หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 394 ลมพัด!
ความคิดที่ว่าวันหนึ่งทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง จะต้องเรียกเขาว่า ‘ท่านปรมาจารย์’ หลังจากที่เขาหลอมอาวุธเวทได้สำเร็จ ทำให้หวังเป่าเล่อทั้งตื่นเต้นและยุ่งยากใจ
พวกเขาจะเรียกข้าว่าท่านปรมาจารย์หวัง ท่านปรมาจารย์เป่า หรือท่านปรมาจารย์เล่อกันนะ
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด หวังเป่าเล่อก็ยังคิดว่าคำว่า ‘ท่าน’ นั้นดูไม่ค่อยเข้าทีนัก ชายหนุ่มตั้งใจว่าหลังจากที่หลอมอาวุธเวทได้สำเร็จ เขาจะบอกคนอื่นๆ เช่น หลิวต้าวปินและพรรคพวก ว่าให้เรียกเขาว่าปรมาจารย์หวังเฉยๆ คนอื่นจะได้เรียกเขาด้วยสมญานามที่ถูกต้อง
ปรมาจารย์หวัง! หวังเป่าเล่อพอใจกับชื่อนี้เป็นอันมาก เขานั่งฝันกลางวันอยู่สักพัก ก่อนจะรู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมา และเริ่มศึกษาการหลอมอาวุธเวทต่อทันที โดยการจินตนาการวิธีการหลอมในหัว
อาวุธเวทมีโครงสร้างเหมือนสมบัติเวท ทั้งคู่มีแก่นวิญญาณและอักขราจารึก แต่เมื่อดูให้ละเอียดแล้ว ก็มีหลายส่วนที่แตกต่างกันเช่นกัน อาวุธเวทมีอีกสองสิ่งที่สมบัติเวทไม่มี ซึ่งก็คือการหลอมรวมวิญญาณและทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง!
หวังเป่าเล่อเรียนรู้จากการศึกษาที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ว่าไม่ว่าจะเป็นวัตถุเวทหรือสมบัติเวท ล้วนอยู่ที่การควบคุมพลังปราณให้ไหลวนเข้าออกตามอักขระที่สลักไว้ เพื่อสร้างการระเบิดพลังที่แตกต่างกัน
สิ่งที่ทำให้อาวุธเวทแตกต่างไปก็คือ อาวุธเวทไม่ได้ใช้เพียงการหลอมรวมวิญญาณ แต่ยังใช้พลังของสวรรค์และพื้นพิภพด้วย!
พลังของสวรรค์และพื้นพิภพที่ว่านี้ฟังดูล้ำและจับต้องยากในเชิงทฤษฎี สำนักศึกษาเต๋ากล่าวไว้ว่า พลังนี้ทำให้สวรรค์และโลกมนุษย์รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมา แรงกระเพื่อมนี้สะสมและจุนเจือโลกทั้งใบ พลังที่ทั้งแยกและรวมทุกสิ่งเข้าด้วยกันนี้… มีนามว่า พลังของสวรรค์และพื้นพิภพ!
พลังที่ว่านี้ก็คือพลังแม่เหล็ก สวรรค์มีเจตจำนงเป็นของตนเอง เพราะฉะนั้นจึงสร้างพลังแม่เหล็กของจักรวาลขึ้นมา ผืนดินเองก็เช่นกัน รวมถึงภูเขา สายธาร แม้กระทั่งโคลนตม หินผา สายฟ้า สายลม และเม็ดฝนก็ด้วย… หวังเป่าเล่อนวดกลางหน้าผากตนเอง ขณะคิดทวนบทเรียนที่เรียนมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
วัตถุเวทและสมบัติเวทควบคุมพลังปราณ ส่วนอาวุธเวทควบคุมทั้งพลังปราณและพลังของสวรรค์และพื้นพิภพ ดังนั้นการปลุกพลังอำนาจของอาวุธเวทจึงเป็นการส่งคลื่นกระแทกไปทั่วทุกสารทิศ แม้จะไม่ถึงขั้นทำให้โลกสั่นสะเทือน แต่ก็ยิ่งใหญ่พอตัวเลยทีเดียว
การควบคุมพลังของสวรรค์และพื้นพิภพ ทำได้โดยการรวมหนึ่งในสองส่วนประกอบที่ทำให้อาวุธเวทและสมบัติเวทแตกต่างกัน ซึ่งก็คือ… ทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง!
ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนี้ คือการรวมพลังเร้นลับที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กออกจากทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และพื้นพิภพเข้าไปในอาวุธเวท ซึ่งจะเปลี่ยนอาวุธเวทให้กลายเป็นตัวกลางที่เชื่อมพลังของทั้งจักรวาลและโลกมนุษย์เข้าด้วยกัน!
หากทำเช่นนี้ได้จะถือว่ากระบวนการหลอมอาวุธเวทขั้นต้นสำเร็จเสร็จสิ้น สมบัติเวทที่เชื่อมต่อพลังแห่งสวรรค์และพื้นพิภพได้นั้น จะเรียกว่าอาวุธเวทครึ่งใบ และมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าสมบัติเวทหลายเท่านัก แม้จะยังด้อยกว่าอาวุธเวทสมบูรณ์แบบอย่างมากก็ตาม
มาถึงจุดนี้ก็จะเริ่มกระบวนการหลอมขั้นที่สอง… ซึ่งคือการหลอมรวมวิญญาณ!
การหลอมรวมวิญญาณนั้นตรงตามชื่อเรียก มันคือการนำวิญญาณมารวมเข้ากับอาวุธเวทที่ต้องการหลอม!
ขั้นตอนนี้ไม่ต้องใช้วิญญาณวุธที่มีปัญญาวิญญาณ เพียงแต่หากวิญญาณวุธนั้นตรงตามข้อกำหนด เมื่อหลอมรวมแล้วก็จะได้เป็นโครงสร้างของสมบัติเวทที่มีพลังของสวรรค์และพื้นพิภพ และวิญญาณวุธจะช่วยสร้างพลังอันเหลือล้นให้อาวุธเวท
ยกตัวอย่างเช่น พายุมืดในกระบี่อาวุธเวทของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นทุกครั้งที่เขาใช้อาวุธเวทต่อสู้ เนื่องจากอาวุธเวทชิ้นนี้หลอมรวมเข้ากับพลังแห่งสวรรค์และพื้นพิภพที่มาจากลมพายุ ส่วนจระเข้ภายในพายุมืดก็คือวิญญาณวุธนั่นเอง!
ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างและการหลอมรวมวิญญาณ… สองขั้นตอนนี้ท้าทายความสามารถนัก หวังเป่าเล่อทบทวนความรู้ที่ตนเองได้ร่ำเรียนไป ท่ามกลลางความเงียบ เขาเริ่มนึกถึงสองขั้นตอนหลอมที่ทำให้อาวุธเวทแตกต่างจากอาวุธอื่นๆ สำหรับขั้นทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนั้น เขาต้องพยายามทดลองดูว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนการหลอมรวมวิญญาณนั้นน่าจะเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุดในสองขั้นตอน
ข้าต้องจับวิญญาณวุธของอสูรร้ายมาให้ได้ ส่วนจะเป็นชนิดไหนนั้น ก็ควรจะเป็นชนิดที่ทำให้อาวุธเวทของข้าแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นในเมื่อข้าต้องการหลอมโทรโข่งอาวุธเวท ข้าก็ควรหาอสูรที่คำรามเสียงดังสนั่น… หวังเป่าเล่อคิดได้ดังนั้น ก็อดนึกถึงลาของตนเองขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาของเขาสว่างวาบขึ้นมา แต่ไม่นานนักชายหนุ่มก็ถอนหายใจ เขารู้สึกว่าการฆ่าเจ้าลาที่ไม่ได้ทำอะไรผิดนั้นค่อนข้างไร้มนุษยธรรม
แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่าวิญญาณของเจ้าลาในฐานะวิญญาณวุธ จะทำให้โทรโข่งอาวุธเวทของเขาทรงอานุภาพและแข็งแกร่งเป็นที่สุด
หวังเป่าเล่อคิดอยู่อีกชั่วครู่ แล้วก็ผลักความคิดที่จะใช้เจ้าลาเป็นวิญญาณวุธทิ้งไป เขาเริ่มศึกษาทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง ไม่นานนักเวลาก็เดินหน้าผ่านไปอีกเจ็ดวัน
ในเจ็ดวันนั้น แม้หวังเป่าเล่อไม่ได้ตั้งหน้าตั้งหาหาข้อมูลจนลืมกินลืมนอน แต่เขาก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาอาวุธเวท ชายหนุ่มใช้เวลาเล็กน้อยไปกับการรับรายงานจากหลิวต้าวปินและพรรคพวก ทำให้เขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นหลังมือของตนเอง
