หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1450 ไล่ตามความทรงจำ
หวังเป่าเล่อไม่เอ่ยวาจา เขาได้แต่มองศิษย์พี่เบื้องหน้าตนอย่างตกตะลึง แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไร ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณต่อทีละอึกๆ ทว่าสุดท้ายแล้วมือของเขากลับสั่นเทา
“เป่าเล่อ เจ้าจำวันที่พวกเราพบกันวันแรกได้หรือไม่?”
“จำได้…”
“เจ้าเด็กคนนี้ ตอนนั้นเจ้าดูขลาดกลัวเป็นที่สุด ข้าผู้เป็นศิษย์พี่เห็นแล้วตลกเหลือเกิน จึงวางแผนส่งอสูรเพลิงสองตัวให้ไปพุ่งชนต่อหน้าเจ้าเสีย”
หวังเป่าเล่อยิ้ม ในสมองของเขาพลันปรากฏภาพความทรงจำช่วงนั้นออกมา นัยน์ตาฉายประกายย้อนระลึกถึงอดีต
ราตรีปกคลุม พระจันทร์ทอแสง กระทั่งมันค่อยๆ เคลื่อนคล้อยจากไป…หนึ่งคืนผ่านพ้น
ในค่ำคืนนี้ หวังเป่าเล่อและศิษย์พี่เฉินชิงจื่อสนทนากันเนิ่นนาน พวกเขาพูดถึงทุกสิ่งที่เกิดในโลกแห่งศิลา ทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ทำให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความทรงจำ
กระทั่งท้องฟ้าเริ่มส่องสว่าง เฉินชิงจื่อก็วางไหสุราว่างเปล่าลง แล้วถอนหายใจ
“เป่าเล่อ เจ้าคิดถึงอาจารย์หรือไม่…”
“คิด…” หวังเป่าเล่อพึมพำ
“ข้าเองก็ด้วย พวกเรากลับโลกแห่งศิลาสักครั้งเถอะนะ ไปดูที่ที่อาจารย์หายไปตรงนั้น ไปดูท่านอาจารย์…”
หวังเป่าเล่อมองศิษย์พี่ จากนั้นก็พยักหน้า ในพริบตาถัดมา…ทั้งสองคนที่อยู่ในร้านเหล้าก็หายตัวไปแล้ว จากนั้นจึงปรากฏตัวยัง…โลกแห่งศิลา
พวกเขาอยู่ภายในมหาสุสานของสำนักแห่งความมืด ตรงจุดที่อาจารย์หายตัวไป
ในที่แห่งนี้ คนทั้งสองมองทุกสิ่งที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ความทรงจำของภาพตรงนี้ปรากฏขึ้นในสมองของหวังเป่าเล่อไม่หยุด จนกระทั่งครู่ถัดมา ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อก็ค่อยๆ เอ่ยปากช้าๆ
“ที่นี่แล้วสำหรับเจ้าและข้าล้วนเห็นแตกต่างกัน ข้าคงไม่กล้าเอ่ยอะไรมากที่นี่”
“เป่าเล่อ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า แต่เจ้าก็ยังเป็นศิษย์น้องของข้า…” เฉินชิงจื่อมองหวังเป่าเล่อลึกซึ้งครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างตั้งใจออกมาทีละคำ
หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยสิ่งใด หลังนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สูดหายใจเข้าลึก แล้วคำนับไปยังศิษย์พี่ของตน
“ศิษย์พี่ ข้าอยากไปพบสหายเก่าสักหน่อย…”
“ไปเถอะ ค่อยๆ ไปดู ค่อยๆ จดจำ” เฉินชิงจื่อฉีกยิ้ม เขามองหวังเป่าเล่อเบื้องหน้าตนที่บัดนี้หันกายจากไปยังที่ห่างไกลช้าๆ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน
“เจ้าคือศิษย์น้องของข้า ไม่สิ…เจ้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น แต่เจ้า…ก็ยังเป็นศิษย์น้องของข้า”
หวังเป่าเล่อที่จากสถานที่นี้ไปนั้นกำลังเดินอยู่ท่ามกลางหมู่ดารา ร่างกายชะงักเล็กน้อย เขาได้ยินสิ่งที่เฉินชิงจื่อ พึมพำแล้ว
เนิ่นนาน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ เขามองโลกแห่งศิลาด้านหน้า แล้วกระโจนเข้าไปก้าวหนึ่ง
