หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 1454 จากไป
“จิตแห่งเทพเจ้าจากไปแล้ว และนี่คือดวงจิตเทพองค์สุดท้ายในมหาจักรวาล พวกเขาพาเหล่าเผ่าพันธุ์ออกจากที่นี่ไป…แต่ก่อนจะจากไปนั้น เขาบอกกับพวกเราว่า ให้พวกเราเคารพกราบไหว้รูปสลักเร้นลับนั้น”
“รูปสลักนี้ มีตัวตนมาเนิ่นนานแสนนาน ก่อนหน้าที่ดวงจิตเทพจะจากไปก็แวะไปหาครั้งหนึ่ง…มองเห็น…ดวงจิตเทพคำนับให้แก่รูปสลักนี้ เป็นการบอกลา”
ข่าวนี้ ราวกับก่อคลื่นลมมหาศาลขึ้นในใจของผู้เยี่ยมยุทธ์ท่านนี้ ในมหาจักรวาลปัจจุบัน เขาผู้เป็นหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ชราทั้งห้าซึ่งอยู่มาเนิ่นนานและแข็งแกร่งที่สุด ได้ทราบข้อมูลที่ผู้อื่นไม่ล่วงรู้
อย่างเช่นว่า ในมหาจักรวาลนี้ ก่อนหน้านี้หลายหมื่นปีอันนับไม่ถ้วน มีวิญญาณเทพสิงสถิตอยู่ พลังแห่งวิญญาณเทพสามารถทำลายทั้งมหาจักรวาลได้อย่างง่ายดาย ในความแข็งแกร่งระดับนี้ ทำให้เขาเคารพนับถือและในเวลาเดียวกันก็ไม่เชื่อ แต่หลังจากพลังฝึกปรือทะยานขึ้น จนกระทั่งบัดนี้ เขาก็เชื่อว่าดวงจิตเทพที่ว่านั้นบางทีอาจจะมีอยู่จริง
เพราะว่าเขาซึ่งอยู่ในระดับบนสุดของระดับที่สี่นั้นเข้าใจดี ดวงจิตเทพทั้งหลายก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่…ฝึกปรือจนอยู่ในระดับที่เขาไม่อาจคาดเดาได้
ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้ ก่อนหน้าที่จะจากไปถึงกับบอกลากับรูปสลัก…เพียงแค่คิดก็รู้แล้วว่า ที่มาของรูปสลักนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด!
ผู้อาวุโสรายนั้นนำข่าวนี้บอกกับผู้อาวุโสที่อยู่ร่วมยุคสมัยกับเขาทั้งหลายท่านนั้น ผู้อาวุโสหลายท่านนับว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาจักรวาลในยามนี้ แต่ละคนล้วนกลับไปสืบเสาะข่าว ดังนั้นแล้วในเวลาเดียวกับที่ผู้อาวุโสบอกกล่าวแก่พวกเขา พวกเขาเองก็พบข่าวอันน่าตื่นตะลึง และบอกแก่ผู้อาวุโสท่านนั้น หลังจากแบ่งปันกันเองแล้ว ในใจของพวกเขาก็คล้ายจะปรากฏคำตอบอันเลือนราง
“ในมหาจักรวาลแห่งนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีดวงจิตเทพเพียงแค่หนึ่ง!”
“และดวงจิตเทพทุกองค์ก่อนจะจากไปนั้น ก็ได้มาบอกลารูปสลักนี้…”
“รูปสลักนี้…ในบันทึกกล่าวว่าเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง…หรือที่บางคนเรียกขานว่า เป็นเซียน…”
ยิ่งขุดค้นลงไป ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายท่านก็ยิ่งตื่นตะลึง สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะขุดค้นเรื่องราวต่อ แต่กลับรออย่างหวาดผวา…รอมหันตภัยที่บางทีอาจใกล้มาถึง
การรอคอยประเภทนี้ รอจนผ่านไปอีกหนึ่งปี ก็ไม่ได้ปรากฏผลอะไรออกมา แต่พวกเขาก็ยังไม่เบาใจ เพียงแต่ว่าเทียบกับพวกเขาแล้ว เหล่าอารยธรรมเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนในมหาจักรวาลนี้ไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินชีวิตได้ปกติดียิ่ง
ในยามนี้เอง หวังเป่าเล่อที่ทำให้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์หลายท่านต้องสั่นสะท้านก็ได้มาถึงใจกลางของจักรวาล ในสถานที่ที่เคยว่างเปล่านั้น ที่นี่…ยามนี้ได้กลายเป็นดวงดาวที่มีอารยธรรมยึดครองเต็มผืนแล้ว
การมาของเขา ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถสังเกตเห็นได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงเข้าไปเดินไปอยู่บนดาวผืนนั้นแล้วมองมหาผืนดิน
ในความทรงจำของเขา ที่นี่คือสถานที่ที่ทะเลทรายอันกว้างใหญ่นั้นเคยมีอยู่
“ร่างต้น…” หวังเป่าเล่อนั่งอยู่บนยอดเขาของดาวดวงนี้ สายลมบนเขาพัดโบก ดวงตาของเขามีความอ้างว้างอันเข้มข้น
“จากไปหมดแล้ว…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ทุกคนล้วนจากไปแล้ว
ดินแดนนี้สำหรับเขาแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ความจริงแล้ว…เขาก็ควรจะจากไป
แต่ว่าในเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา เขามองดูสรรพชีวิต แต่…ยิ่งเขามองดูชีวิตคนมากมายเท่าไร มองดูขวบปีอันหมุนผ่านไม่รู้เท่าไรเหล่านั้น เขาก็ไม่อาจลืมความทรงจำของร่างต้นในทะเลทรายที่ผนึกตัวเขาไว้แล้วจากไปได้
และไม่อาจจะลืม รอยยิ้มของร่างต้นยามมอบชื่อให้แก่ตนเอง
คล้ายกับว่า นี่ก็คือความยึดติดของเขา
“บางที ข้าเองที่ไม่ยินยอมจากไป ไม่ยินยอมจะตื่น และรอข่าวของร่างต้นอยู่ที่นี่..”
“บางที ข้ามองสรรพชีวิตมานานไม่รู้กี่ปี ก็เพราะอยากจะให้ภาพเหล่านั้นทั้งหมดลบความสับสนในใจของข้า…”
“ยามนี้ข่าวของร่างต้นปรากฏออกมาแล้ว ยามนี้ข้ามองเห็นขวบปีนับไม่ถ้วนแต่ก็ยังลืมไม่ลง..”
“เช่นนั้น ข้าควรทำอะไรสักอย่าง” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ค่อยๆ ยิ้ม รอยยิ้มนี้ดูผ่อนคลาย ปล่อยกายปล่อยใจ ราวกับว่ามีบางสิ่งถูกตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขารู้สึกว่าบนร่างของตัวเองนี้พลันผ่อนคลายขึ้นมา
“มนุษย์ ล้วนแต่โลภ”
“แต่ว่า ในยามที่ชีวิตไม่มีทางไปต่อได้ ก็ยอมทำให้ผู้อื่นสมปรารถนา อย่างเช่นมหาเทพ…หลังพบว่าตนเองพ่ายแพ้และสิ้นหวังแล้ว ก็ยินดีสละร่างตนและฝากความหวังไว้กับร่างต้นของข้าตอนนั้น”
“ส่วนร่างต้น…สามัญสำนึกเหนือล้ำกว่ามหาเทพ ในตอนที่เขาพบว่าความปรารถนาไม่อาจถูกทำลาย ตอนนั้นเขาสามารถเลือกสูบกลืนสรรพชีวิตเพื่อมาหล่อเลี้ยงร่างต้นและคงสติได้ แต่คนผู้นี้ ช่างรักหน้าตาตัวเองนัก ไม่ยินยอมให้ผู้อื่นมองเห็นตำหนิของตน ดังนั้นแล้ว เขาจึงเลือกสังเวยตนเอง แล้วทำให้ร่างแยกอย่างข้าสมปรารถนา” หวังเป่าเล่อยิ้มแล้วยกมือขึ้น น้ำเย็นหล่อวิญญาณขวดหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา หลังจากดื่มไปอึกหนึ่งก็เลิกคิ้ว
“ไม่อร่อยเลย ข้าชอบเหล้าข้าวมากกว่า” พูดแล้วเขาก็โยนน้ำเย็นหล่อวิญญาณทิ้ง คว้ามือไปยังความว่างเปล่า กาเหล้าข้าวปรากฏขึ้น เขาแหงนหน้าดื่มไปครั้งหนึ่ง สีหน้าค่อยดูสุขใจ
“สำหรับข้าตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าเหนือล้ำกว่ามหาเทพและร่างต้น การบรรลุของเขานั้นสูงส่งยิ่งกว่าพวกเขามาก มหาเทพไม่ได้เลือก โอกาสเลือกของร่างต้นนั้นเหลือไม่มาก ส่วนข้า…มีทางเลือกมากมายนับไม่ถ้วน!”