ยกตัวอย่างเช่น เฉินมู่และพวกพยายามเป็นอย่างมากกับการสร้างอาณาเขตของตัวเองในเจ็ดวันที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับเวินไหวและฟางจิ้งที่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเองไปนั้น เฉินมู่จัดงานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ ในเขตของตนเองไปเมื่อสามวันก่อน เขาเชิญผู้คนมากมาย รวมถึงหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วย นางปรากฏตัวที่งานและปฏิบัติต่อเฉินมู่ด้วยไมตรีจิตเป็นอย่างมาก
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการที่วัสดุอุปกรณ์ในเขตของเฉินมู่และพรรคพวกหายไปอย่างปริศนา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ของหายทุกครั้งจะมีเจ้าลาอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ปัญหานี้จบลงได้เมื่อผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในหลายคนจากทั้งสามกลุ่มอำนาจเริ่มเฝ้ายามทรัพยากรของตน แต่เมื่อรวมความเสียหายจากหลายเหตุการณ์เข้าด้วยกันแล้วก็ถือว่ามากโขเลยทีเดียว
หวังเป่าเล่อคิดถึงเรื่องนี้และอดพอใจความสามารถของเจ้าลาไม่ได้ นอกจากนี้เขาเองยังได้รับข้อความจากหลี่หว่านเอ๋อร์อีกด้วย น้ำเสียงของนางเป็นทางการขณะขอควบคุมตัวเจ้าลา
แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อปฏิเสธคำขอนี้ หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อได้ยินดังนั้น นางเพียงแต่เอ่ยว่าหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก นางจะแจ้งให้เจ้านครดาวอังคารทราบ นั่นเพราะการก่อสร้างนครใหม่ต้องมาก่อนทุกสิ่งเสมอ ใครหรืออะไรก็ตามที่ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงักสมควรที่จะได้รับโทษ
นางข่มขู่ข้าเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อไม่พอใจ แววตาของเขาเย็นเยียบลงกว่าเดิม ชายหนุ่มรู้สึกว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ได้เปลี่ยนใจไปเสียแล้ว นางเพียงหมั้นหมายเท่านั้น แต่กลับใช้อำนาจของตนเองเข้าข้างเฉินมู่
นางพยายามเตือนข้าไม่ให้แอบเล่นงานเฉินมู่หรือ… หวังเป่าเล่อหรี่ตา ช่วงเวลาหลายปีที่เขาใช้ไปกับการศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงนั้น ทำให้เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการกระทำของหลี่หว่านเอ๋อร์
เมื่อเข้าใจดังนั้น หวังเป่าเล่อก็แสดงความเย็นชาออกทางแววตา แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาเหมาะควรที่จะเข้าไปยุ่มย่ามกับเฉินมู่ อย่างไรเสียการก่อสร้างนครก็ยังไม่เสร็จสิ้น…
อีกครึ่งเดือนเดินหน้าผ่านไป หวังเป่าเล่อยังคงตั้งหน้าตั้งตาศึกษาการหลอมอาวุธเวท โดยเฉพาะทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่เดินหน้าไปไกล ชายหนุ่มคิดว่าจะลองทำดู แต่พื้นดินก็กลับสั่นสะเทือนเสียก่อนในคืนนั้น เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว และสุสานอาวุธเทพใต้ดินก็เปิดออกอีกครั้ง
