หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1420 ข้าเป็นใคร
หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้คำตอบ
สิ่งที่เขาเห็นในวังใต้ดินคือร่างแยกสองร่างแน่นอน ร่างหนึ่งถูกเขาฆ่าเองกับมือ อีกฝ่ายอัดแน่นไปด้วยปราณโลหิตหนึ่งส่วน
แต่อีกร่างนั้นแบ่งออกเป็นอีกหลายร่างแทงเข้าไปในหมอกจึงถูกเขาดูดกลืนทีละร่าง หากคำนวณอย่างละเอียดแล้วมันไม่ใช่ 100 ร่าง แต่เป็น 99 ร่าง
เห็นได้ชัดว่าร่างแยกร่างที่สองนี้มีความเจ้าเล่ห์ เขาส่งร่างแยกมา 99 ร่าง หากสำเร็จเขาก็จะถือว่ามีส่วนช่วยครั้งใหญ่ แต่หากไม่สำเร็จก็มีความเป็นไปได้ว่าจะหวนกลับมาเพราะยังซ่อนไว้อีกหนึ่ง
แม้กลยุทธ์จั๊กจั่นลอกคราบเช่นนี้จะชาญฉลาด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าร่างแยกที่ยังเหลืออยู่นั้นโชคไม่ดีถูกเจ้าแห่งโกรธจับตัวไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ และผนึกมันเข้าไปในร่างด้วยเหตุผลบางอย่างเพื่อซ่อนร่องรอยการมีอยู่ของมัน
หากไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อที่ดูดซับเลือดมหาเทพมีสัมผัสเชื่อมต่อคงยากจะพบเบาะแสเรื่องนี้
“นี่ไม่ใช่ร่างแยกที่สมบูรณ์ ข้าแค่อยากเอามันไปศึกษาและมันก็ไม่ได้มีประโยชน์กับเจ้ามากนัก หากข้าเดาไม่ผิด เจ้ายังมีร่างแยกที่สมบูรณ์อีกสองร่างที่ยังหาไม่เจอนี่…” เจ้าแห่งโกรธอธิบายเสียงอู้อี้ เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อสีหน้าเปลี่ยนไป
หากหวังเป่าเล่อไม่ได้ครอบครองพลังแข็งแกร่งอย่างตอนนี้ เขาย่อมไม่อธิบายหรอก แต่ตอนนี้…ต่างออกไปแล้ว
“ขาดอีกแค่หนึ่ง” หวังเป่าเล่อเอ่ยเบาๆ ขณะที่พวกเจ้าแห่งสุขพากันทำหน้าประหลาดใจ หวังเป่าเล่อก็หันศีรษะมองเหล่าคนที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นทุกอย่างแต่กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นศิษย์ทั้งเจ็ดคน
ตอนนี้ศิษย์ทั้งเจ็ดกายสั่นเทิ้ม ต่อให้โง่แค่ไหนพวกเขาก็เดาความจริงของเรื่องราวทั้งหมดได้ อาจารย์ของพวกเขาถูกช่วงชิงร่างไปแล้ว เหลือเพียงร่างแยกสองร่างที่หลบหนีอยู่ข้างนอก
แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ…ผู้ที่ช่วงชิงร่างอาจารย์ไปผู้นี้ได้กลายเป็นต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์อย่างแน่นอนแล้ว ในระดับหนึ่ง…เขาก็ได้กลายเป็นเจ้าปรารถนาทัศน์คนใหม่
ดังนั้นแม้พวกเขาจะสับสน แต่ก็ไม่กล้าอิดออดจึงทำได้เพียงก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
“เห็นแก่มิตรภาพแต่เก่าก่อนที่ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าจะไว้หน้าเจ้า ออกมาด้วยตัวเองเถอะ” หวังเป่าเล่อมองศิษย์ทั้งเจ็ดคนก่อนจะเอ่ยช้าๆ
ศิษย์ทั้งเจ็ดยิ่งตัวสั่นและมองหน้ากันอย่างงุนงง แต่หลังจากรอคอยอีกไม่กี่อึดใจ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะยกมือขวากระชากศิษย์หญิงที่หน้าตาหมดจดผู้นั้นออกมาจากกลุ่มอย่างแรง
“อาจารย์ ข้า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ มือใหญ่ของหวังเป่าเล่อก็บีบจนเกิดเสียงดังปัง ศิษย์หญิงสั่นไปทั้งกาย ปราณโลหิตไหลออกจากรูทวารทั้งเจ็ดกลายเป็น…ร่างเดิมของเจ้าปรารถนาทัศน์คนก่อน
เขาจ้องหวังเป่าเล่ออย่างโกรธจัด รู้ว่าตนคงหนีไม่พ้นแล้ว แววตานั้นสิ้นหวัง แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหวังเป่าเล่อ จากท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมา หวังเป่าเล่อก็มองออกว่าร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ไม่ได้แบ่งปันความทรงจำของกันและกัน
ส่วนศิษย์หญิงผู้นั้น หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนฆ่าไม่เลือก เขาสะบัดมือกลับ เพียงอึดใจเดียวร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ผู้สิ้นหวังก็กลายเป็นปราณโลหิตไหลเข้าสู่ร่างกายของหวังเป่าเล่อ
ถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ครอบครองร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ไปแล้วเก้าส่วน อีกหนึ่งส่วนที่เหลือไม่สำคัญแล้ว โดยเฉพาะหลังจากดูดซับแก่นเลือดของมหาเทพเข้าไป ไม่ว่าจะหาร่างแยกสุดท้ายเจอหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เขาแค่สงสัยว่าร่างแยกสุดท้ายหนีออกจากเมืองปรารถนาทัศน์ไปได้อย่างไร เพราะสัมผัสเชื่อมต่อไม่ถึง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอยู่ไกลจากเมืองปรารถนาทัศน์มากแล้ว
แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอก ต่อให้ถูกคนอื่นเอาไปก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้ เพราะ…เขาไม่เหมือนกับอดีตเจ้าปรารถนาทัศน์ เจ้าปรารถนาทัศน์คนก่อนได้ครอบครองเพียงร่างกายเท่านั้น
แต่หวังเป่าเล่อกลับหลอมรวมมันเข้าไปในร่างของตนกลายเป็นปราณโลหิต รวมกันอย่างสมบูรณ์แล้ว
เรียกได้ว่าหลังจากดูดซับเลือดหยดนั้นภายในวังใต้ดิน หวังเป่าเล่อ…ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างกายเนื้อและร่างต้นแบบก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรงเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
ในแง่หนึ่ง เขาในตอนนี้นับว่ามีอิสระอย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ยังครอบครองกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ที่เกือบสมบูรณ์กับกฎเกณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย เวลานี้เขาคือเจ้าปรารถนาอย่างสมเกียรติและยังแข็งแกร่งกว่าเจ้าปรารถนาคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ
ในความเงียบหวังเป่าเล่อไม่สนใจทุกคนรอบกาย แต่มองไปยังเจ้าแห่งสุข ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“เราควรคุยกัน”
“ได้” เจ้าแห่งสุขสูดหายใจเข้าลึกๆ นางพยักหน้าเล็กน้อย ครู่ต่อมาร่างของทั้งคู่ก็หายวับ เมื่อปรากฏตัว…ก็มาอยู่ที่สระโลหิตของเจ้าปรารถนาทัศน์
หวังเป่าเล่อสะบัดมือ สภาพแวดล้อมของที่นี่ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นศาลา ข้างในมีที่ตั้งกาน้ำชาสามขา หวังเป่าเล่อนั่งด้านข้างพิงกับเสา ในมือปรากฏสุราข้าวหนึ่งขวด เขากระดกมันเข้าปากอึกใหญ่ แล้วมองเจ้าแห่งสุขที่นั่งอยู่ตรงข้าม
จากมุมนี้ใบหน้าเจ้าแห่งสุขงดงามเหนือคำบรรยาย ความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ยิ่งเด่นชัด โดยเฉพาะท่านั่งของนางนั้นสง่างามมาก ยิ่งแสดงให้เห็นความงามของส่วนเว้าส่วนโค้งของสตรี
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาหวังเป่าเล่อ เจ้าแห่งสุขจึงหันมามอง
หลังจากสบตากัน เขาก็เอ่ยขึ้นทันที
“ก่อนจะกลายเป็นเจ้าแห่งสุข เจ้าเป็นใคร”
“หนึ่งใน 108 ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ใต้คำสั่งของมหาเทพ หลิงเยว่” แววตาของเจ้าแห่งสุขเผยให้เห็นความทรงจำแล้วเอ่ยเบาๆ
“เจ้ารู้ตัวตนข้า?” หวังเป่าเล่อถามอีกครั้งหลังจากเงียบไป
“รู้และไม่รู้ แต่ที่ข้ามั่นใจคือเจ้าเป็นคนนอก เป็นคนที่อาณาจักรด้านบนกำลังตามหาตัว ดังนั้นข้าจึงอยากร่วมมือกับเจ้า เพราะข้า…อยากหลุดพ้น” เจ้าแห่งสุขตอบอย่างตรงไปตรงมา
“หลุดพ้นอย่างไร”
“กำราบอาณาจักรเบื้องบนให้สิ้นซาก ทำลายวิญญาณจักรพรรดิ สยบผู้พิทักษ์ ทำลายมหาเทพ!”