“ข้าสามารถเลือกลืมร่างต้น แล้วกลายเป็นหวังเป่าเล่อที่แท้จริง ความจริงแล้วข้าก็คือหวังเป่าเล่อ!”
“ข้าเองสามารถมีอิสรเสรี กลายเป็นเซียน!”
“ข้ายิ่งสามารถติดตามหวังอีอีจากไป ติดตามคนเหล่านั้นไปยังสรวงสวรรค์…”
“ข้าสามารถเลือกไม่จากไป และท่องเที่ยวอย่างมีความสุขในวงแหวนพิภพได้”
“แต่ข้า…กลับเลือกเส้นทางสายนี้อย่างเด็ดขาด จำต้องเลือกเช่นนี้…ทำเรื่องเช่นนี้” หวังเป่าเล่อฉีกยิ้ม เขายิ้มนานเข้าๆ รอยยิ้มยิ่งกว้าง หลังดื่มเหล้าข้าวในมือแล้วก็โยนทิ้งไป คว้าอากาศว่างเปล่าอีกครึ่ง หนึ่งขวด ดื่มครั้งเดียวหมด
“ไอ้โง่ ข้านี่มันโง่จริงๆ!” หวังเป่าเล่อหนีบขวดเหล้า แย้มยิ้มกว้างเหมือนเก่า
“มหาเทพ เป็นผู้โง่เขลาคนหนึ่ง ร่างต้นก็โง่เขลานัก ข้าก็เช่นเดียวกัน!”
“มหาเทพ เจ้าทำให้ร่างต้นสมหวังได้!”
“ร่างต้น เจ้าทำให้ข้าสมหวังได้!”
“เช่นนั้นข้า…ทำให้เจ้าสมหวังบ้างเช่นกันจะเป็นไร!”
“มีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่ยินยอมแล้ว ร่างต้น เจ้าจงมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแทนข้าเถอะนะ” หวังเป่าเล่อเอ่ยแล้วก็ลุกขึ้น ดวงตาของเขาทอแสงแรงกล้า เขามองไปยังท้องฟ้าผืนดินเบื้องหน้า ก่อนจะก้าวออกไป!
ย่างก้าวนี้ก่อเกิดเสียงอันดังในมหาจักรวาล เงาร่างของเขาปรากฏขึ้นที่ขอบของมหาจักรวาลนี้ ราวกับว่าหากก้าวอีกเพียงก้าวเดียวจะเดินออกไป
แต่หวังเป่าเล่อกลับหยุดฝีเท้าเอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าว่า ข้ากำลังจะไปแล้ว และกลายเป็นเจตจำนงของมหาจักรวาลนี้ เจ้าจะไม่มาส่งข้างั้นหรือ! อย่างน้อย การสืบทอดแห่งเซียนก็ควรถือว่าข้าเป็นคนมอบให้เจ้านะ มาๆๆ ข้าชอบเหล้าข้าว เจ้าจงส่งมอบเหล้าข้าวทั้งหมดจากทุกเผ่าพันธุ์ในมหาจักรวาลนี้ให้ข้าเถอะนะ”
พริบตานั้นเอง เหล้าข้าวทุกขวดในอารยธรรมทั้งหมด ในเผ่าพันธุ์ทั้งหมดและในมหาจักรวาลนี้ล้วนหายไปในพริบตา หลังมารวมกันก็กลายเป็นเม็ดไข่มุกหนึ่ง ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ
และในพื้นที่ห่างไกล เงาร่างของผู้เยาว์คนหนึ่งก็เดินออกมา มองหวังเป่าเล่ออย่างขลาดเขลา คำนับจากที่ห่างไกล
หวังเป่าเล่อรับไข่มุกเม็ดนั้น ระหว่างที่แหงนหน้าหัวเราะคำโต เขาก็ก้าวเท้าออกจาก…มหาจักรวาลนี้!