อก็ผสานเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์แล้ว พริบตาเดียวระหว่างหวังเป่าเล่อกับสือหลิงจื่อก็ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีก
เขาจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ เส้นเลือดผุดขึ้นในดวงตาทันที แฝงไว้ด้วยความคับข้องใจและโกรธแค้น ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อหวังเป่าเล่อมองสือหลิงจื่อ มักรู้สึกว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูเหมือนจงใจอยู่บ้าง
“น่าสนใจ เกราะขาวก็เป็นแบบนี้ สือหลิงจื่อก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด หากเรื่องราวทั้งหมดนี้แบ่งเป็นสองข้อที่ต่างกัน เช่นนั้นคำตอบก็เหมือนกับการกระทำและเป้าหมายที่สวนทางกัน
อย่างแรก หากศิษย์เต๋าเหล่านี้ไม่รู้ว่าหลังจากได้เป็นที่หนึ่งแล้วไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นจะเกราะขาวก็ดีหรือสือ หลิงจื่อก็ช่าง ชัดเจนว่าความแค้นที่พวกเขามีต่อตนนั้นมากกว่าอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นจึงยอมกระทั่งสละสิทธิ์เพื่อประลองกับตน
แต่เห็นได้ชัดว่า…ความโกรธแค้นระหว่างพวกเขายังไม่ถึงขั้นนั้น ยังห่างจากการต้องสละสิทธิ์เพื่อประมือกันอีกมาก แต่พวกเขากลับจะทำแบบนี้เสียให้ได้
เช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้แค่อีกข้อเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือ…ศิษย์เต๋าเหล่านี้รู้ว่าเมื่อขึ้นเป็นที่หนึ่งแล้วจะเกิดอะไรขึ้น และพวกเขาก็ไม่เต็มใจ และแม้จะมีใจตรงกันแต่ก็ยังระแวดระวัง กลัวว่าตนเองจะถูกดันให้เป็นที่หนึ่ง
ดังนั้น การปรากฏตัวของเขาจึงเป็นข้ออ้างให้แก่เกราะขาว ให้เขาใช้ความโกรธและการแก้แค้นมาสละสิทธิ์อย่างฉลาดหลักแหลม ส่วนสือหลิงจื่อ…เป็นไปได้สูงมากว่าคิดแบบนี้เช่นกัน
“และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือการจับคู่ต่อสู้ให้เขา ดูเหมือนว่าจะมีเจตนาบางอย่างของเจ้าปรารถนาเสียงอยู่ในนั้น… ”
“เจ้าปรารถนาเสียงที่น่าสงสาร ศิษย์ที่น่าสงสาร” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจเบาๆ ทว่าความสงสารเล็กๆ นี้ไม่สามารถทำให้เขาล้มเลิกแผนการของตนลงได้ จุดยืนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทำให้มีวิธีการต่างกันออกไป
ตอนนี้เมื่อระงับความคิดต่างๆ ลงแล้ว หวังเป่าเล่อก็เงยหน้ามองไปยังสือหลิงจื่อที่โกรธจนผมตั้ง และเห็นได้ชัดว่าหลังจากเขาผ่านการตกตะกอนเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น มองไปที่หวังเป่าเล่อก่อนแผดเสียงลั่นพร้อมพุ่งเข้าไป
“เป็นเจ้า ข้าตามหาเจ้ามานานแล้ว!”