ในพริบตาที่ออกมานั้น เขาก็อยู่ภายในระบบสุริยะแล้ว ในสหพันธรัฐ ในดาวโลก…ในเมืองเล็กๆ นามว่าวิหคเพลิง
ในเมืองเล็กๆ นี้ก็ยังเหมือนในความทรงจำของเขาอยู่ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือ มันดูสมบูรณ์พร้อมกว่าเก่ามาก สิ่งก่อสร้างทั้งหลายก็ดูดีกว่าแต่ก่อนไม่น้อย
แต่ว่าสิ่งก่อสร้างเก่าๆ เหล่านั้น ยังคงได้รับการบำรุงรักษาที่ดีคล้ายกลับว่ามีเหตุผลพิเศษบางอย่าง
ราวกับว่า…ที่นี่เป็นสถานศึกษาแห่งหนึ่ง
ตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียน ประตูของสถานศึกษามีนักเรียนเดินเข้าออกจำนวนมาก ในนั้นยังมีเด็กอายุเจ็ดแปดขวบอยู่ และมีวัยรุ่นอายุสิบสี่สิบห้าด้วย
ในสถานศึกษาแห่งนี้ เป็นที่เรียนรวมของเด็กตั้งแต่แปดขวบจนถึงสิบหกขวบ และเป็นโรงเรียนเดิมของหวังเป่าเล่อ
เขายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียน คลับคล้ายคลับคลาจะเห็นเด็กอ้วนอายุแปดเก้าปีผู้หนึ่งกำลังเดินร้องไห้ขี้มูกโป่งออกมา ด้านหลังของเขายังมีเด็กหญิงตัวน้อยไล่กวดเขามาอย่างดุร้ายด้วย
มองดูแล้วหวังเป่าเล่อก็ระบายยิ้ม ระหว่างที่ส่ายหน้า เขาก็ก้าวเท้าที่สองอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าบ้านหลังหนึ่งในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ราวกับว่ามันว่างเปล่ามายาวนานแต่กลับถูกบำรุงรักษาอย่างดี ภายในห้องนั้นไม่มีแม้แต่ฝุ่น อีกอย่างห้องนอนในสถานที่แห่งนี้ก็ยังมีการตกแต่งเช่นเดิมเหมือนในอดีต
ภายในนั้นยังมีของเล่นทั้งหมด แล้วก็ยังมีพวกภาพวาดตรงกำแพง…ที่เห็นชัดที่สุด…ก็คือประโยคสองแถวที่เขียนในเวลาอันแตกต่างกันบนกำแพงนั้น คล้ายกับว่าถูกคนเขียนใส่ด้วยความตั้งใจมุ่งมั่น
ข้าจะกลายเป็นประธานสหพันธรัฐ!
ข้าจะลดน้ำหนัก!
เมื่อมองเห็นสองประโยคนี้ หวังเป่าเล่อก็ฉีกยิ้ม ในสมองปรากฏภาพที่ถูกตู้หมินรังแกในปีนั้น จนตนเองสาบานว่าจะเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งใหญ่โตให้ได้ และต้องการเป็นประธานสหพันธรัฐ กลางดึกคืนนั้นจึงเขียนประโยคนี้ลงบนกำแพง
แล้วยังมีหลังจากที่ตัวเองเติบโตได้สักหน่อยแล้ว ท่านพ่อของเขาก็พาไปยังโถงบรรพบุรุษของตระกูลหวัง ท่ามกลางแสงไฟสลัวนั้น เงาร่างของท่านพ่อเองมืดไปครึ่งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากบอกกับหวังเป่าเล่ออย่างมืดมน ถึงคำสาปแห่งตระกูลหวัง บรรพบุรุษคนใดที่น้ำหนักเกิน 200 กิโล ล้วนแต่อายุสั้นทั้งสิ้น…
คืนนั้น หวังเป่าเล่อที่หนัก 198 กิโลก็นอนอยู่บนเตียงตัวสั่นสะท้าน ก่อเกิดฝันร้ายฉากหนึ่ง ในฉากนั้นเหล่าท่านปู่ทั้งหลายต่างมาเล่นกับเขา…จนกระทั่งเขาตกใจตื่น ก็เลยรีบไปเขียนบนกำแพงว่า “ข้าจะลดน้ำหนัก”
“ไม่รู้ว่าแม่ของเขาทางนั้น เป็นเช่นใดบ้างแล้ว…” อาจจะเพราะความอบอุ่นในภาพจำเหล่านี้ทำให้อารมณ์ในใจหวังเป่าเล่อมีมากขึ้น ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้ม หลังจากมองสองประโยคนี้อย่างลึกซึ้งแล้วก็หันกายจากไป
จากนั้นเขาก็ไปปรากฏตัวยังอีกเมืองหนึ่งบนโลกมนุษย์ ในเมืองนี้…คือเมืองหลวงของสหพันธรัฐ พื้นที่ใหญ่กว้าง ดูยิ่งใหญ่สูงส่ง ประชากรที่อยู่ในนั้นมีมากกว่า 100 ล้านคน