“ยาก!” หวังเป่าเล่อดื่มสุราข้าวแล้วส่ายหน้า
“เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดเจ็ดอารมณ์ถึงสมบูรณ์ แต่หกปรารถนากลับยังขาดปรารถนาอารมณ์อยู่” เจ้าแห่งสุขมองหวังเป่าเล่อแล้วเอ่ยทีละคำ
“เพราะสิ่งแรกที่ปรากฏบนโลกใบนี้ก็คือปรารถนาอารมณ์ซึ่งสุดท้ายมันถูกแบ่งเป็นเจ็ดส่วน แต่ละส่วนกลายเป็นอารมณ์ นั่นก็คือ…เจ็ดอารมณ์”
“ในทางกลับกันหากใครสามารถฝึกฝนกฎทั้งเจ็ดอารมณ์ได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถสร้างกฎเกณฑ์ปรารถนาอารมณ์ได้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครทำได้เพราะทุกชีวิตในโลกใบนี้ล้วนต้องคำสาป แต่เจ้าไม่!”
“และทันทีที่ปรารถนาอารมณ์ปรากฏขึ้น ประตูสู่อาณาจักรด้านบนก็จะถูกเขย่าและเปิดออก!”
“เมื่อประตูเปิดพวกข้าจะพุ่งเข้าสังหาร จะอยู่ก็ดี จะตายก็ช่าง สุดท้ายมันก็คือการหลุดพ้น”
หวังเป่าเล่อหรี่ตาและเงียบไปเนิ่นนาน
เจ้าแห่งสุขไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นางกำลังรอให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิด
จากนั้นไม่นาน จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา เขามองเจ้าแห่งสุขอย่างสับสน เจ้าแห่งสุขก็มองเขาอย่างสับสน
บางครั้งเห็นได้ชัดว่าตัวเองรู้ อีกฝ่ายก็รู้ แต่บางอย่างก็ไม่อาจพูดออกมาได้
อย่างเช่นเขารู้ว่าอีกฝ่ายคาดเดาความจริงที่เขาไม่เต็มใจจะยอมรับได้แล้ว
อย่างเช่นนางรู้ว่าคนตรงหน้า แม้จะเป็นเพียงร่างแยก แต่กลับเป็นร่างแยก…ที่อยากเป็นอิสระ อีกทั้งยังเป็นอิสระแล้วด้วย แต่ก็ยังคงปรารถนาที่จะเป็นอิสระตลอดไป
“บนหัวเจ้าไม่ใช่ภูเขาลูกใหญ่ เหตุใด…ถึงไม่เดิมพันดูล่ะ” เจ้าแห่งสุขเอ่ยเสียงแผ่ว
“ร่างแยกอิสระของมหาเทพ ร่างแยกอิสระของร่างแยกอิสระ…” หวังเป่าเล่อยิ้มในใจ แต่ดวงตากลับมึนงง
“ข้าเป็นใครกันแน่…”
………