หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1412 เมืองปรารถนาทัศน์ (องก์ 3
ต่อไปหากในเมืองปรารถนาเสียงเกิดเรื่องใด หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจ เวลานี้เขายืมพลังกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงมาใช้ ความเร็วถึงขั้นสูงสุดจนน่าตระหนก ทางทฤษฎีกล่าวได้ว่า ตอนที่เปลี่ยนเป็นใช้ร่างกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนั้น ที่ใดมีเสียง เขาก็สามารถโยกย้ายได้ทั้งหมด
ในเรื่องนี้ แม้แต่เจ้าปรารถนาเสียงก็ไม่อาจทำได้ เจ้าปรารถนาเสียงต้องคำสาป จึงรับภาระหุ่นเชิดของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นเช่นนั้น กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเป็นเพียงเครื่องมือของเขาเท่านั้น
แม้ทฤษฎีจะเป็นเช่นนี้ แต่ในทางปฏิบัติ หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจรั้งอยู่ในสภาพนี้ต่อไปได้นานนัก เวลานี้ขณะหลบหนีเขาจึงทำเช่นนี้ได้ เขาหลบหลีกออกจากเมืองปรารถนาเสียงได้ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ และเดินอยู่ในพงไพรแห่งปฐพีของโลกาชั้นที่สอง
ท้องฟ้าสว่างไสวแล้ว หวังเป่าเล่อหันกลับมองไปจากที่ไกลๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย การเดินทางไปเมืองปรารถนาเสียงของเขาในครั้งนี้ กล่าวได้ว่ามีผลน่าทึ่ง
“แต่ก็ยังถูกพวกเจ้าแห่งสุขหลอกเอาได้” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว คำรามเสียงเย็น
เรื่องหลอกลวงนี้ หลังจากที่ได้ดูดรับกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของร่างอวตารเจ้าปรารถนาเสียงแล้ว หวังเป่าเล่อจึงได้เข้าใจ
หากลองพิจารณาดูแล้ว ไม่แปลกหากแหล่งกำเนิดจะตามหาผู้ฝึกตนที่ซึมซับกฎเกณฑ์ของตนเจอ ดังนั้นกล่าวได้ว่าเจ้าแห่งสุขพบเขาได้ในตอนแรก ก็เป็นเพราะกฎเกณฑ์แห่งสุขที่อยู่ภายในร่างเขา
ในทำนองเดียวกัน กฎที่มอบให้สามเจ้าสำนักจากอารมณ์ แม้พวกเขาจะลบดวงจิตไปทั้งหมดแล้ว แต่หลังจากหวังเป่าเล่อดูดซับแล้ว ก็จะถูกพวกเขาสัมผัสเชื่อมต่อได้เช่นกัน
นี่ไม่ใช่การจัดการควบคุม แต่เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวในการดึงดูดตัวตนของกฎเวท
ดังนั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลในครั้งนี้ แต่ก็หลงเหลือเงื่อนงำไว้มากมาย ทำให้ในระดับหนึ่ง เขาไม่อาจซ่อนเร้นร่างได้เหมือนที่เป็นมา
อาจเป็นเพราะแต่ก่อนเขามีเพียงกฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์แห่งสุข กฎเกณฑ์แรกไม่ได้ทำร้ายเขา และกฎเกณฑ์หลังก็ถูกแยกออกผนึก แต่ตอนนี้…สี่เจ้าจากเจ็ดอารมณ์และเจ้าปรารถนาเสียง ล้วนสามารถควบคุมตำแหน่งของตนเองได้
“เช่นนั้นต่อไป…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในหัวกำลังจะวางแผนการก้าวต่อไปของตน แต่ฉับพลันนั้นเอง ใบหน้าก็เปลี่ยนสี รีบหันมองไปทางด้านหลัง
เวลานี้ที่ด้านหลังของเขา ขณะที่ความว่างเปล่าพลันบิดเบี้ยว ปรากฏประกายแสงสีแดงวาบขึ้นอย่างฉับพลัน แล้วยังมีเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่ว
