หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1430 นำพาหายนะ (องก์ 1
หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ก่อนจะมองภาพจากความทรงจำมหาเทพตรงหน้าอีกครั้ง สีหน้ายังคงซับซ้อน
ในภาพ แสงแรกแห่งชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในมหาจักรวาล เขาฝึกตนอยู่ในนั้นเพียงลำพังมานานแสนนาน โชคดีที่การปรากฏตัวของนกแก้วทำให้ทั้งสองชีวิตได้เป็นสหายที่ดีต่อกัน
ในปีต่อๆ มาเมื่อมหาเทพฝึกตนมาถึงระดับหนึ่ง กฎเกณฑ์ของจักรวาลผืนนี้ก็สมบูรณ์ จนก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แรกเริ่มมหาเทพมองดูสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ไปรบกวนหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป แต่การปรากฏตัวเป็นครั้งคราวของเขาก็ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น
รูปสลักของเขาค่อยๆ ถูกร่างไว้ในอารยธรรมยุคแรกที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสร้างขึ้น เขา…ค่อยๆ ถูกขนานนามว่าเทพเจ้า
จนกระทั่งกลุ่มสิ่งมีชีวิตเริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ อารยธรรมก่อกำเนิดมากขึ้นเรื่อยๆ ตำนานเทพเจ้าก็ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น…ขณะเดียวกัน ด้วยการชี้แนะจากมหาเทพเป็นครั้งคราว วิธีฝึกตนก็ค่อยๆ เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์แพร่กระจายไปในอารยธรรมต่างๆ เหล่านั้น
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่กลุ่มอารยธรรมในมหาจักรวาลผืนนี้เริ่มฝึกตน
เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า สำหรับมหาเทพที่เฝ้าดูสิ่งมีชีวิตในจักรวาลนี้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ได้เห็นผู้ฝึกตนปรากฏขึ้นทีละคนก็ทำให้เขามีความสุขมาก
นั่นทำให้เขารู้สึกว่าตนไม่ได้โดดเดี่ยวอีกแล้ว
วันหนึ่งในอารยธรรมหนึ่งก็ได้ถือกำเนิดผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งขึ้น เขาเดินออกจากอารยธรรมของตนและก้าวเข้าสู่จักรวาลซึ่งนั่นดูเหมือนจะเป็นการเริ่มวัฏจักรบางอย่าง ในปีต่อๆ มาผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าก็ถือกำเนิดขึ้นในอารยธรรมต่างๆ
ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏผู้ที่พยายามท้าทายเทพเจ้าขึ้นเป็นคนแรก
เชื้อสายของเขาไม่ได้มาจากมหาเทพ แต่มาจากนกแก้วที่หาได้ยากอย่างยิ่งในโลกนี้
นามของเขาก็คือเสวียนเฉิน
การท้าทายของเสวียนเฉินล้มเหลว แต่เขาเลือกที่จะติดตามมหาเทพและกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
ในปีต่อๆ มาบรรดาผู้ที่บรรลุถึงจุดสูงสุดของตัวเองและท้าทายเทพเจ้าก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละคน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครทำสำเร็จ แต่กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมหาเทพไปทีละราย
หากแบ่งเวลาของมหาจักรวาลแห่งนี้ออกเป็นสามช่วงคือช่วงต้น ช่วงกลาง ช่วงปลาย ในมหาจักรวาลช่วงต้น มหาเทพเป็นการดำรงอยู่ราวกับเทพเจ้าอย่างแท้จริง
เขาได้เดินไปบนเส้นทางของตัวเองจนถึงจุดสูงสุดแล้ว
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้ง 108 คน แต่ละคนล้วนสามารถสยบปฐพีได้หนึ่งยุค ทุกคนล้วนมีตำนานเป็นของตนเอง รวมถึงหลัวผู้ไร้เทียมทานในยุคปลายและกู่ผู้อับโชค
หากกาลเวลาดำเนินไปเช่นนี้ มีมหาเทพในฐานะเทพเจ้าคอยควบคุม ยุคกลางและยุคปลายของมหาจักรวาลก็คงจะยังอยู่ในกำมือเขา
แต่ในตอนนั้นเองความทรงจำของมหาเทพก็ฟื้นขึ้นอีกเล็กน้อย
แม้ว่าการฟื้นความทรงจำครั้งนี้จะไม่ได้ทำให้เขาจำได้ว่าตนเองเป็นใคร จำได้ว่าภารกิจของตนคืออะไรหรือจำตัวตนของตัวเองได้ แต่มันก็ทำให้เขานึกภาพการถูกฝังในโลงศพตอนที่เสียชีวิตขึ้นมาได้
หรือกล่าวให้กระจ่างคือความทรงจำที่ฟื้นคืนมานี้ เกิดจากการรับรู้ของโลงศพที่มีต่อโลกภายนอก
ในตอนนั้นเองมหาเทพจึงตระหนักได้ว่าสาเหตุที่ไม่สามารถเรียกคืนความทรงจำกลับมาได้เป็นเพราะ…เขายังไม่สมบูรณ์
ในโลงศพที่หลอมรวมเข้ากับศพยังมีเศษวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของเขาอยู่