ผู้ฝึกตนมากมายเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้น ด้วยความที่เรียนรู้มาก่อนหน้าแล้วจากกรณีของหลี่อี้ โดยเฉพาะกงเต๋า จินตั้วหมิง และพรรคพวก
หลี่หว่านเอ๋อร์เองก็เดินหน้าปฏิบัติการเช่นกัน แม้นางจะไม่มีประสบการณ์มาก่อนแต่ก็มีหน้าที่ค้ำคออยู่ นางศึกษาเรื่องนครใหม่นี้และสุสานใต้ดินมาสักพัก จึงรู้ว่าเสียงระเบิดนี้เกี่ยวกับสุสานใต้ดินแน่นอน
หวังเป่าเล่อรีบออกจากการถือสันโดษทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิด ชายหนุ่มรีบเปิดใช้งานวงแหวนปราณ และใช้อำนาจของตนเองในการตรวจตราทุกเขต
ทุกที่ในนคร รวมถึงส่วนที่ยังไม่มีการก่อสร้าง และปากทางเข้าสุสานของหลี่อี้ หรือแม้กระทั่งทางเข้าสุสานหลักล้วนดูปกติดี ทว่าในพื้นที่รกร้างไม่ไกลจากนคร มีทางเข้าสุสานใหม่ปรากฏขึ้น
สุสานใหม่นี้ปรากฏขึ้นหลังทางเข้าสุสานของหลี่อี้ไม่นาน ซึ่งแปลว่าแรงอัดภายใต้สุสานอาวุธเทพใต้ดินกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง แม้ว่ามันจะตรงกับการคาดการณ์ของเจ้านครดาวอังคารก่อนหน้านี้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกกดดันกับปรากฏการณ์นี้อยู่
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเมื่อสุสานใต้ดินใหม่ปรากฏขึ้น เขาจะต้องรีบผนึกมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้สุสานใหม่นี้จะเกิดขึ้นนอกนคร จึงทำให้ผนึกยากกว่าสุสานที่เกิดขึ้นในนคร เนื่องจากจุดประสงค์ของการสร้างนครใหม่คือการทำให้ผู้ฝึกตนมาอาศัยอยู่ในเขตแดนของสุสานอาวุธเทพใต้ดินมากขึ้นนั้นเอง ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงออกคำสั่งให้ผู้ฝึกตนจากลำดับชั้นต่างๆ รวมถึงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากทั้งหกเขต เดินทางไปที่ปากทางเข้าสุสานใต้ดินใหม่ทันที เพื่อผนึกมันให้ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน
การรวมตัวของกลุ่มอำนาจมากมายในนครใหม่แห่งนี้ ทำให้จำนวนผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หวังเป่าเล่อส่งคำสั่งของตนไปทั่วนคร จินตั้วหมิง กงเต๋า รวมถึงคนอื่นๆ เช่นหลี่หว่านเอ๋อร์ ก็ทำหน้าที่ส่งคำสั่งต่อไปเป็นทอดๆ ไม่นานนักผู้ฝึกตนมากมายก็เดินทางออกจากนคร มุ่งหน้าไปสู่ปากทางเข้าใหม่ของสุสานใต้ดินด้วยความเร็วสูง
ผู้คนที่เดินทางไปถึงต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีที่เห็นสุสานเกิดใหม่ ขนาดของปากทางเข้าสุสานนี้เล็กกว่ากรณีของหลี่อี้อย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีอสูรร้ายและซากศพจำนวนมากหลั่งไหลออกจากปากทางเข้าพร้อมเสียงคำรามก้อง แต่ก็ไม่ได้มากจนจัดการยาก ทว่าทันทีที่มาถึง หวังเป่าเล่อก็มองไปรอบๆ พร้อมขมวดขึงคิ้ว ไม่นานนักสีหน้าของเขาก็พลันบึ้งตึง
กงเต๋า จินตั้วหมิง หลินเทียนหาว รวมถึงคนอื่นๆ จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่… แต่มีผู้ฝึกตนเพียงหยิบมือเดียวจากเขตของเฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้งที่เดินทางมายังปากทางเข้าสุสานใหม่ ส่วนผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นใน รวมถึงนายกเทศมนตรีใหม่จากทั้งสามเขตกลับไม่มาปรากฏกาย!