“เจ้าแห่งสุข!” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อส่องประกายเย็นวาบ มองไปทางที่ที่ปรากฏแสงสีแดงนั้น เขาเห็นเพียงแสงสีแดงรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็กลายเป็นเงาร่างที่เลือนรางสายหนึ่ง
หลังจากสังเกตได้ว่านี่เป็นเพียงร่องรอยพลังงาน ท่าทีของหวังเป่าเล่อก็คลายลง แต่สายตายังคงเย็นเหยียบ
“อย่ากังวลไป ข้ารู้ว่าเจ้าไม่แปลกใจที่ข้าหาเจ้าพบ เจ้าตระหนักถึงกฎแห่งสุข ตอนนี้เป็นกึ่งเจ้าปรารถนาเสียง เจ้าน่าจะรับรู้ได้ถึงผู้ที่ปฏิบัติกฎเกณฑ์ระดับข้า สามารถรับรู้ตำแหน่งของแหล่งกำเนิดพวกเราได้”
หวังเป่าเล่อมีสีหน้ายากบรรยาย แต่ก็ไม่กล่าวว่าอีกฝ่ายต่อต้านตนในเรื่องนี้ อย่างมากก็เพียงไม่ได้บอกกล่าวเท่านั้น แต่ก็เป็นปัญหาสำหรับเขาไม่น้อย
“ท่านมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะต้องการแสดงให้ข้าเห็นว่าท่านสามารถรู้ตำแหน่งของข้าหรอกหรือ” ดวงตาหวังเป่าเล่อส่งประกายอันตราย เขาก็ไม่ใช่ไม่มีไพ่ตาย หากเป็นเรื่องใหญ่ ค่อยไปหาร่างต้น
เมื่อคิดถึงพลังสามารถของร่างเดิม ก็ยังสามารถคลี่คลายปัญหานี้ได้ไม่มากก็น้อย เพียงแต่หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่ต้องการไปที่ร่างต้น
โดยเฉพาะในตอนนี้ภายในร่างของตนสะสมกฏเวทไว้มากมายเช่นนี้ หากร่างต้นเห็นเข้า ตามที่เขาเข้าใจต่อร่างต้นนั้น มีความเป็นเป็นได้อย่างยิ่งว่าร่างต้นจะมีความคิดที่อยากจะหลอมรวมไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” ร่างแยกของเจ้าแห่งสุขหัวเราะพลางกล่าว
“ในฐานะพันธมิตร ข้ากำลังไตร่ตรองให้เจ้าอย่างจริงจัง หากต้องการปิดกั้นตำแหน่งของตน อันที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…”
“ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่เมืองแห่งปรารถนาทัศน์”
“ขอเพียงเจ้าเชี่ยวชาญในกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงร่างตน ก็ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะไม่ให้ถูกจับตำแหน่งได้” พูดจบ เจ้าแห่งสุขก็ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้กล่าวต่อไปอีก แล้วร่างกายก็สลายไปอย่างช้าๆ
เพียงแต่ก่อนที่จะสลายไปทั้งหมด นางพลันเหลือบมองไปที่หวังเป่าเล่อที่กำลังครุ่นคิด กล่าวประโยคที่กินความหมายลึกซึ้ง
“หากต้องการตกปลาใหญ่ ก็ต้องมีเหยื่ออันโอชะอย่างพอเพียง…”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ประสานสายตามองเจ้าแห่งสุขที่ค่อยๆ สลายไปอย่างเย็นชา หลังจากที่รอบด้านคืนสู่สภาพปกติ ดวงตาของเขาก็เผยประกายลึกลับ
“เมืองปรารถนาทัศน์หรอกรึ…”
“ช่างน่าสนใจ…” หวังเป่าเล่อท่าทางกำลังครุ่นคิด เขานึกถึงเจ้าปรารถนาเสียงที่หลังจากล่วงรู้ตัวตนแท้จริงของเขาแล้ว เหตุใดจึงไม่ได้รีบประกาศออกไปในทันที แต่กลับสานต่อเวทแห่งรัตติกาลให้กลางคืนของโลกแห่งเสียงยาวนานออกไป เพื่อดึงดูดความสนใจของอาณาจักรบนให้เห็นถึงความผิดปกตินี้