ในชีวิตก่อนของมหาเทพ หลังจากตายแล้วร่างกายและวิญญาณที่แตกกระจายถูกปิดผนึกไว้ในโลงศพตามพิธีกรรมโบราณที่เขาจำรายละเอียดไม่ได้ แต่จำได้ลางๆ ว่าสักวันเขาจะฟื้นคืนชีพ
แต่ที่น่าเสียดายคือพิธีกรรมโบราณนี้ยังไม่เสร็จสิ้น แต่โลงศพที่บรรจุร่างของเขากลับได้พบมหาจักรวาลที่พิเศษแห่งนี้ก่อน
มหาจักรวาลแห่งนี้พิเศษอย่างแท้จริง
โลงศพไม้สีดำล่องลอยอยู่ในจักรวาลเนิ่นนาน พบเจอมหาจักรวาลมากมาย แต่ไม่มีที่ไหนที่หลอมรวมเข้ากับมันได้เลย มีเพียงมหาจักรวาลผืนนี้…ที่ต่างออกไป มันหลอมรวมเข้ากับโลงศพได้อย่างน่าอัศจรรย์ทำให้มันกลายเป็นสารัตถะเต๋าธาตุไม้ เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้นำไปสู่การฟื้นคืนชีพของมหาเทพ แต่ยังไม่สมบูรณ์
หากอยากจะสมบูรณ์แบบ…เขาต้องดึงเศษวิญญาณอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในโลงศพไม้สีดำกลับมาและหลอมเข้ากับร่างกายตนจึงจะสมบูรณ์อย่างแท้จริง ทำให้พิธีกรรมที่คาดไม่ถึงนี้กลับคืนสู่วิถีเดิม
ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับมหาเทพจึงไม่ใช่ร่างแยกอย่างที่เขาเคยคิด กล่าวให้ชัดเจนคือเขาก็เหมือนกับมหาเทพ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการแบ่งแยกต้นกำเนิด
แต่เนื่องจากกฎเกณฑ์ของมหาจักรวาลผืนนี้ทั้งสมบูรณ์และครบถ้วน อีกทั้งยังมีความพิเศษของตัวมันเอง หากมหาเทพถูกผูกมัดไว้ที่นี่ก็จะไม่สามารถช่วงชิงมาได้ เว้นแต่ว่าเขาจะรอจนกว่ามหาจักรวาลผืนนี้ดำเนินไปถึงยุคปลายและดับแสงลงจึงจะสามารถนำเศษวิญญาณกลับมาและทำให้ตัวเองสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง
แต่…มหาเทพรอนานขนาดนั้นไม่ได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงคิดวิธีหนึ่งขึ้นมา
เขาต้องหลอกล่อมหาจักรวาลผืนนี้ให้มันรู้สึกถึงอันตราย แล้วจากนั้นก็จะเกิดหายนะแห่งการทำลายล้าง หายนะที่รุนแรงที่สุดของมหาจักรวาลผืนนี้ก็คือ…กฎเกณฑ์แรกที่ถือกำเนิดขึ้น
สารัตถะเต๋าธาตุไม้
ภาพความทรงจำจบลงที่ตรงนี้ หวังเป่าเล่อถอนสายตากลับมาและยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน
จากคำกล่าวของคนนอก มหาเทพผู้จองหองพยายามแทนที่เจตจำนงแห่งมหาจักรวาลผืนนี้จึงต้องทนรับหายนะเต๋าห้าธาตุ ทว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อรู้แล้ว…
ไม่ใช่มหาเทพจองหอง ทุกอย่างคือสิ่งที่เขาทำโดยเจตนา สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แทนที่มหาจักรวาล สิ่งเดียวที่เขาต้องการมาตลอดก็คือ…สารัตถะเต๋าธาตุไม้
ย้อนกลับไปในตอนนั้น มหาจักรวาลได้ช่วงชิงโลงศพไม้สีดำไปและบังคับให้มันกลายเป็นสารัตถะเต๋าธาตุไม้ของจักรวาลตน จากนั้น…มหาเทพจึงพยายามนำมันออกมาและช่วงชิงกลับ
นี่ ก็คือความจริง
หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
เขาค้นพบว่ายิ่งรู้มากก็ยิ่งสับสน เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นโลกาชั้นแรกที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
สายตาของเขาค่อยๆ ล้ำลึกขึ้น
“ยังมีอีกสามด่าน…อีกสามความทรงจำ” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก แล้ววาบร่างไปข้างหน้า เขาต้องการผ่านทั้งสามด่านโดยเร็วที่สุดเพื่ออ่านความทรงจำของมหาเทพอีกสามส่วนต่อจากนี้
ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไป ทุกสรรพสิ่งในโลกก็กลายเป็นอาหาร อาหารแต่ละชนิดต่างแผ่พลังปราณที่ทำให้ผู้คนหิวกระหาย
นั่นก็คือกฎเกณฑ์ปรารถนารส
หากมีเพียงแค่นี้ การแสดงพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนารสก็ดูจะยังพิลึกไม่พอ หากแต่ว่าที่ประหลาดจริงๆ นั้นก็คือ จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกราวกับว่า…ทุกส่วนในร่างกายของตนได้กลายเป็นอาหารอันโอชะไปเสียแล้ว
เขาต้องยับยั้งชั่งใจอย่างมากเพื่อระงับกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่บ้าคลั่งอยู่ในร่างกาย
เพราะว่า…หากระงับมันไม่ได้ ด้วยอิทธิพลของกฎเกณฑ์ปรารถนารสตอนนี้ เขาคงไม่สามารถควบคุมมันให้ไม่กลืนกินร่างตัวเองจนเกลี้ยงแน่
………………………………………