ความเร็วของสือหลิงจื่อไม่ได้เร็วมากนัก ดูเหมือนโกรธถึงที่สุด ถึงขั้นผนึกมุทราทั้งสองมือ รอบกายเต็มไปด้วยอักขระเสียงจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นบทเพลง และก่อตัวขึ้นเป็นภาพอาวุธที่แต่ละอันดูร้ายกาจเป็นอย่างมาก
แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้สึกไปเองหรือไม่ ในสายตาสือหลิงจื่อเวลานี้ เหมือนกับเขาจะเห็นอีกประโยคหนึ่ง
“รีบลงมือเร็วเข้า รีบลงมือกับข้า เร็วเข้าๆๆ…”
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอกใช้ ด้วยเหตุนี้จึงเลิกคิ้วขึ้น เตรียมลองหยั่งเชิงว่าเป็นเหมือนที่ตนวิเคราะห์ไว้หรือไม่ ดังนั้นจึงเปลี่ยนท่าทีของตนเองเสีย วางท่าทางเหมือนลังเลไม่กล้าลงมือ ถอยหลังไปด้วยความรวดเร็ว ก่อนเอ่ยตามออกมาว่า
“ศิษย์เต๋าไม่จำเป็นต้องสละสิทธิ์ ขอเจ้าปรารถนาเสียงโปรดเป็นพยาน ข้าเลือกยอม…”
ทันทีที่คำพูดของหวังเป่าเล่อลอยออกมา ยังพูดไม่ทันจบ ดวงตาสือหลิงจื่อตรงหน้าก็เบิกกว้างขึ้นในทันทีคล้ายร้อนรนแล้ว กลัวว่าหวังเป่าเล่อจะพูดจบ ดังนั้นตนจึงส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาเสียก่อน ราวกับชนเข้ากับสิ่งขวางกั้นที่มองไม่เห็น กระอักเลือดคำโต อักขระเสียงรอบๆ กายพลันพังครืนทั้งหมด บทเพลงที่ก่อตัวเป็นอาวุธเหล่านั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ตามไปด้วยเช่นกัน
สำหรับตัวสือหลิงจื่อ เวลานี้หมุนตลบร่วงไกลออกไป
ฉากนี้ทำให้ผู้ฝึกตนสามสำนักด้านนอกเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่มันอักขระเสียงอะไรวะเนี่ย!”
“เจ้านั่นร้ายกาจขนาดนี้เชียว!!”
“พวกเขายังไม่ทันโดนตัวเลย แล้วนี่มันเพิ่งจะเริ่มเองนะ”
เสียงฮือฮาด้านนอกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้รับรู้ ชั่วเวลานั้นเขารู้สึกหมดคำพูดเป็นอย่างมาก แค่ลองหยั่งเชิงนิดเดียวก็ยืนยันสิ่งที่วิเคราะห์ไปก่อนหน้าได้แล้ว ตอนนี้มองสือหลิงจื่อที่กำลังเล่นใหญ่ก็ยิ่งรู้สึกรำคาญ ยิ่งเมื่อเห็นสือหลิงจื่อที่เวลานี้กำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้น อ้าปากคล้ายกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง…
ไม่ต้องรอเขาเปิดปาก หวังเป่าเล่อก็เดาได้ว่าต้องเป็นจำพวกคำพูดยอมแพ้แน่นอน ดังนั้นจึงแค่นเสียงไปอีกที เคลื่อนอักขระเสียงที่ซ้อนกันอยู่ภายในร่างก่อนแสดงออกมาบางส่วน
พริบตาต่อมา ตามด้วยเสียงพ่นลม ขณะที่สือหลิงจื่อสีหน้าซับซ้อน ก็เกิดคลื่นปะทุขึ้นรอบกายหวังเป่าเล่อ ร่องรอยพลังงานของอักขระเสียงขุมนี้ปรากฏขึ้นตรงหน้าสือหลิงจื่อ และระเบิดบึ้มทันที
สือหลิงจืออ้าปากค้างหุบไม่ทัน ขณะที่ร่างกายหมุนตลบและกระอักเลือดอย่างรุนแรงจากพลังงานที่ระเบิดออกมา เขาก็เริ่มฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด คล้ายอารมณ์ขึ้น ใกล้ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว
แต่ในใจหวังเป่าเล่อกลับเอือมระอาอย่างมาก จึงกะพริบตาก่อนตะโกนขึ้น
“รอบนี้ ข้ายอม…”
เขาพูดยังไม่ทันจบ ทางด้านสือหลิงจื่อก็สั่นเทิ้ม ระงับอารมณ์ในใจและรีบตะโกนขึ้นอย่างรีบร้อน
“ข้าขอยอมแพ้!!”
ศิษย์เต๋าสามสำนักด้านนอก ต่อให้หัวสมองไม่หลักแหลมเท่าไร เวลานี้ก็พอจะมองเงื่อนงำออกบ้างเช่นเดียวกัน สีหน้าแต่ละคนเริ่มแปลกประหลาด