คำตอบนั้นง่ายดายมาก ไม่ใช่ว่านางไม่ส่งสาส์นไปบอกกล่าว แต่เป็นไปได้ว่าถูกใครบางคนขัดขวางการส่งสาส์นนั้น
หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจในวิธีการขัดขวางนี้ แต่ก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องใจกว้างมากเป็นแน่ อาจเป็นสามอารมณ์อื่นจากเจ็ดอารมณ์ทั้งหมด หรืออาจจะเป็นเทพวัตถุประหลาดบางอย่าง ในเวลาเดียวกันยังมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่รู้จักบางคนช่วยเป็นธุระให้
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อรวมกับการมาของเจ้าแห่งสุข พร้อมกับกล่าวคำพูดเหล่านั้น เขาก็เกิดความคิดบางอย่าง
หลังจากไตร่ตรองแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยิ้มพึมพำออกมาเบาๆ
“ข้าแพ้ไม่ได้ พวกเจ้ายิ่งแพ้ไม่ได้ แต่เรื่องนี้มีบางจุดที่น่าสนใจ คือพวกเจ้าไม่รู้ว่าข้าก็แพ้ไม่ได้…”
“เช่นนั้น ก็น่าสนุกแล้ว” ในดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววประหลาด และหลังจากครุ่นคิดอีกครั้ง ชั่วแวบเดียวก็ตรงไปที่เมืองปรารถนาทัศน์
เดิมทีด้วยความเร็วของหวังเป่าเล่อ อย่างมากสามวันเขาก็สามารถมาถึงเมืองปรารถนาทัศน์ได้แล้ว แต่เขากลับใช้เวลาไปถึงเจ็ดวัน สี่วันที่เกินมานั้น เป็นเวลาที่ใช้ในการเตรียมตัวเดินทางครั้งนี้
นี่ก็เป็นวิธีทางเลือกของเขาเช่นกัน หากปรากฏความผิดพลาดในการตัดสินใจที่ตนไม่อาจแก้ไขด้วยตนเอง เขาก็ต้องเตรียมตัวให้แน่ใจว่าจะมีโอกาสย้อนทั้งหมดกลับได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นเจ็ดวัน เงาร่างหวังเป่าเล่อก็ปรากฏอยู่ที่นอกเมืองปรารถนาทัศน์ มองไปไกลๆ เมืองนี้ทำให้เขามีความรู้สึกถึงสัดส่วนอันน่าทึ่ง
ทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างหรือวัสดุ ล้วนให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบ แม้แต่คนที่เดินในนั้น แต่ละคน…เมื่อมองแล้วก็ราวกับจะรวบรวมความที่สวยงามไว้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ รูปร่าง หรือจะเป็นคุณลักษณะ มองจากไกลๆ ที่นี่ราวกับเป็นโลกในเทพนิยาย…
“คำว่าทัศน์ เกี่ยวกับดวงตา…” หวังเป่าเล่อทำท่าครุ่นคิด แล้วก้าวเดินเข้าสู่เมืองปรารถนาทัศน์ และขณะที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่เมืองนี้ ก็มีความผันผวนเล็กน้อยสะท้อนอยู่ที่บริเวณใจกลางของเมืองปรารถนาทัศน์
สถานที่ที่ความผันผวนก่อขึ้นนั้น เป็นวังใต้ดินตระหง่านแห่งหนึ่ง
ในวังใต้ดินแห่งนี้ มีสระโลหิต ภายในนั้นมีร่างแข็งแกร่งสวมเสื้อเกราะนั่งขัดสมาธิอยู่ เวลานี้ ร่างที่แข็งแกร่งกำลังเงยหน้าขึ้น ลืมตาทั้งคู่ เผยให้เห็นม่านตาสีแดงที่อยู่ข้างใน
“มาแล้ว ในที่สุดก็มาแล้ว…”
“ข้ารอวันนี้มานานแสนนาน…”
“ลางสังหรณ์ของข้าไม่มีทางพลาด หลังจากกลืนกินเขาแล้ว…คำสาปของข้าต้องสลายไปแน่!” นัยน์ตาของร่างแข็งแกร่งนี้ เผยความโลภอย่างแรงกล้า ค่อยๆ หยัดกายขึ้นจากสระโลหิต
แสงสีแดงวาบผ่าน ก่อเกิดประกายไปทั่วร่าง ราวกับไม่มีการบดบังของสระโลหิตอยู่ ลำแสงสีแดงนี้ยิ่งโชติช่วง ก่อเกิดเกิดความผันผวนแปลกประหลาด
……………………………