เมืองใหญ่เช่นนี้ ผู้คนไปๆ มาๆ เอิกเกริกวุ่นวาย โดยเฉพาะเมื่อมีการบุกเบิกทางวิญญาณแล้วทำให้เทคโนโลยีควบรวมกับพลังฝึกปรือ เมื่อมองไปยังป่าและสิ่งปลูกสร้างในเมือง ต่างเห็นรถบินได้ลอยไปลอยมาไม่หยุด
แล้วยังมีคนเดินเท้า แม้แต่ละคนจะมีท่าทีรีบร้อน แต่ก็เห็นประกายความกระฉับกระเฉงในดวงตา ทั้งเมืองนั้นดุจดังแสงตะวันยามเช้า ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นและงดงาม
โดยเฉพาะเหล่าผู้เยาว์ในเมืองก็ยิ่งเป็นเช่นนี้…แต่ก็มีพวกที่ไม่เอาการเอางานอยู่บ้าง อย่างเช่นเวลานี้ มีพาหนะบินได้รูปลักษณ์หรูหราคันหนึ่งกำลังห้อตะบึงมาทางนี้ราวกับกำลังหนีเอาชีวิต
ด้านหลังของมันนั้นยังมีรถบินได้สีดำอีกประมาณเจ็ดแปดคน ส่งเสียงดังไล่กวดมา จนสุดท้ายแล้ว รถบินได้หรูหราคันนั้นก็ถูกไล่จับ ชะงักอยู่ตรงหัวมุมถนน
ผู้ที่เดินออกมาจากรถคันนั้นเดิมคงเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง แต่ในยามนี้ใบหน้าของเขากลับหมดอาลัยตายอยาก เขามองไปยังภายในรถบินได้คันที่หยุด หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีดำเดินออกมา
หญิงสาวผู้นี้หน้าตางดงาม แต่สีหน้าเย็นชานัก นางเดินเข้ามาหาผู้เยาว์คนนั้น ผู้เยาว์ดูท่าทางหวาดกลัวสุดขีด เขารีบตะโกนเสียงดัง
“เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน ข้าไม่รู้จักนางจริงๆ เมื่อวานตอนเย็น…”
ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบ หญิงสาวก็ตบเข้าไปที่บ้องหูของชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง และใบหน้าปราศจากอารมณ์
“กลับบ้านไปกับข้าแล้วหลังจากนี้ค่อยอธิบายให้ข้าฟัง หากว่าแก้ตัวได้ไม่ดีล่ะก็ ข้าจะส่งเจ้าไปโรงพยาบาลเสีย เตรียมหมอไว้เรียบร้อยแล้วด้วย” ชายหนุ่มโอดครวญ แล้วถามขึ้นด้วยความเจ็บปวด
“ไปโรงพยาบาลทำไม? แล้วเตรียมหมอเอาไว้นี่มันยังไง? หมายความว่าอะไร…”
“ก็จะได้ตัดสมองวุ่นวายของแกออกมาไงล่ะ!” หญิงสาวเอ่ยเสียงเย็นชา
ชายหนุ่มตกตะลึง หลังจากนั้นก็ส่งเสียงโหยหวนดังขึ้น ทว่าไม่กล้าขัดขืน ได้แต่ยืนน้ำตาไหล ดวงตาฉายแววเลื่อนลอย
“เพราะอะไร เพราะอะไรถึงได้จัดแจงคู่หมั้นแบบนี้มาให้ข้าในช่วงขวบปีที่งดงามที่สุดของข้าด้วย…นี่ไม่ถูกนะ ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ถูกสักอย่าง ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ…”
หลังจากที่คู่ชายหญิงนั้นเดินจากไปแล้ว บนท้องฟ้า หวังเป่าเล่อที่เห็นฉากนี้เข้า ก็กุมท้องหัวเราะออกมา อย่างเบิกบานใจ นั่นคือบิดามารดาของเขาที่กลับชาติมาเกิด
เขายังจำได้ว่าก่อนที่ท่านพ่อจะจากไปก็ได้บอกกับเขาว่า ให้ตัวเขาจัดเตรียมเรื่องในโลกถัดไปให้ดีๆ หน่อย..พูดแล้วเหมือนจะขยิบตาให้เขาทำนองว่า แกเข้าใจฉันสินะ
ส่วนทางด้านท่านแม่ของเขานั้น กลับกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่าต้องการเจอหน้าเร็วสักหน่อย จะได้อยู่ด้วยกันทั้งชีวิต
และเหมือนว่าท่านพ่อของเขาในตอนนี้ คิดอยากจะพูดอะไรแต่ไม่กล้า…
“ช่วยไม่ได้นะท่านพ่อ สถานะของท่านแม่น่ะสูงสุดในบ้านอยู่แล้ว…ขอให้พวกท่านมีความสุข” มองดูบิดารและมารดาของตนที่กลับชาติมาเกิดแล้ว หวังเป่าเล่อก็ผุดยิ้ม ทว่าความรู้สึกเดียวดายนั้นกลับทะยานขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว