หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1428 แสงแรกแห่งชีวิต
เมื่อภาพมาถึงตรงนี้ มันก็ค่อยๆ หยุดนิ่ง ก่อนจะกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยและหายไปต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ
เมื่อภาพหายไป สิ่งที่ดึงดูดสายตาหวังเป่าเล่อก็คือภาพเดิมที่คุ้นเคย
ยังคงเป็นโลกาชั้นที่หนึ่ง ยังคงเป็นซากปรักหักพังและรูปปั้นค้ำจุนฟ้าดินอยู่ไกลๆ มันแทบจะไม่ต่างจากสองครั้งแรกที่เขาเคยเห็นเลย
ยกเว้นร่องรอยแห่งกาลเวลาที่ไม่เหมือนกัน…
โลกชั้นแรกที่ปรากฏตรงหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าให้ความรู้สึกไม่สมจริงราวกับ… เขาไม่เคยก้าวเข้าไปในรูปปั้นมาก่อน ทุกอย่างดูเหมือนเป็นวัฏจักร
แต่…ภาพที่เห็นก่อนหน้านี้กลับสมจริงมาก จนหวังเป่าเล่อยืนนิ่งเงียบไปนาน
“ความทรงจำของมหาเทพ…”
“ในเมื่อปรารถนาเสียงปรากฏขึ้นแล้ว เช่นนั้นปรารถนาอื่นๆ ก็จะตามมา…และทุกครั้งที่เดินเข้าไปก็จะปรากฏภาพความทรงจำ”
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น ส่วนลึกในดวงตามีแสงสลัววาบผ่าน เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าและวางลง กลิ่นไอจางๆ ก็ดูเหมือนจะลอยมาจากความว่างเปล่าแทรกซึมเข้าไปในจมูกหวังเป่าเล่อ
“ปรารถนากลิ่น?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา แม้จะได้ครอบครองกฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นและกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นกำเนิดแล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ชะล่าใจ เพราะขนาดปรารถนาเสียงเมื่อครู่ เขาก็มีกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแต่ก็ยังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาวิกฤต
หวังเป่าเล่อจึงก้าวต่ออย่างระมัดระวัง
ในชั่วพริบตากลิ่นหอมจางๆ นั่นก็เข้นข้นขึ้นทันที และดูเหมือนว่าจะผสมปนเปไปกับกลิ่นอื่นๆ ด้วย เมื่อกระทบใบหน้า ความรู้สึกมึนเมาก็แผ่ไปทั่วร่างอย่างไม่อาจควบคุมได้
หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบเฉย แต่กฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นในร่างกายเริ่มไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า… เมื่อเขาวางเท้าลง กลิ่นก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในก้าวที่ห้า ดูเหมือนกลิ่นหอมและความงามจะพุ่งถึงจุดสูงสุดและกลับกลายเป็นกลิ่นเหม็นและความชั่วร้ายในพริบตา แต่ก็ยังมีความหวานเยิ้มอยู่ในนั้น
กลับกัน ความหอมหวานนี้เป็นดังการกระตุ้น เพียงแค่ได้กลิ่นผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะอยากอาเจียนราวกับต้องการเอาอวัยวะภายในออกมา
แม้แต่กฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นก็ดูเหมือนจะสยบความรู้สึกเช่นนี้ได้ยากอย่างยิ่ง
สีหน้าหวังเป่าเล่อมืดมน ยามที่เดินต่อเป็นก้าวที่หก ลำคอของเขาพลันเดือดพล่าน เลือดเนื้อทุกตารางในร่างกายคล้ายกับมีสตินึกคิดเป็นอิสระ ถูกกลิ่นนี้ล่อลวงและต้องการจะแยกออกมา
โชคดีที่จิตใจหวังเป่าเล่อหนักแน่น ระดับการฝึกตนไม่ธรรมดา เขาพยายามสยบมันจนถึงระดับสมดุลอย่างยากลำบาก และในตอนนั้นเองเขาก็ได้กลิ่นพิเศษบางอย่างจากในกลิ่นนับไม่ถ้วนนี้
ดูเหมือนจะเป็นไอกลิ่นหอมของร่างกายราวกับว่าใครบางคนกำลังเร้นกายล่องหนอยู่ตรงหน้าเขา ร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมบนร่างกายของคนผู้นั้นอบอวลอยู่ข้างกายตน
หากมีเพียงแค่นี้หวังเป่าเล่อก็คงก้าวต่อไปได้ ทว่าในพริบตาที่เขากำลังจะวางก้าวที่เจ็ดลง จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะ
“เสียง?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาทันที นี่ไม่ค่อยสอดคล้องกับสิ่งที่เขาสันนิษฐานไว้ นี่ไม่ใช่ปรารถนากลิ่นที่บริสุทธิ์ แต่ผสมผสานกับปรารถนาเสียงก่อนหน้านี้ด้วย
เสียงหัวเราะนั้นกับเสียงพึมพำของหญิงสาวที่หวังเป่าเล่อได้ยินตอนสุดท้ายในโลกแห่งเสียง…เป็นคนเดียวกัน!
“เช่นนั้นกลิ่นนี้ก็มาจากนางงั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะฝืนวางก้าวที่เจ็ดลงไป ฉับพลันเสียงหัวเราะก็ยิ่งชัดเจนขึ้น กลิ่นก็ยิ่งรุนแรงแทรกซึมไปรอบๆ ตัวเขากลายเป็นพลังจมดิ่งราวกับจะดึงเขาเข้าไปสู่ขุมนรก
แม้กระทั่งในประสาทรับรู้ หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนกำลังจมดิ่งลงเรื่อยๆ พลังชีวิตของเขาดูเหมือนจะหรี่แสงลง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเสียงหัวเราะกับกลิ่นตัวนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อมาก แต่ขณะเดียวกันเขาก็จำไม่ได้ว่าความคุ้นเคยนี้มาจากไหน
แต่นั่นไม่สำคัญ ขณะหวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ดวงตาพลันฉายแววเคร่งขรึม ก่อนจะยกมือขวาลูบที่หว่างคิ้วตนเบาๆ เล็บมือจิกผิวหนังขาดจนเกิดความเจ็บปวดรุนแรง
ความเจ็บปวดนี้เพิ่มเป็นเท่าทวีคูณหลังจากได้พลังเสริมจากกฎเกณฑ์ปรารถนาสัมผัสราวกับกระแสน้ำในความว่างเปล่าได้ชะล้างกฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นบนร่างกายหวังเป่าเล่อออกไป
เมื่อทั้งร่างเบาขึ้น หวังเป่าเล่อก็ยกเท้าก้าวเข้าไปในรูปปั้นตรงหน้า พริบตาต่อมากฎเกณฑ์ปรารถนาก็หายวับ ภาพความทรงจำที่เคยเห็นพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
จิตใจเขาปั่นป่วน รีบดูมันโดยไม่กะพริบตา
ภาพแรกคือภาพมหาจักรวาลเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นคือจุดเริ่มต้นแห่งเอกภพ ปราศจากดวงดาว ปราศจากชีวิต มีเพียงความว่างเปล่า
จนกระทั่งสารัตถะแรกได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ หรือก็คือหลังจากสารัตถะเต๋าธาตุไม้ถือกำเนิด…เพราะมันนั่นเอง ทำให้มหาจักรวาลเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเป็นทอดๆ
อย่างเชื่องช้า ค่อยๆ ปรากฏดวงดาว ปรากฏสสาร ปรากฏรากฐานสารัตถะอื่นๆ
ในที่สุดเมื่อดาวดวงแรกก่อตัวขึ้นในมหาจักรวาล มหาจักรวาลผืนนี้…ก็ถือกำเนิดสิ่งมีชีวิตแรก!
สิ่งมีชีวิตแรกนี้ก็คือเศษวิญญาณสายหนึ่ง
กล่าวให้ชัดเจนคือเขาอาจไม่ได้ถือกำเนิดในมหาจักรวาลผืนนี้ แต่ดำรงอยู่ในโลงศพสีดำโลงนั้นอยู่แล้ว เมื่อโลงศพกลายเป็นสารัตถะเต๋าธาตุไม้ เขาจึงถูกแยกออกมากลายเป็นเศษวิญญาณ
เขาที่ปราศจากความทรงจำและจิตนึกคิดท่องไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ด้วยสัญชาตญาณ
ภาพแรกจบลงที่ตรงนี้ จิตใจหวังเป่าเล่อยิ่งสั่นคลอนอย่างรุนแรง เขากำลังมองเศษวิญญาณนั่น เขาเห็นตัวตนของมันแล้ว…นั่นก็คือมหาเทพ สิ่งมีชีวิตแรกที่ปรากฏในมหาจักรวาล
ด้วยความสับสน หวังเป่าเล่อจึงหันไปดูภาพที่สอง ในภาพนั้นก็ยังคงเป็นเศษวิญญาณ เขาข้ามผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน เมื่อดวงดาวในมหาจักรวาลมากขึ้น สารัตถะและกฎเกณฑ์ต่างก็พากันปรากฏขึ้น วันหนึ่งดูเหมือนว่าเขาจะมีสตินึกคิดขึ้นมา เขานิ่งเงียบไปนานและไม่ได้เดินเตร่อย่างไร้จุดหมายอีกต่อไป
แต่เลือกที่จะฝึกตน
ระยะแรกของการฝึกตน ไม่มีเคล็ดวิชาใดๆ เพียงแค่อาศัยสัญชาตญาณกำหนดลมหายใจและตระหนักรู้ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนอยู่ระดับใดแล้ว ตอนนั้นเองมหาจักรวาลก็ค่อยๆ ก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่สองขึ้น
นั่นคือนกแก้วตัวหนึ่ง
บางทีหากไม่มีการมาของโลงศพไม้สีดำ นกแก้วตัวนี้…อาจเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดในมหาจักรวาล
ระหว่างพวกเขาไม่มีการแย่งชิงกันและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมานานแสนนาน จนกระทั่งเมื่อต่างคุ้นเคยกันและกันเป็นอย่างดี การฝึกตนของเศษวิญญาณนั้นก็ดูเหมือนจะมาถึงคอขวด
ดูเหมือนจะเป็นเพราะการฝึกตนขั้นสูง เศษวิญญาณจึงได้ฟื้นความทรงจำกลับมาบางส่วน
ในตอนท้ายของภาพ เศษวิญญาณกำลังกุมศีรษะส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด…
“ข้าเป็นใคร ข้ามาจากไหน…ที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของข้า เหตุใดใจข้าถึงบอกว่ามีคนกำลังรอข้าอยู่ มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับข้ายิ่งกว่าชีวิตกำลังรอให้ข้าทำให้สำเร็จ…”
“ข้าจำไม่ได้ ข้าจำไม่ได้…”
“ทำไม…ทำไมถึงนึกไม่ออก…”
…………………………………